ThaiPublica > คนในข่าว > ตอนที่่ 2: เปิดประสบการณ์ขายแซนด์วิชข้างถนน

ตอนที่่ 2: เปิดประสบการณ์ขายแซนด์วิชข้างถนน

7 พฤศจิกายน 2012


ไทยพับลิก้า : อยากให้เล่าเรื่องทำแซนด์วิชให้ฟังสักนิด

ศิริวัฒน์ : ได้ ด้วยความยากลำบาก ไม่เคยคิดว่าจะต้องมายืนขายแซนด์วิชข้างถนน ไม่เคยคิดว่าขายแซนด์วิชหลังจาก 15 ปีจะมีโอกาสกลับขึ้นมาใหม่ ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอะไรเลี้ยงลูกน้องนะครับ ถามว่าทำไมต้องไปยืนขายข้างถนน อยากไหม ไม่อยาก ก็เห็นข้างถนนโดนเทศกิจไล่ โดนตำรวจจับ อะไรพวกนี้ ช่วงนั้นทางโรงพยาบาลกรุงเทพท่านก็เมตตาผม เพราะรู้เรื่องผม ผมไปขอท่านไปขายตั้งโต๊ะในโรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย แล้วก็ทำแซนด์วิชขายวันละ 20 ชิ้น

วันที่ 20 เมษายน 2540 วันแรกที่ขาย กว่าจะขายหมด ตอนนั้นชิ้นละ 25 บาทเองนะ

ไทยพับลิก้า : 6 ชั่วโมง

ศิริวัฒน์ : 6 ชั่วโมงครึ่ง 8.00-14.30 น. จำแม่นเลย จับเวลาอยู่นั่นแหละ เฮ้ย เมื่อไหร่มัน โอ้โห ขายไม่ได้นี่เวลามันยาว ได้เงิน 500 บาท เริ่มจากตรงนั้น แล้วหลังจากนั้นก็รู้แล้วว่ามันขายไม่ได้พอที่จะเลี้ยงลูกน้อง ก็ไปตามโรงพยาบาลอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยเมตตาเหมือนโรงพยาบาลกรุงเทพ เขาก็ โอ้ย อย่างโน้นอย่างนี้ จะไปเช่าร้านเขาไม่ไหว ค่าเช่าแพง มัดจำ 3 เดือน แล้วต้องตกแต่งอีก

โอ้ย! ไม่มีเงิน คิดอย่างเดียวจะทำไงดี มันไม่รอดแล้ว ก็เราเรียนอเมริกา จบเมืองนอก สมัยเรียนอเมริกาก็เห็นเขาเดินคล้องคอขายหมากฝรั่ง ขายข้าวโพดคั่วเวลาเขามีเกมฟุตบอล เบสบอลอะไรอย่างนั้น ก็เลยบอกลูกน้องว่า เฮ้ย ไม่รู้จะขายที่ไหน ทำขายข้างถนนละกัน ลูกน้องมันไม่เอา มันถอดใจ มันกลัว ผมบอก เอา ผมไปกับคุณ เริ่มจากตรงนั้น ก็ไม่เคยคิดว่าจะไปขายข้างถนน ในเมื่อลูกน้องมันไม่ไป เราก็ต้องไป เราไปลูกน้องก็ต้องไป แล้วก็โดนเทศกิจจับ เดินเขตดุสิต เขตดุสิตจับขึ้นรถ เดินพญาไท เขตพญาไทจับขึ้นรถ

ไทยพับลิก้า : เดินขายเอง

ศิริวัฒน์ : เดินขายอยู่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตำรวจเทศกิจมาไล่แล้วก็จับขึ้นรถ พอผมบอกผมคล้องคอไม่ได้เกะกะ เขาก็บอกไม่ได้ขายไม่ได้ ถ้าคุณจะยังขายอยู่ไปเสียค่าปรับ 300 บาทที่เขตดุสิต เขาจะเอากล่องสีเหลืองผมไป ผมบอกพี่มันอยู่คอผม เอาอย่างนี้ขึ้นรถ ก็โดนที่ดุสิต แต่ไม่เคยจ่าย 300 บาท พูดจนกระทั่งท่าน ผอ. เอย ท่านหัวหน้าเทศกิจเข้าใจ แล้วก็อีกครั้งหนึ่งมาโดนที่พญาไท

ชีวิตนี้โดน 2 ครั้ง นั่งรถกระบะเทศกิจสีเขียวๆ นั่งมาแล้ว 2 ครั้ง (หัวเราะ) โอ้ย ชีวิตมันโหด

ไทยพับลิก้า : รู้สึกยังไงจากเป็นนักลงทุนรายใหญ่ บริหารพอร์ตพันล้าน แล้วมาขายแซนด์วิช

ศิริวัฒน์ : ถ้าใครไม่เคยเจอจะไม่เข้าใจ คุณลาภต้องเข้าใจว่าผมเคยอยู่สูง แต่วันหนึ่งผมต้องมาอย่างนี้นะ ชีวิตมันก็แย่อยู่แล้ว มาโดนเทศกิจจับขึ้นรถ อายนะ มันเศร้านะ โอเค ตอนนั้นก็รู้อยู่อย่างเดียวว่าทำไมชะตาชีวิตมันตกต่ำถึงขนาดนี้ แต่มันต้องทำ เพราะไม่มีเงินไปเช่าร้าน

คือ ทำไมทำข้างถนน 1. ไม่เสียค่าใช้จ่าย 2. จุดนี้ขายไม่ดีย้ายไปขายจุดอื่นได้ ถูกไหมครับ

เพราะฉะนั้น เราก็เคลื่อนที่ไปได้เรื่อยๆ จำแม่นเลยว่าเช้าขายได้ พอขายได้เพราะคนเขาจะรีบเข้าออฟฟิศ ไม่ได้กินข้าวมาก็ปุ๊บไป แล้วช่วงนั้นพอดีผมเป็นข่าว เชื่อไหมพอข่าวออกทีวีนะ ขายดีเลย แต่ 5 วันเท่านั้น พอวันที่ 6 ก็เหมือนเดิม แล้วหลังจากนั้นไปขายที่ไหน สายๆ ผมก็คิดเอง ไปยืนขายหน้าแบงก์ เพราะคนต้องเข้าออกแบงก์ไง โดน รปภ. (พนักงานรักษาความปลอดภัย) แบงก์ไล่ไม่ให้ขาย บางสาขาไปคุยกับผู้จัดการ ผู้จัดการบางท่านก็ให้ บางสาขาผู้จัดการก็ไม่ให้ เราก็ไปสาขาอื่น เสร็จแล้วพอบ่ายๆ ไปขายที่ไหน ก็หน้าโรงเรียน โรงเรียนแรกที่ไปขายคือโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ทำไมอัสสัมชัญ เพราะ 1. ศิษย์เก่าอัสสัมชัญคงไม่ถูกไล่ 2. ถ้าถูกไล่ ลูกชายเรียนอยู่อัสสัมชัญบางรัก ก็จะบอกมาสเตอร์ว่าลูกชายผมเรียนอยู่ อะไรอย่างนี้

ด้วยความคิดว่า กลัวนะกลัว ก็ไปอัสสัมชัญบางรักก่อน ก็พอขายได้ เสร็จก็ไปกรุงเทพคริสเตียน แถวยานนาวา ไปเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ โอ้ย! พอไปขายถึงเซนต์คาเบรียล ถนนสามเสน ตอนนั้นออฟฟิศเราเช่าออฟฟิศเล็กๆ อยู่ เคยอยู่ออฟฟิศหรูหราเลยนะ ก็มาเช่าห้องแถวเล็กๆ อยู่แถวตรอกจันทร์ ก็ลำบาก ก็ทำไปเท่าที่เรารู้ว่าต้องทำ

แล้วพอลูกน้องเห็นว่าเราไปขายเขาก็ไปขายกับเรา

ไทยพับลิก้า : ตอนนั้นยังไงก็ความอายนี้ก็ทิ้งไว้ก่อน

ศิริวัฒน์ : เออ…แต่ทุกเช้าก่อนจะเอาออกไปขายนี้อายนะ โทษนะ กูจะเจออะไรบ้างวะ จะหนีเทศกิจยังไง อะไรพวกนี้ คือคิดไง แต่พอไปยืนปุ๊บก็มองเทศกิจ จะมาเมื่อไหร่เตรียมหนีเหมือนกัน แต่พอคนมาให้กำลังใจ แล้วก็มีคนมาบอกผมว่าเพื่อนบอกว่าคุณศิริวัฒน์มาขายก็เลยมาอุดหนุน เห็นออกทีวี อะไรนี่ ดีนะสู้ชีวิต
ช่วงนั้นคนฆ่าตัวตายเยอะนะ เป็นข่าวก็เยอะ ไม่เป็นข่าวก็เยอะ

เพราะผมนี้เซียนหุ้น คนเล่นหุ้นออฟฟิศเล่นหุ้นมีใครไม่รู้จักผม ตอนนั้นรู้ผมเป็นกรรมการผู้จัดการหลักทรัพย์เอเชีย (บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) เป็นนักลงทุนรายใหญ่ อ.ไพบูลย์ (เสรีวัฒนา) เรียกผม “แมลงเม่าตัวใหญ่บินเข้ากองไฟ”

ตอนนั้นใครๆ ก็รู้จักผม ผมก็บอกพนักงานผมว่า เขาสงสารผมนะแต่ชิ้นเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาคุณภาพ สด สะอาด ทุกวันนะ ของเหลือเราไม่แช่ตู้เย็นขาย พวกเธอกิน พอพวกเธอกินแล้วจนเบื่อไม่กินแล้ว อย่าไปทิ้ง แช่ตู้เย็นไว้ เช้ารุ่งขึ้นเรายังไปบริจาคได้ แล้วพอผมทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ ทำมา 15 ปี

ไทยพับลิก้า : อะไรตอนนั้นที่ทำให้อดทนและยังขายอยู่ ทั้งๆ ที่ขายก็ขายไม่ดี

บุญลาภ ภูสุวรรณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวไทยพับลิก้า สัมภาษณ์เพิเศษ ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ในซีรีส์ 15 ปี วิกฤติ 2540
บุญลาภ ภูสุวรรณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวไทยพับลิก้า สัมภาษณ์เพิเศษ ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ในซีรีส์ 15 ปี วิกฤติ 2540

ศิริวัฒน์ : ไม่ดี ถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีคนเราไม่มีทางออก เหมือนหลังพิงฝา มันไม่รู้จะไปไหน ผมมักเปรียบเทียบว่า เหมือนถ้าคุณเคยอยู่ในห้องมืด คุณรู้ว่าข้างหลังคือกำแพง แต่คุณไม่รู้ว่าข้างหน้าเดินไปยังไม่รู้เลยเดินตรงหรือไปซ้ายไปขวาเพราะมันมืดตึ๊ดตื๋อ ถูกไหม พิงฝาแล้วเราก็ค่อยๆ ไปข้างหน้า แต่แบบคลานไป สองก็คือลูกน้อง

เผอิญคุณพ่อคุณแม่ผมสอนมาตั้งแต่เด็กว่า “วันหนึ่งได้เป็นเจ้าคนนายคนอย่าทิ้งลูกน้อง พนักงานเขาคือเป็นครอบครัวเรา เขาช่วยเรา เราไม่มีเขาเราก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีเราเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันไปด้วยกัน”

นี่คือจุดที่ผมไม่ทิ้งลูกน้อง ศิริวัฒน์แซนด์วิชได้เกิดเพราะผมไม่ทิ้งลูกน้อง คุณลาภคิดดูนะ นักธุรกิจระดับผมวันนั้นนี่นะ ผมจะมายืนขายของข้างถนนไหม

ในเมื่อผมไม่มีทางไป ลูกน้องมันฝากชีวิตไว้ ผมก็ต้องทำ ผมทำดีที่สุด ช่วงนั้นผมเดินหน้าขึ้นศาลอย่างเดียว เดินหน้าขึ้นศาล ตอนผมพูดกับผู้พิพากษา พิพากษาล้มละลายนะ ในศาลล้มละลายกลาง อยู่ถนนสาธร พิพากษา

ผมจำแม่น เซ็นรับสภาพบุคคลล้มละลาย

เสร็จท่านยังถาม เอ๊ะ! คุณใช่คนที่ไปยืนขายแซนด์วิชไหมครับ อ๋อใช่ครับ ที่ชื่อศิริวัฒน์ แล้วท่านยังให้กำลังใจผมนะ ท่านบอก เออ ดีแล้ว ผมบอกก็ผมยอมรับ ผมไม่สู้คดีไง ขึ้นศาลผมก็รับหมด คดีผมจบเร็ว ผมยอมรับหมดทุกอย่าง คือ ไม่มี ก็เลยไม่ทิ้งลูกน้อง แล้วประชาชนมาช่วยผม แต่ก็ต้องขอบคุณสื่อนะ

ไทยพับลิก้า : ค่ะ

ศิริวัฒน์ : ตอนนั้นก็รู้ สมัยที่ 15 ปีย้อนหลัง ผมนี่เซียนหุ้นนะ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ เรียกผม “อัศวินม้าขาว” จำได้ไหม ช่วงฺ Black Monday (ปี 2530) ไม่มีใครกล้าซื้อหุ้นเลย ตอนนั้นห้องซื้อขายยังยู่ที่สยาม จำได้ใช่ไหมครับ

ไทยพับลิก้า : จำได้

ศิริวัฒน์ : ที่อาคารสินธร จากสยามย้ายมาที่อาคารสินธร ต้องใช้กล้องส่องดูอะไรนี่ แล้วผมต้องไปเคาะกระดาน

ไทยพับลิก้า : ดูกระดาน

ศิริวัฒน์ : เออ นั่นแหละ จำได้ใช่ไหมครับ ช่วง Black Monday ไม่มีใครกล้าซื้อหุ้น มีแต่เบอร์ 8 หลักทรัพย์เอเชีย ผมซื้อหุ้นอยู่คนเดียว ดร.มารวยต้องไปตามบูทต่างๆ ในห้องค้า บอกไม่ต้องกลัวๆ

ไทยพับลิก้า : สร้างความมั่นใจ

ศิริวัฒน์ : สร้างความมั่นใจ คนอื่นมันขายหมด เบอร์ 8 ซื้ออยู่คนเดียว ท่าน (ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์) ก็เรียกผมอัศวินม้าขาว เพราะฉะนั้นก็คือชีวิตมันตกต่ำถึงขั้นนั้น จากที่ โอ้โห อัศวินม้าขาว เซียนหุ้น ปุ๊บๆๆๆ ยืนขายแซนด์วิชข้างถนน

ไทยพับลิก้า : จากเงินเดือนสูงๆ มาที่เงินเดือนแบบ…

ศิริวัฒน์ : โอ้โห เงินเดือนมันไม่เท่าไหร่ คุณเชื่อไหม ผมเคยกำไรในตลาดหุ้นวันละ 10 กว่าล้าน

ไทยพับลิก้า : ค่ะ

ศิริวัฒน์ : วันเดียวนะ แล้วก็เคยขาดทุนวันละ 10 กว่าล้าน ก็เป็นนักลงทุนระดับใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ที่สุดนะ ก็มีใหญ่กว่าผมนะครับ แต่ก็ระดับนั้นครับ แล้ววันหนึ่งมายืนขายแซนด์วิชชิ้นละ 30 บาท ตอนนั้น 30 บาทแล้ว คนก็บอกว่าแพง แต่ซื้อเพราะสงสารและอยากจะช่วย ก็เลยไปบอกต่อ ก็บ่นทุกที พอขึ้นมา 35 ก็แพง

วันนี้ชิ้นละ 50 ก็แพงแต่ก็ซื้อ เพราะเรายึดมั่นในคุณภาพมาตรฐาน ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า

อ่านต่อตอนที่ 3: 15 ปี “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ก้าวสู่ตลาด MAI