ThaiPublica > เกาะกระแส > โครงการ “เรือฟริเกต” 2 ลำ 3 หมื่นล้าน เพื่อปกป้องอธิปไตยหรือผลประโยชน์ใคร ? – หึ่งล้มแผน “เรือดำน้ำ” กับ “ใบสั่ง” ซื้อเรือสัญชาติจีน

โครงการ “เรือฟริเกต” 2 ลำ 3 หมื่นล้าน เพื่อปกป้องอธิปไตยหรือผลประโยชน์ใคร ? – หึ่งล้มแผน “เรือดำน้ำ” กับ “ใบสั่ง” ซื้อเรือสัญชาติจีน

10 ตุลาคม 2012


 “เรือหลวงบางปะกง” มีนามเรียกขานสากล HSMB และมีหมายเลขเรือ  456  เป็นเรือสังกัดหมวดเรือที่  1 กองเรือฟริเกตที่ 2 มีสมรรถนะสูง โดยกองทัพเรือได้สั่งต่อจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน  มีความสามารถในการทำการรบทั้ง  3  มิติ  ด้วยความเร็วสูง และรัศมีทำการไกล
“เรือหลวงบางปะกง” มีนามเรียกขานสากล HSMB และมีหมายเลขเรือ 456 เป็นเรือสังกัดหมวดเรือที่ 1 กองเรือฟริเกตที่ 2 มีสมรรถนะสูง โดยกองทัพเรือได้สั่งต่อจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความสามารถในการทำการรบทั้ง 3 มิติ ด้วยความเร็วสูง และรัศมีทำการไกล

โครงการบิ๊กโปรเจกต์การจัดซื้อ “เรือฟริเกต” 2 ลำ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท กลายเป็นโครงการที่ “กองทัพ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ณ เวลานี้ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีมูลค่ามหาศาล ทั้งยังถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความคุ้มค่าในครั้งนี้ ? …

โดยเฉพาะภายหลังโครงการเรือดำน้ำมือสอง U-206 A จากประเทศเยอรมนี จำนวน 6 ลำ มูลค่า 7.6 พันล้านบาท ความต้องการลำดับที่ 1 ของ “ราชนาวีไทย” ต้องสะดุดลง พร้อมถูกนำไปเก็บไว้ในลิ้นชักแบบไร้กำหนด ด้วยเหตุผลของความไม่เหมาะที่ยังคาใจ “ฉลามขาว” และ บรรดา” กองเชียร์…

อีกทั้งด้วยงบประมาณที่สูงถึง 3 หมื่นล้านบาท ทำให้โครงการ “เรือฟริเกต” เป็นการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่แพงอันดับต้นๆ ของ “กองทัพเรือ” เลยทีเดียว โดยตกลำละ 1.5 หมื่นล้านบาท

แต่ทว่าเมื่อครั้งที่ “กองทัพเรือ” จัดซื้อ “เรือหลวงจักรีนฤเบศร” หรือเรือบรรทุกเครื่องบินจากสเปน ที่มีความสำคัญใช้เป็น “ศูนย์บัญชาการกองเรือ” ทั้งหมด มีราคาเพียง 7.1 พันล้านบาทเท่านั้น

จนในที่สุด เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2555 ที่ผ่านมา ครม. ได้ไฟเขียวอนุมัติโครงการ “เรือฟริเกต” ที่มีขนาด 2,000-3,500 ตัน มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ตามที่ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เสนอ โดยทาง “บิ๊กหรุ่น” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ได้มอบหมายให้เพื่อนร่วมรุ่น ตท.13 “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ เสธ.ทร. คนใหม่เป็นหัวหน้าโครงการนี้

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และนายทหารระดับสูงกองทัพเรือให้การต้อนรับ
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ตรวจเยี่ยมกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. และนายทหารระดับสูงกองทัพเรือให้การต้อนรับ

ตามแผนกรอบเวลานั้น กองทัพเรือมีความจำเป็นต่อดำเนินการจัดหา “เรือฟริเกต” จำนวน 2 ลำ อย่างเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2555 เพื่อชดเชยและถ่วงดุลกำลังอำนาจด้านเรือดำน้ำ ด้วยการเพิ่มเติมขีดความสามารถด้านการปราบ “เรือดำน้ำ” นอกจากนี้ เพื่อเป็นการทดแทนการปลดระวางประจำการ “เรือฟริเกต” ชุดเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ทั้งนี้ การดำเนินการจัดซื้อ “เรือฟริเกต” แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 จำนวน 1 ลำ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ใช้ปีงบประมาณ 2555–2559 ส่วนระยะที่ 2 อีก 1 ลำ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557–2561

อีกทั้งมีการปรับปรุงเรือ “ฟริเกต” ชุดเรือหลวงนเรศวร แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ได้ดำเนินการแล้วเป็นการผูกพันงบประมาณ 4 ปี ระหว่างปี 2554–2557 ระยะที่ 2 เป็นการผูกพันงบประมาณ 3 ปี ระหว่างปี 2555–2557 ระยะที่ 3 เป็นการผูกพันงบประมาณ 3 ปี ระหว่างปี 2556–2558

ปัจจุบันนี้ “กองทัพเรือ” มี “กองเรือฟริเกต” 2 กองเรือ ที่มีศักยภาพสามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่-พื้น ซึ่งสามารถปฏิบัติการร่วมกับเฮลิคอปเตอร์ได้ โดยมีดาดฟ้าเฮลิคอปเตอร์อยู่บริเวณท้ายเรือ มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการทั้ง 3 มิติ สามารถปฏิบัติการเพื่อป้องกันประเทศได้

มีศักยภาพ อาทิ 1. ป้องกันน่านน้ำอาณาเขตให้ปลอดภัยจากการรุกรานของข้าศึกทางทะเล 2. ปฏิบัติการร่วมกับเรือยนต์เร็วโจมตี 3. โจมตีเรือผิวน้ำ 4. ต่อสู้อากาศยาน 5. ทำการระดมยิงฝั่ง 6. ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันให้กับกองเรือ 7. ปฏิบัติการปราบเรือดำน้ำโดยอิสระ หรือร่วมกับกองเรือ หรือเครื่องบินปราบเรือดำน้ำ

ทำให้ “เรือฟริเกต” นับเป็นเครื่องจักรที่มีความสามารถในการรบที่น่าเกรงขามเลยทีเดียว…

เบื้องต้น การจัดซื้อ “เรือฟริเกต” ในครั้งนี้มีคณะกรรมการที่พิจารณาคัดเลือกแบบกำลังดำเนินการพิจารณาว่า “เรือฟริเกต” มูลค่าลำละ 1.5 หมื่นล้าน จะมีสัญชาติใด โดยเบื้องต้น คณะกรรมการฯ กองทัพเรือมีสเปกอยู่ในใจแล้วว่าต้องการ “เรือฟริเกต” สัญชาติเยอรมนี !!!

เพราะประเทศเยอรมนีมีชื่อเสียงในการต่อเรือที่แข็งแกร่ง ทนทาน มีคุณภาพ ที่สำคัญ “เรือฟริเกต” จากดินแดนอินทรีย์เหล็ก นั้นมีสมรรถนะที่ดี คุ้มค่ากับก้อนเงินที่ลงทุน…

แต่งานนี้ “กองทัพเรือ” ก็ต้องลุ้นอีกชอต หากคณะกรรมการเคาะว่าต้องการเรือสัญชาติ “เยอรมนี” จริง และส่งเรื่องไปยังกระทรวงกลาโหม ที่มีด่านแรก คือ “บิ๊กต่วย” พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ จะเซย์เยสหรือเซย์โนอย่างไร

อีกทั้ง…หากฝ่ายการเมืองดูแล้วจะไฟเขียวให้ผ่านหรือไม่ ?

เนื่องจากมีข่าวลือว่า “นายใหญ่” อยากได้ “เรือฟริเกตสัญชาติจีน” !!! จนทำให้ “บิ๊กกองทัพเรือ” เป็นกังวลว่า ท้ายที่สุด “เรือฟริเกต” ที่ได้นั้นจะไม่มีคุณภาพ ใช้ไม่กี่ปีตัวเรือก็อาจผุกร่อน

“เรือหลวงกระบุรี” มีนามเรียกขานสากล HSMC และมีหมายเลขเรือ 457  เป็นเรือรบประเภทเรือฟริเกต ติดอาวุธปล่อยนำวิถีชุด เรือหลวงเจ้าพระยา สังกัดหมวดเรือที่ 2   กองทัพเรือได้สั่งต่อจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นับเป็นเรือฟริเกตลำแรกของกองทัพเรือที่สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ไปกับเรือได้ ภายในเรือติดตั้งระบบอาวุธที่ทันสมัย ตลอดจนยุทโธปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อีกทั้งเสริมด้วยการปฏิบัติการร่วมของอากาศยานซึ่งสามารถนำไปกับเรือได้
“เรือหลวงกระบุรี” มีนามเรียกขานสากล HSMC และมีหมายเลขเรือ 457 เป็นเรือรบประเภทเรือฟริเกต ติดอาวุธปล่อยนำวิถีชุด เรือหลวงเจ้าพระยา สังกัดหมวดเรือที่ 2 กองทัพเรือได้สั่งต่อจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นับเป็นเรือฟริเกตลำแรกของกองทัพเรือที่สามารถนำเฮลิคอปเตอร์ไปกับเรือได้ ภายในเรือติดตั้งระบบอาวุธที่ทันสมัย ตลอดจนยุทโธปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อีกทั้งเสริมด้วยการปฏิบัติการร่วมของอากาศยานซึ่งสามารถนำไปกับเรือได้

ยิ่งมีกรณีตัวอย่าง “เรือฟริเกต” รหัส “เรือหลวงนเรศวร” และ “เรือหลวงตากสิน” ที่ได้สั่งต่อเรือจากจีน ซึ่งเข้าประจำการช่วงปี 2537 แต่ขณะนี้ต่อคิวเตรียมเข้ารับการซ่อมบำรุงเนื่องจากสภาพตัวเรือเริ่มผุกร่อน และมีวงเงินซ่อมบำรุงพร้อมปรับปรุงถึง 7 พันล้านบาทเลยทีเดียว…

โดยทาง “กลาโหม” ชี้แจงว่า โครงการซ่อมบำรุงรวมถึงปรับปรุงขีดความสามารถ “เรือหลวงนเรศวร” แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ได้ดำเนินการแล้วเป็นการผูกพันงบประมาณ 4 ปี ระหว่างปี 2554–2557 ระยะที่ 2 เป็นการผูกพันงบประมาณ 3 ปี ระหว่างปี 2555–2557 ระยะที่ 3 เป็นการผูกพันงบประมาณ 3 ปี ระหว่างปี 2556–2558

ทั้งนี้ ภายหลังจากเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการฯ ทั้ง 3 ระยะ จะทำให้ “เรือหลวงนเรศวร” มีขีดความสามารถในการรบได้ทั้ง 3 มิติ ได้แก่ การรบผิวน้ำ, สงครามใต้น้ำ และการป้องกันภัยทางอากาศ พร้อมทั้งอัพเกรดระบบดาตาลิงค์เน็ตเวิร์คเซนทริก เพื่อเชื่อมต่อระบบของเครื่อง บิน “กริพเพน” ของกองทัพอากาศ

การดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 ในครั้งนี้ “กองทัพเรือ” ได้ดำเนินการจัดปรับปรุง 2 รายการ ด้วยกัน ประกอบด้วย การจัดซื้อระบบการรบ เป็นเงิน 2,699,999,000 บาท

รวมถึงการจัดซื้อลูกอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่-อากาศ แบบ Evolved Sea Sparrow Missile: ESSM เป็นเงิน 597,826,775 บาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 3,297,825,775 บาท

ยิ่งผนวกกับข่าวลือที่ว่า “ผู้ใหญ่” มีใบสั่งให้ “กองทัพเรือ” เปลี่ยนโครงการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ให้มาเป็น “เรือฟริเกต” ทดแทน เนื่องจากหากต้องการดันทุรังตั้งโครงการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ลำใหม่ ที่แม้จะมีวงเงินสูงถึงลำล่ะ 1.5 หมื่นล้านเช่นเดียวกับ “เรือฟริเกต” ก็ตาม แต่ก็จะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย และท้ายที่สุดอาจต้องสะดุดลงเฉกเชน “เรือดำน้ำ” เยอรมนี

นอกจากนี้ ก็จะเกิดคำครหาแก่ “พล.อ.อ.สุกำพล” ที่เป็นผู้สั่งระงับโครงการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” มือสองแบบ U-206 A จากกองทัพเรือเยอรมนี จำนวน 6 ลำ วงเงิน 7.6 พันล้านบาท โดยไม่นำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติจัดซื้อ

เนื่องจากเลยกำหนดกรอบเวลาที่กองทัพเรือเยอรมนีต้องการคำตอบการซื้อจากกองทัพเรือไทยและติดปัญหาด้านเทคนิค โดยทาง “พล.อ.อ.สุกำพล” ได้แจ้งให้ “พล.ร.อ.สุรศักดิ์” ให้กลับมาศึกษาเรือดำน้ำรุ่นอื่น และเตรียมโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำรุ่นใหม่ทดแทน

แต่หากจะไปซื้อ “เรือดำน้ำ” รุ่นใหม่ ก็จะถูกด่าว่า ล้มโครงการเพื่อต้องการซื้อ “เรือเกาหลี” หรือ “เรือจีน” ตามที่เคยมีข่าวฉาวโจมตีมา !!! ดังนั้น เพื่อตัดปัญหา “พล.อ.อ.สุกำพล” เลยสั่งให้ปรับเปลี่ยนโครงการเป็นซื้อ “เรือฟริเกต” แทนเป็นจำนวน 2 ลำ ด้วยวงเงิน 3 หมื่นล้าน

พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร.
พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร.

“เมื่อกองทัพเรือมีงบประมาณสูงถึง 3 หมื่นล้าน ก็สามารถเดินหน้าโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำใหม่ได้ถึง 2 ลำ แต่ว่าทางผู้ใหญ่ในกระทรวงกลาโหมได้ยุติโครงการเรือดำน้ำ และเปลี่ยนเป็นจัดซื้อ “เรือฟริเกต” 2 ลำ แทน มีวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท เพราะหากเดินหน้าจัดหาเรือดำน้ำใหม่อาจโดนข้อครหาว่า ที่ล้มโครงการเรือดำน้ำมือสองเยอรมนี ทำให้งานนี้น่ามีผลประโยชน์แอบแฝง นอกจากนี้ หากโครงการเรือฟริเกตเป็นความต้องการของกองทัพเรือจริง ทำไมโครงการดังกล่าวถึงถูกปิดเงียบมาหลายเดือน มีผู้ใหญ่ในกองทัพเรือรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ” แหล่งข่าวระดับสูงกองทัพเรือระบุ

ว่ากันว่าค่าคอมมิชชั่นอาจสูงถึง 20% เลยก็ว่าได้!!! ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรต้องติดตามกัน…

พร้อมทั้งเอาใจช่วย ว่า “กองทัพเรือ” จะสมหวังได้ “เรือฟริเกต” ที่มีศักยภาพตามที่ต้องการเพื่อต่อกรและคานอำนาจทางทะเลกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน หรือได้แค่ “เรือฟริเกต” แบบขอไปทีเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคน !!!

นอกจากนี้ ช่วงวันที่ 9–15 ต.ค.2555 “พล.อ.อ.สุกำพล” พร้อมคณะที่ปรึกษามีคิวบินไป “ยูเครน” ตามคำเชิญของรัฐบาลยูเครน รวมถึงไป เยือน“ออสเตรีย” เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ…

การเยือน “ยูเครน” ครั้งนี้ “คณะกลาโหม” มีคิวแวะดูโรงงานผลิต “รถยานเกราะ” รวมถึง “รถถัง OPLOT” (T-84 OPLOT) รถถังใหม่ล่าสุดที่ “รัฐบาลมาร์ค” อนุมัติส่งท้ายให้กระทรวงกลาโหมจัดซื้อ จำนวน 54 คัน มูลค่า 7 พันล้านบาท เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บของกองทัพบก ซึ่งเตรียมทยอยส่งรถถังมาประจำการในปี 2556

งานนี้ “บิ๊กกลาโหม” ไปเยือนประเทศผลิตอาวุธยักษ์ใหญ่ทั้งที บรรดา “พ่อค้าอาวุธ” คงไม่ยอมพลาดที่จะขอสนทนาอย่างแน่นอน แต่จะมีผลต่อการจัดซื้อ “ยุทโธปกรณ์” ครั้งต่อไปของ “กองทัพ” หรือไม่ เดี๋ยวได้รู้กัน