ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > “กิตติรัตน์” ดับเครื่องชน ไม่หวั่นผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ หาเงินใช้หนี้ชาวนา วิ่งหารัฐวิสาหกิจซื้อ P/N 2 หมื่นล้าน- ก๊อก 2 พันธบัตรออมทรัพย์

“กิตติรัตน์” ดับเครื่องชน ไม่หวั่นผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ หาเงินใช้หนี้ชาวนา วิ่งหารัฐวิสาหกิจซื้อ P/N 2 หมื่นล้าน- ก๊อก 2 พันธบัตรออมทรัพย์

26 กุมภาพันธ์ 2014


ด้วยความไม่รู้หรือความผิดพลาดของรัฐบาล ที่ไม่ได้กู้เงินเตรียมไว้สำหรับโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/2557 เป็นเหตุให้แผนจัดหาเงินกู้จำนำข้าวมีอันต้องล้มลงถึง 2 ครั้ง

ครั้งแรก วันที่ 30 มกราคม 2557 กระทรวงการคลังเชิญสถาบันการเงิน 34 แห่งมายื่นซองประกวดราคาปล่อยเงินกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปรากฏว่าไม่มีสถาบันการเงินแห่งใดยื่นซองประกวดราคา

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 พนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มอบกระเช้าดอกไม้ให้กำลังใจนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ  ธ.ก.ส.  หลังมีกระแสข่าวเลิกจ้าง
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557 พนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
มอบกระเช้าดอกไม้ให้กำลังใจนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. หลังมีกระแสข่าวเลิกจ้าง

ครั้งที่สอง กระทรวงการคลังปรับกลยุทธ์การจัดหาเงินกู้ใหม่ โดยให้ ธ.ก.ส. กู้เงินจากธนาคารออมสินผ่านตลาดเงินกู้ระหว่างธนาคาร (อินเตอร์แบงก์) ก้อนแรก 5,000 ล้านบาท วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 ปรากฏว่าลูกค้าไม่พอใจจนแห่มาถอนเงิน ทำให้ในช่วงวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2557 มีลูกค้าถอนเงินออมสิน 121,700 ล้านบาท ในขณะที่มีผู้มาฝากเงิน 64,000 ล้านบาท หักกลบแล้ว 5 วันเงินฝากไหลออก 57,700 ล้านบาท ส่งผลให้นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกพร้อมกับยกเลิกวงเงินกู้ระยะสั้นให้ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท หลังจากนายวรวิทย์ลาออก วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 ธ.ก.ส. โอนเงินกู้ 5,000 ล้านบาท คืนธนาคารออมสิน พร้อมดอกเบี้ยกว่า 2 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือจะปลดนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เนื่องจากปมประเด็นเรื่องที่ไม่สามารถจ่ายหนี้ชาวนาได้

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ยื่นใบลาออก
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ยื่นใบลาออก

อย่างไรก็ตาม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังคงมีความพยายามเดินหน้าหาเงินกู้มาใช้หนี้ชาวนาต่อไป แม้จะมีการท้วงติงจาก “นักวิชาการ” ที่ออกมากล่าวเตือนตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหารหนี้สาธารณะ เรื่องการจัดการเงินกู้ใหม่ให้ ธ.ก.ส. 130,000 ล้านบาทภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลรักษาการ อาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 181(3), (4)

และในระหว่างที่ น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เดินทางไปราชการต่างประเทศ วันที่ 20 มกราคม 2557 กระทรวงการคลังเริ่มแผนปฏิบัติการจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. เป็นครั้งที่ 3 โดยนายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ รองผู้อำนวยการ สบน. ลงนามในหนังสือเชิญชวนรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินยื่นซองประมูลตั๋วสัญญาใช้เงิน ธ.ก.ส. (P/N) อายุ 8 เดือน วงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย และรัฐบาลเป็นผู้รับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยแทน ธ.ก.ส. หน่วยรัฐวิสาหกิจที่สนใจมายื่นซองประมูลที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ อาคารสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชั้น 4 ภายในเวลา 10.00 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ล่าสุดนายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการประปานครหลวง (กปน.) ลงนามอนุมัติให้ กปน. เข้าร่วมประมูลตั๋วสัญญาใช้เงินวงเงิน 1,000 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า การจัดหาเงินกู้แบบตั๋วสัญญาใช้เงินครั้งนี้เป็นไปตาม ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบัญชีและการเงินของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2548 ข้อ 14 ที่เปิดช่องให้รัฐวิสาหกิจนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินไปลงทุนในตราสารทางการเงินระยะสั้นที่ออกโดยกระทรวงการคลัง สถาบันการเงินของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งปกติรัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะนำสภาพคล่องส่วนเกินไปฝากกินดอกเบี้ยธนาคารซึ่งได้รับผลตอบแทนต่ำมาก แต่ไม่มีความเสี่ยง ขณะที่ตั๋วสัญญาใช้เงิน ธ.ก.ส. มีความเสี่ยงผิดกฎหมายในอนาคตหากมีหน่วยงานนำประเด็นนี้ไปขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วผลการวินิจฉัยสรุปว่า ครม.รักษาการไม่มีอำนาจอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันวงเงินกู้ใหม่ให้ ธ.ก.ส. หรือเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 181(3), (4) อาจะมีผลทำให้การทำนิติกรรมสัญญา ธุรกรรมต่างๆ ถือเป็นโมฆะ และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แผนการจัดหาเงินกู้ ธ.ก.ส. ต้องล้มลงถึง 2 ครั้ง

ดังนั้น กรณีผู้บริหารรัฐวิสาหกิจใช้อำนาจสั่งการให้ฝ่ายบัญชีถอนเงินฝากเป็นจำนวนมากไปลงทุนในตั๋ว P/N ทั้งๆ ที่ทราบล่วงหน้าว่าเป็นการจัดหาเงินไปใช้หนี้ชาวนามีความเสี่ยงผิดกฎหมาย ทั้งผู้บริหารและบอร์ดอาจจะต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในฐานะผู้ให้การสนับสนุน

อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากแผนการจัดการเงินกู้โดยการออกตั๋ว P/N แล้ว นายกิตติรัตน์ได้เตรียมแผนการออกพันธบัตรออมทรัพย์เปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป โดยเสนอดอกเบี้ยสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ย 15% (Average yield curve) เป็นแรงจูงใจ ที่ผ่านมาการจัดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์กำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำต่อราย 10,000 บาท และเพดานสูงสุดได้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้ไม่มีจำกัดวงเงินลงทุน หากนายกิตติรัตน์ตัดสินใจเลือกพันธบัตรออมทรัพย์ประเภทอายุ 1 ปี คาดว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.64% ต่อปี แต่ถ้าเลือกอายุ 3 ปี ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.14%ต่อปี

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 20 กำหนดให้รัฐบาลออกพันธบัตรมากู้เงินโดยตรง 5 วิธี คือ (1) กู้เพื่อชดเชยการขาดดุล (2) กู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (3) กู้เพื่อนำเงินไปใช้ปรับโครงสร้างหนี้ (4) กู้เงินมาให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ และ (5) กู้เพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ดังนั้น สบน. จึงอาศัยช่องทางของ มาตรา 20(4) ออกพันธบัตรออมทรัพย์กู้เงิน เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อให้ ธ.ก.ส. โดยรัฐบาลต้องจัดงบประมาณมาจ่ายดอกเบี้ยแทน ธ.ก.ส.

ปรับแผนบริหารหนี้้หาเงินจำนำข้าว

แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวต่ออีกว่า ปัญหาใหญ่ในขณะนี้ ในหมวดของการกู้ตรงไม่มีวงเงินเหลือให้รัฐบาลออกพันธบัตรออมทรัพย์ได้ เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับหนี้สาธารณะวันที่ 3 มกราคม 2557 มีมติให้ปรับลดวงเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 1.2 แสนล้านบาท และให้โยกวงเงินกู้ดังกล่าวข้ามหมวดมาตั้งเป็นวงเงินค้ำประกันเงินกู้ก้อนใหม่ให้ ธ.ก.ส. 1.3 แสนล้านบาท เป็นประเด็นที่ทำให้บรรดานักวิชาการ นักกฎหมาย นายธนาคาร ตั้งเป็นข้อสังเกตว่าอาจจะขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถือเป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้บรรจุในแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2557 มาก่อน

ทั้งนี้ วงเงินกู้ตรงที่เหลืออยู่ไม่สามารถตัดทอนลงได้ เพราะต้องเตรียมกันวงเงินไว้ออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2.5 แสนล้านบาท และกู้เงินบาทเพื่อทดแทนเงินกู้ต่างประเทศอีก 8,000 ล้านบาท หากนายกิตติรัตน์จัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. โดยใช้วิธีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ ต้องเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 2 เพื่อปรับลดวงเงินค้ำประกันเงินกู้ ธ.ก.ส. แล้วโยกวงเงินกลับมาตั้งเป็นวงเงินกู้โดยตรงเท่ากับวงเงินพันธบัตรออมทรัพย์ หลังจากคณะกรรมการนโยบายฯ มีมติแล้วก็ต้องส่งให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติ กระบวนการดังกล่าวนายกิตติรัตน์คาดว่าจะใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ สบน. ถึงจะเริ่มลงมือจัดการเงินกู้โดยการขายพันธบัตรออมทรัพย์ให้กับประชาชนทั่วไปได้

อย่างไรก็ตาม แผนการจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. ตามที่กล่าวมาในข้างต้นอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่านายกิตติรัตน์ไม่สนใจคำเตือนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นักวิชาการ นักกฎหมาย นายธนาคาร กล่าวย้ำมาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาว่าการจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. มีความเสี่ยงผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 181(3) แผนการจัดหาเงินกู้จำนำข้าวรอบที่ 3 จะผ่านด่านสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจได้หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป