ThaiPublica > Sustainability > Sustainable Business > “PTTGC” เตรียมบูรณาการ 9 หน่วยงาน สร้างฐานข้อมูล “ลายนิ้วมือ” หาที่มา “Tar Ball-คราบน้ำมัน” ใครคือต้นตอ!

“PTTGC” เตรียมบูรณาการ 9 หน่วยงาน สร้างฐานข้อมูล “ลายนิ้วมือ” หาที่มา “Tar Ball-คราบน้ำมัน” ใครคือต้นตอ!

21 สิงหาคม 2018


กรณีการตรวจพบคราบน้ำมันถูกคลื่นซัดเข้ามารวมกับเม็ดทราย กลายเป็นก้อนสีดำๆ หรือที่เรียกกว่า “ก้อนน้ำมันดิน” (tar ball) ลอยมาติดตามชายหาด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย โดยที่ไม่มีหน่วยงานใดมีหลักฐานหรือข้อมูลทางวิชาการยืนยันว่า “ทาร์บอล” ที่ว่าพวกนี้มาจากแหล่งไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นน้ำมันรั่วจากแท่นขุดเจาะ หรือขณะขนถ่ายน้ำมัน หรือมาจากเรือประมง หรืออื่นๆ เหตุการณ์ดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง อาทิ

  • เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554: ผู้จัดการรายวัน 360 องศานำเสนอข่าว
  • พบ “ก้อนสีดำ” เกลื่อนชายหาด อ.สทิงพระ และ อ.สิงหนคร จ.สงขลา

  • วันที่ 21 สิงหาคม 2556: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา รายงานข่าว
  • “พบคราบน้ำมันถูกคลื่นซัดเข้าชายหาด บริเวณปากคลองแกลง ต.แกลง อ.เมือง จ.ระยอง”

  • วันที่ 25 มีนาคม 2557: ผู้จัดการออนไลน์ รายงานข่าว
  • “ก้อนน้ำมันสีดำจำนวนมาก ลอยมาขึ้นที่บริเวณชายหาด ต.บางมะพร้าว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เป็นระยะทางยาวกว่า 15 กม. และอยู่ห่างจากเรือจำลองเรือรบหลวงจักรีนฤเบศร ชายหาดปากน้ำหลังสวน สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเพียง 1 กม.”

  • วันที่ 24 กรกฎาคม 2557: ไทยรัฐออนไลน์
  • “พบก้อนน้ำมันลอยขึ้นมาติดตามชายหาดต่างๆ ในพื้นที่ ต.เกาะลันตาใหญ่ จากตรวจสอบ พบว่าก้อนน้ำมันดังกล่าวนั้นเป็น ก้อน “ทาร์บอล” ซึ่งเป็นการแปรสภาพจากน้ำมันเป็นก้อนของเหลวด้านนอกแข็ง แต่ด้านในจะคล้ายเยลลี่ ไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ”

  • วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558: ไทยรัฐออนไลน์
  • “บริเวณลานหินขาว-หินดำ พบคราบน้ำมันเป็นก้อนเล็กๆ เต็มชายหาดยาวไปถึงหาดแม่รำพึง ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง ความยาวประมาณ 3 กม. โดยคราบน้ำมันจับตัวเป็นก้อนเหนียว”

    ที่มาภาพ: http://news.thaipbs.or.th/

  • วันที่ 29 ตุลาคม 2558: ข่าวสดออนไลน์
  • “คราบน้ำมันลักษณะข้นเหนียว สีดำ ลอยปะปนกับขยะมูลฝอยเข้ามาชายหาดหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดแนวถึงชายหาดเขาตะเกียบระยะ ทางกว่า 10 กม.”

  • วันที่ 30 พฤศจิกายน 2558: ผู้จัดการออนไลน์
  • พบคราบน้ำมันเกยชายหาดจำนวนมาก อ.หลังสวน จ.ชุมพร โดยเฉพาะพื้นที่ตำบลบางน้ำจืด ตำบลบางมะพร้าว ซึ่งมีคราบก้อนน้ำมันเกยชาดหาดเป็นจำนวนมากตามแนวชายฝั่งยาวหลายกิโลเมตร

  • วันที่ 18 ธันวาคม 2558: ไทยรัฐออนไลน์
  • พบคราบและก้อนน้ำมันสีดำลอยติดหาดทรายใน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช บริเวณอ่าวไทย เป็นแนวยาว 3-4 กม. มีทั้งเต่าและโลมาหัวบาตร ตายถูกคลื่นซัดเกยหาดบริเวณเดียวกัน

  • วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559: ไทยรัฐออนไลน์
  • “พบก้อนน้ำมันสีดำลอยถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาดในตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ตลอดแนวกว่า 10 กิโลเมตร ก้อนน้ำมันสีดำลักษณะมักจะถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาด บริเวณ อำเภอระโนด สทิงพระ สิงหนคร เป็นประจำทุกปี”

  • วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559: ไทยรัฐออนไลน์
  • “พบก้อนน้ำมันสีดำลอยถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาดในตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาตลอดแนวกว่า 10 กิโลเมตร ก้อนน้ำมันสีดำลักษณะมักจะถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาด บริเวณ อำเภอระโนด สทิงพระ สิงหนคร เป็นประจำทุกปี”

  • วันที่ 25 พฤษภาคม 2560: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
  • “พบคราบน้ำมันลอยติดแนวชายหาดเกาะพะงัน ระยะทางกว่า 500 เมตร โดยชาวบ้านในพื้นที่อ่าวหินกอง หมู่ 6 ต.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี วิตกว่าจะส่งผลต่อพื้นที่ป่าโกงกางแนวชายหาด”

  • วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561: ช่อง 7 และสื่อออนไลน์
  • “พบก้อนวัตถุสีดำคล้ายลักษณะเหนียวข้น จับตัวกันเป็นก้อน กระจายเกลื่อนแนวชายหาด บริเวณทะเลหาดทุ่งซาง ม.5 ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร”

  • วันที่ 2 มีนาคม 2561: มติชนออนไลน์
  • “พบปรากฏการณ์ก้อนน้ำมันดินลอยเกยอยู่ตามชายหาดขนาดตั้งแต่เท่าหัวไม้ขีดถึงเหรียญบาท ส่วนใหญ่มีขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร ถึง 1 เซนติเมตร กระจายตามแนวน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณหาดทุ่งซาง อ.ปะทิว หาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร, หาดริ้น หาดในพื้นที่เกาะพะงัน หาดละไม หาดเฉวง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี”

  • วันที่ 16 กรกฎาคม 2561: TNEWS, แนวหน้าออนไลน์ และ Nation TV
  • “คลื่นลมแรงพัดขยะและคราบน้ำมันลอยเกยชายหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง ยาวกว่า 5 กม. จนท.อุทยานฯ หน่วยงานรุดเก็บคราบน้ำมัน และน้ำทะเลตรวจสอบ”

    ที่มาภาพ: http://songkhlatoday.com/

    ล่าสุดมีรายงานว่าทางบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เตรียมพิจารณา เเละบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานของรัฐ รวม 9 แห่ง ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ, กรมเจ้าท่า, กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรมศุลกากร, กองทัพเรือ, วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี และสมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันรั่ว เริ่ม “โครงการ Crude Oil and Tar Ball Fingerprint Library” หรือโครงการพัฒนาฐานข้อมูลลายนิ้วมือน้ำมันดิบ น้ำมันดิน และผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งวิเคราะห์ทาร์บอลและคราบน้ำมัน เพื่อการบ่งชี้แหล่งที่มาของทาร์บอลและคราบน้ำมันในประเทศไทย

    ถ้าจำกันได้เหตุการณ์ปี 2560 มีรายงานข่าว พบทาร์บอลตามแนวชาดหาดหัวหินและสงขลา กระทรวงพลังงานส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บตัวอย่างมาให้ PTTGC ตรวจสอบ พบว่า เป็นทาร์บอลที่เกิดจากคราบน้ำมันดิบที่มาจากตะวันออกกลาง จึงขอความร่วมมือไปยังสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ “GISTDA” ให้จัดส่งภาพถ่ายทางอากาศมาให้ PTTGC พบว่าเป็นเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่จากตะวันออกกลาง หลังจากที่ขนถ่ายน้ำมันดิบลงที่ท่าเรือสงขลาเสร็จ ได้นำเรือออกจากฝั่งไปล้างคราบน้ำมันบริเวณน่านน้ำไทย ก่อนที่จะไปรับน้ำมันดิบมาส่งรอบถัดไป กรมเจ้าท่าจึงทำหนังสือตักเตือนเจ้าของเรือ ห้ามล้างเรือในน่านน้ำไทยอีก

    จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทาง PTTGC จึงทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับGISTDA เพื่อขอใช้ข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศตรวจสอบแหล่งที่มาของทาร์บอล

    สำหรับโครงการตรวจสอบลายนิ้วมือของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี หลังทราบผลตรวจทางวิทยาศาสตร์จากห้องแล็บว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดใด เป็นคราบน้ำมันดิบหรือน้ำมันเครื่อง ขั้นตอนต่อไปคือการค้าหาแหล่งที่มา เพื่อหาแนวทางป้องกัน แม้จะไม่ได้ผลเต็ม 100% แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างฐานข้อมูลทางด้านวิชาการให้กับประเทศ ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานใดมีฐานข้อมูลประเภทนี้เลย

    ขณะนี้ทางบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จํากัด, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ก็แสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมโครงการนี้กับ PTTGC รวมทั้งกรมควบคุมมลพิษด้วย คาดว่าจะมีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) ในเร็วๆ นี้

    นับเป็นโครงการแรกของประเทศไทย ที่ประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการบ่งชี้แหล่งที่มาของคราบน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเชื่อถือได้ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันได้

    นอกจากภารกิจการบ่งชี้แหล่งที่มาแล้ว โครงการดังกล่าวยังเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน สังคม และนานาประเทศ ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการหารือและจัดทำข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน