ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – ภาพ “เฉลิม” โผล่ปาร์ตี้ “ทักษิณ” และ “เงินเดือน 1.5 หมื่น” อาจทำ ป.ตรี ตกงาน

ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์ – ภาพ “เฉลิม” โผล่ปาร์ตี้ “ทักษิณ” และ “เงินเดือน 1.5 หมื่น” อาจทำ ป.ตรี ตกงาน

13 ตุลาคม 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 7 – 13 ตุลาคม 2555

เรื่องแรก ของสัปดาห์ เป็นเรื่องที่ถูกแชร์ต่อกันในหน้าเว็บไซต์จนเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เมื่อสื่อออนไลน์ของฮ่องกง ชื่อว่าเว็บไซต์เน็กซ์มีเดีย นำภาพคลิปวิดีโอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่ชายนายกรัฐมนตรีของไทย ที่มีการจัดปาร์ตี้กับคนสนิทที่ประเทศฮ่องกง พร้อมยังปรากฏให้เห็นว่ามี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินอยู่ข้างๆ

ทั้งนี้ ตามข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการจัดปาร์ตี้ติดกันเป็นเวลา 2 คืน กับบรรดาคนสนิทประมาณ 20 คน โดยเป็นคนไทยเกินกว่าครึ่ง ที่บริเวณริมสระน้ำของโรงแรมหรู โดยคาดว่าใช้เงินในการจัดงานเลี้ยงไปประมาณ 300,000 – 400,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 1.2-1.6 ล้านบาท

หลังจากที่มีภาพข่าวหลุดออกไป ทาง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า ตนเดินทางไปประเทศฮ่องกงพร้อมครอบครัว และไม่ได้พบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อพูดคุยเรื่องกระแสเรื่องการปรับ ครม. แต่อย่างใด ส่วนในคลิปภาพที่ปรากฏนั้นเป็นคลิปเก่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2550 แล้ว

ที่มาภาพ: http://www.job1hit.comnews5948
ที่มาภาพ: http://www.job1hit.comnews5948

อีกทั้งสื่อฮ่องกงยังนำเสนอคลิปวิดีโอการเดินทางเข้าพักที่โรงแรมหรูเพนนินซูลา ย่านซิมซาจุ่ย แหล่งช็อปปิ้งชื่อดังฝั่งเกาลูน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา และการเดินชมสินค้าแบรนด์เนมทั้ง ชาแนล, ปราด้า และแอร์เมส ด้วยสีหน้าที่มีความสุข

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวฮ่องกงได้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงการเดินทางมาที่ฮ่องกง เพราะลูกได้ซื้อบ้านไว้ที่นี่ และไม่มีแผนทำธุรกิจใดต่อในฮ่องกง พร้อมตอบกึ่งหัวเราะว่า ตนเองไม่มีเงินแล้วจริงๆ

“มันเป็นยุคที่ทำชั่วแล้วได้ดี ทำดีไม่มีใครสนับสนุน มันเลยเกิดการเลียนแบบไม่ใช่นักการเมืองอย่างเดียวตอนนี้มันลามไปถึงเยาวชนแล้ว”

“โกหกสร้างภาพกันจนเป็นเรื่องปรกติ ตอนนี้เริ่มย่ามใจไม่แคร์ความรู้สึกคนในประเทศแล้ว เพราะคิดว่าคนไทยทั้งประเทศใช้เงิน ใช้ลาภยศ ใช้ตำแหน่งทางราชการ ซื้อได้ เพราะฉะนั้นมันอยากจะทำอะไรประเทศนี้ก็ได้ ตามแนวความคิด แปลงทรัพย์สินของชาติ ให้เป็นทุนส่วนตัว”

“ทำใจนะคนพวกนี้กำลังเล่นตลกให้เราดูกัน เพราะพวกเขาคิดว่าคนไทยไม่ฉลาด ที่ปล่อยให้พวกเขาทำอะไรกับบ้านเกิดเมืองนอนก็ได้”

“ธุรกิจการเมือง….ผลประโยชน์จากพ่อค้าอำนาจ….ประชาชนรันทดใจ…เพราะถูกแบ่งแยกด้วยผลประโยชน์ล่อ…กู้มาปรนเปรอฐานเสียง ประชานิยม ….ต้องสิ้นประเทศในอีกไม่ช้าคอยดู”

“ผมบอกแล้ว ไปพบหรือไม่พบ วันหนึ่ง คลิปภาพก็ต้องออกมา (ถ้าไปพบ) แต่ ถ้าวันที่ท่านเฉลิมกลับมาแล้วประกาศไปดังๆว่า “ได้ไปพบจริง” ผมว่าท่านฯจะเท่ห์และน่าเกรงขามมากกว่าครับ!…เสียดาย”

เรื่องที่สอง หลังจากที่มีแผ่นกระดาษและแผ่นป้ายติดกระจายอยู่ทั่วพื้นของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา จนมีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง และเกิดเป็นประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของ นายกฤษฎา สุขสำเนียง อาจารย์คณะครุศาสตร์ สาขาศิลปกรรม แขนงดนตรีไทย ในเรื่องชู้สาว โดยบังคับให้นักศึกษามาร่วมหลับนอนด้วยเพื่อแลกเกรด หรือไม่ก็ไม่ยอมออกเกรดให้กับนักศึกษาที่ไม่ยอมทำตาม

หลายสำนักข่าวรายงานการให้สัมภาษณ์ของนางสาวเอ (นามสมมติ) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หนึ่งในผู้เสียหายซึ่งเกิดเรื่องมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ขณะที่นางสาวเอเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 เวลาประมาณ 03.00 น. ซึ่งมีเพื่อนสนิทของตนมาปลุกที่ห้อง พร้อมกับบอกว่า อาจารย์กฤษดาเรียกให้ไปพบที่ห้องพักที่อยู่อาคารเดียวกัน ตรงสี่แยกพรานนก เนื่องจากในตอนเช้าจะมีการประชุม ถ้าไม่ไปพบอาจารย์จะมีผลต่อเรื่องเกรดด้วย แต่เมื่อนางสาวเอไปถึง อาจารย์กฤษดากลับอยู่ในสภาพมึนเมา และได้ทำการลวนลาม ใช้กำลังข่มขืนตนจนสำเร็จความใคร่ไป 1 ครั้ง อีกทั้งยังขู่ไว้ว่าห้ามบอกใคร ถ้าไม่อยากมีปัญหาเรื่องเกรด

ทั้งนี้ ยังมีนักศึกษาผู้เสียหายอีก 3 คน ที่ให้การในทำนองเดียวกัน แม้กระทั่งบนรถทัวร์ ระหว่างที่คณะนักศึกษาเดินทางไปแสดงดนตรีไทยที่ จ.เชียงราย ก็ยังถูกอาจารย์ผู้นี้ลวนลาม ด้วยการจับมือและใช้คำพูดเชิงชู้สาว จนกระทั่งเรื่องนี้มีผู้พูดถึงกันปากต่อปากภายในสถาบัน จากการพูดคุยกับเพื่อนนักศึกษาที่ประสบเหตุแบบเดียวกันให้ระวังอาจารย์คนนี้ จนต่างฝ่ายทนไม่ไหว รวมตัวกันเพื่อเข้าปรึกษาหารือกับอาจารย์ผู้หญิงที่เคารพนับถือ เพื่อดำเนินการในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและอนาจาร

ทางด้านนายไม้ (นามสมมติ) นักศึกษาคณะครุศาสตร์ ที่เรียนกับอาจารย์รายนี้ ก็เปิดเผยว่า มีนักศึกษาประมาณ 300 คน ที่อาจารย์ไม่ออกเกรดให้ เมื่อสอบถามอาจารย์ก็บ่ายเบี่ยง และไม่ชี้แจงรายละเอียดคะแนน ทั้งนี้ยังบอกอีกว่ามีรุ่นพี่ผู้หญิงถูกข่มขืนมาแล้ว เป็นนักศึกษาหญิง 2 คน และชายด้วย 1 คน โดยนักศึกษาชายคนนั้นถึงขั้นอยู่กินด้วยกันเลย ซึ่งเมื่อตอนที่ตนเข้ามาเรียนชั้นปีที่ 1 ยังเคยถูกอาจารย์รายนี้จับอวัยวะเพศ แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไร เพราะไม่คิดว่าอาจารย์จะมีนิสัยเช่นนี้

ที่มาภาพ http news.sanook.com
ที่มาภาพ http news.sanook.com

ล่าสุด หลังจากที่นักศึกษามีการรวมตัวและเข้าแจ้งความเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีรายงานข่าวว่าคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้สั่งพักงานนายกฤษฎาไม่มีกำหนด และตั้งคณะกรรมการสืบสวน เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ซึ่งหากเป็นความจริง ก็จะไล่ออกทันที

ขณะนี้ นายกฤษฎา ได้กล่าวปฏิเสธเรื่องราวชู้สาวที่เกิดขึ้น และบอกว่ายังไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูลใดๆ กับสื่อมวลชน โดยขอเวลาก่อน เพราะอยากไปทำบุญ เพื่อทำใจก่อนกลับมาให้ข้อมูลตามข้อกล่าวหาทั้งหมด

“เป็นถึงอาจารย์ไม่น่าคิดผิดเลย เสียดายความรู้จริงๆ เพราะดำริในกามคุณ ตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ทำให้สังคมของครูถูกมองในแง่ลบไปด้วย”

“เหมือนสังคมได้ตัดสินอาจารย์ท่านนี้แล้ว ว่าข่มขืนจริง ถึงได้เอารูป ชื่อ นามสกุลมาประณามแบบนี้ ถ้าหากทำผิดจริงก็ขอให้ชดใช้กรรมในคุก แต่หากไม่ได้ทำผิดจริง ขอให้ฟ้องสื่อที่ตีแผ่ และตัวนักศึกษาเองได้เป็นคดีตัวอย่าง อ่านข่าวดีดีแล้วรู้สึกแปลกๆ ความคิดส่วนตัว…แทนที่จะไปแจ้งความก่อนแต่นักศึกษากลับเตรียมการประท้วง ก่อนเหมือนมีผู้สนับสนุน พิกล พิกลงานนี่ต้องติดตามกันต่อไป”

“ทำไมไม่พูดตั้งแต่ตอนโดนกระทำ แล้วถ้า..ถ้าอาจารย์เป็นเช่นนั้นจริงๆ จะเอาผิดได้ยังไง ขนาดคนที่เรารู้จัก มีอะไรกับนักศึกษาไปทั่ว สถาบันยังปกป้องเลย สรุปลอยนวล”

“ในเมื่อ มีคนพูดถึงเรื่องจรรยาบรรณ ของความเป็นครู ผมขอถามทุกวันนี้ พวกคุณยืนหยัดอยู่ได้เพราะใคร ครูใช่หรือไม่ ลูกๆ คุณมีความเป็นผู้เป็นคนเพราะใคร ครูใช่หรือไม่ พวกคุณเป็นผู้เป็นคนได้เพราะรอยไม้เรียว ทุกๆครั้งที่ตีไม่ใช่ตีเพราะความโกรธ แต่เพื่อนให้รู้ถึงความถูกต้อง การเรียนสมัยนี้ ออกกฎห้ามตีเท่ากับว่า อาวุธที่จะนำความถูกต้องความมีกฎระเบียบก็ถูกยึดไป ครูก็เป็นคนเหมือนกัน มีจิตใจเหมือนกัน แต่จะมีซักกี่คนละที่ได้ดิบได้ดีแล้วจะหวนรำรึกถึงพระคุณของครู จะมีซักกี่คนที่เป็นห่วงเป็นใยครู จะมีซักกี่คนที่เข้าใจหัวอกความเป็นครู เด็กเรียนเก่งอ้างว่าเด็กฉลาดมีความสามารถ เด็กไม่เก่งโทษครูไม่ดี ครูก็มีจิตใจมีเลือกเนื้อไม่ใช่เรือจ้างที่ส่งษิตย์ข้ามฝั่งแล้วถีบหัวเรือส่ง เพราะคนที่พวกคุณวิจารญ์อยู่นี้คือครูที่เป็นที่เคารพ เป็นครูที่ผมนับถือ เป็นต้นแบบของความถูกต้อง เพราะมันเป็นหน้าที่ ที่ศิษย์คนนึงจะจรรโลงเชิดชูพระคุณของครู ผมพูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่มีครู ผมก็จะไม่มีวันนี้”

“ยังไม่ออกมาพูด ขอไปทำบุญก่อน สงสัยจะขอเวลาไปเขียนโพย มาอธิบายความเท็จ”

“อยากให้กฎหมายไทยเอาผิดกับ บุคคลที่ใช้กำลังกับผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ หรือคดีที่เกี่ยวกับลวงละเมิดทางเพศ กฎหมายไทยไม่เด็ดขาด ถึงทำให้มีคนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก”

เรื่องที่สาม ข่าวนายกฤตภัค ดวงไชย อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดลำปาง อ้างว่าเป็นตนเองเป็นบุคคลที่มี 2 เพศ มีทั้งอวัยวะชายและหญิงในตัว โดยอวัยวะเพศหญิงอยู่ด้านล่าง และอวัยวะเพศชายอยู่ด้านบน ซึ่งทุกเดือนก็จะมีรอบเดือนเหมือนผู้หญิงทั่วไปประมาณครั้งละ 2 วัน ในขณะที่อวัยวะเพศชายก็สามารถใช้การได้ตามปกติ และเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงมาแล้ว ทำให้ตนเองเกิดความสับสนว่า จริงๆ แล้วตนเป็นเพศใดกันแน่ แต่ก็ได้มีการไปตรวจฮอร์โมน ซึ่งก็พบว่าตนเองมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่า มีหนวด และมีขนหน้าแข้ง ทำให้มีความคิดอยากจะผ่าตัดเอาอวัยวะเพศหญิงออก แต่ก็ติดที่ไม่มีเงินผ่าตัด ซึ่งหลังจากการตรวจร่างกาย นายกฤตภัคได้นำใบรับรองแพทย์ไปที่ว่าการอำเภอ เมืองลำปาง และขอเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจาก “นางสาว” เป็น “นาย” เรียบร้อยแล้ว

ตามรายงานข่าวยังบอกอีกว่า นายกฤตภัคเล่าว่านางเพ็ญศรี ดวงไชย มารดาของตน แจ้งเกิดให้ตนเองเป็น เด็กหญิง แต่เมื่อโตขึ้นเริ่มเป็นวัยรุ่น มีความรู้สึกของความเป็นชายเต็มตัว อีกทั้งมีความตั้งใจจะบวชเป็นพระ แต่ก็ติดที่ร่างกายมีสองเพศ ทำให้ตนมีความรู้สึกอึดอัดมาก เพราะจิตใจเป็นเพศชายเต็มร้อย แต่กลับมีอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง จึงวอนสื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าว เพื่อให้คนใจบุญเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อนำเงินไปผ่าตัดอวัยวะเพศหญิงออกจากร่างกาย รวมไปถึงมดลูกที่ผลิตฮอร์โมนเพศและทำให้มีรอบเดือน

นายกฤตภัค ดวงไชย  ที่มาภาพ: http://www.naewna.comuploadsnewsheadline25772.jpg
นายกฤตภัค ดวงไชย ที่มาภาพ: http://www.naewna.comuploadsnewsheadline25772.jpg

ทางด้านนางเพ็ญศรีผู้เป็นมารดากลับยืนยันว่า ลูกของตนเป็นเพศหญิงตั้งแต่กำเนิดแต่มีความอยากเป็นผู้ชายตั้งแต่ชั้น ม.5 ซึ่งทางบ้านไม่เห็นด้วย และไม่เคยสนับสนุน จนกระทั่งเรียนจบได้ไปเรียนที่อื่น และไม่เคยกลับมาปรึกษาอะไรทางบ้านอีกเลย และที่มีเสียงใหญ่ทุ้มเหมือนเพศชาย ก็เนื่องจากไปกินฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งกินติดต่อกันมาเป็นเวลา 8-9 ปีแล้ว อีกทั้งยังมารู้ภายหลังว่าลูกสาวของตนได้ไปศัลยกรรมผ่าตัดเต้านมออกด้วย ทั้งนี้ ทางครอบครัวทุกคนได้ยืนยันว่านายกฤตภัค เป็นผู้หญิงแน่นอน แต่เพราะนายกฤตภัคต้องการเป็นผู้ชาย ซึ่งทางบ้านไม่เห็นด้วย จึงไม่ให้การช่วยเหลือใดๆ

ทั้งนี้ หลายสำนักข่าวรายงานความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า นพ.ทรงวุฒิ ทรัพย์ทวีสิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำปาง อธิบายรายละเอียดของนายหรือนางสาวกฤตภัคนี้ว่า ไม่ได้เป็นบุคคล 2 เพศ ตั้งแต่กำเนิด โดยแพทย์ตรวจสอบพบว่าผู้ป่วยมีโครโมโซมเพศหญิง แต่มีประวัติการทำศัลยกรรมหน้าอก โดยตัดหน้าอกออก และมีการกินฮอร์โมนเพศชายอย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง คือ มีขนขึ้นตามตัว มีหนวด และคลิตอริสยื่นออกมาคล้ายอวัยวะเพศชาย ซึ่งแพทย์ชี้ว่านี่เป็นเพียงการสับสนเพศเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดปกติทางร่างกายที่เกิดมาแล้วมีสองเพศแต่อย่างใด

จนท้ายที่สุด นายกฤตภัคก็ได้ออกมายอมรับและเปิดใจว่า ที่ผ่านมาตนได้กินฮอร์โมนเพศชายจริง และกินมาตั้งแต่อายุได้ 20 ปี เมื่อเสียงเปลี่ยนก็หยุดกิน แต่เสียงก็ยังใหญ่และทุ้มเหมือนเดิม แต่เพราะอึดอัดกับการใช้ชีวิตประจำวัน อยากแต่งงานมีครอบครัว และต้องการบวชพระ จึงต้องการเปลี่ยนอวัยวะเพศเป็นชาย แต่เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง จึงออกมาขอความช่วยเหลือผ่านสื่อมวลชน อีกทั้งยังยืนยันว่า ตนมีอวัยวะชายเพศชายโผล่ออกมาจริง แต่มีขนาดเล็กเท่าของเด็ก และเคยซื้อยามาทา เพื่อเพิ่มขนาดแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล

“สรุป เล่าเรื่องไม่จริง เพื่อหาเงินค่าผ่าตัด ตามความต้องการของตัวเอง”

“คุณรู้ไหมว่ามีคนที่น่าสงสารกว่าคุณ เพราะตอนที่เราพาลูกไปรักษามีเด็กบางคนที่เป็นแต่ไม่มีเงินค่ารถพาลูกมารักษา แต่คุณไม่ได้เป็นกลับไปกินยาให้เป็น มันดีแล้วเหรอ”

“ตอนแรกผมก็น่าสงสารนะ แต่พออ่านข่าวโดยละเอียดแล้ว มันน่าสมน้ำหน้ามากว่า มันไม่ใช่เป็นความผิดปกติทางธรรมชาตินะ แต่มันเป็นความผิดปกติที่ตัวเองก่อขึ้น แต่เป็นการกินฮอโมนเพศชายมากเกินไปกินมานาน 9 ปี จึงทำให้เกิดความผิดปกติ แล้วมาร้องขอความช่วยเหลือหาเงินไปเปลี่ยนเพศ มันน่ามั๊ยหล่ะคับ เสียชื่อทอมเหนือหมดเลย”

“ช่วยบริจาคเงินครับ ให้เขาได้ผ่าตัดเอาเพศหญิงออก จะได้บวชได้ ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วย”

“ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ อย่าเพิ่งท้อ เชื่อว่าคนรวยที่ใจบุญต้องยื่นมือมาช่วยเหลือแน่ๆ”

“จริงๆ แล้ว ถ้าอยากบวชจริงๆ เรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องที่ขวางกั้นได้หรอกค่ะ เพราะว่าผู้หญิงตั้งมากมายที่บวชเป็นแม่ชี แล้วเป็นอริยสาวิกา สืบทอดพระพุทธศาสนาได้เหมือนกัน”

เรื่องที่สี่ เป็นข่าวของการลักลอบค้ายาเสพติดผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ทำการจับกุม นายอาทิตย์ ขัดทา และ น.ส.วารินทร์ วันชูพริ้ง นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ บริเวณหอพักย่านชุมชนสันติธรรม ด้วยข้อหาค้ายาบ้าผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมของกลางยาบ้า 802 เม็ด

ผู้ต้องหารายนี้ได้รับสารภาพว่า ใช้เฟซบุ๊กในการติดต่อซื้อขายยาบ้าจริง โดยใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า “ร้าวราน เชียงใหม่” ซื้อขายผ่านการคุยในข้อความส่วนตัว พร้อมทั้งบอกแหล่งรับซื้อ ว่ามาจากเครือข่ายที่อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังเปิดเผยอีกว่า ตอนนี้การขายยาบ้าผ่านทางเฟซบุ๊กกำลังระบาดไปทั่วเมืองเชียงใหม่ เพราะเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ก็ยังมีกรณีของนายนัท เยาวชนอายุ 17 ปี ที่ถูกจับได้พร้อมของกลางเป็นยาบ้า 10 เม็ด เงินสด 1,700 บาท โดยใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า “หลานคุณยายน้อง ลีลาคลาสสิก” ขายยาเสพติดให้กับสมาชิกกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่อำเภอหางดงและใกล้เคียง ทั้งยังมีการกำหนดศัพท์เพื่อใช้เรียกแทนยาบ้า เช่นคำว่า “แมง” และ “คัว”

จาก 2 กรณีนี้ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างเร่งขยายผลไปยังเครือข่ายรายใหญ่ รวมทั้งกลุ่มนักเสพยากว่า 200 คน เพราะมีมากกว่า 10 คน ที่มีการโพสต์ซื้อขายกันผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งส่วนมากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ทั้งสิ้น

“เพราะใช้เทคโนโลยี ในทางที่ผิด อนาคตดับเลย เยาวชนไทย”

“ยาบ้าทุกวันนี้ซื้อง่าย ขายคล่อง ไม่ต้องกลัว เจอรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ จะไม่มีใครกลัวแล้ว คุกก็จะล้น เพราะไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร รัฐบาลก็กู้มาโกง หาเงินไว้ซื้อเสียง คนติดยาบ้ามันไม่สนหรอก ขอให้มันได้เงินมันก็เอา ที่ฉันเขียนมานี้สนุกจะลงให้ หรือ ไม่ก็ตาม ประเทศไทยมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

“เด็กเอายาบ้ามาจากใคร ตามไปจับด้วย ต้องขุดรากถอนโคนให้หมด”

“แปลกตรงไหน? ยาปลุกเซ็กส์ก็ขายผ่านเฟซบุ้ค ขายตัวก็ผ่านเฟซบุ้ค ยิ่งแท้บเล็ตแยะๆ ยิ่งขายดีใหญ่เลย สงสัยจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม ต้อนรับอาเซี่ยน”

“ทุกวันนี้ การสื่อสารอะไรมันก็ง่ายไปหมด มุมมืดของสังคมก็เยอะ น่าสงสารเด็กไทย ต่อไปจะใช้อะไรพัฒนาจิตใจ เพราะไม่มีอะไรที่จรรโลงใจซักอย่างเลย ทั้งยาเสพติด สื่อลามก ผู้ใหญ่จะหันมาให้ความใส่ใจก็ช้าไป แม้แต่ผู้ใหญ่บางคน ยังทำมันเองเลย”

เรื่องที่ห้า จากนโยบายรัฐบาลนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท บวกกับการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 15,000 บาทต่อเดือน ล่าสุด สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ มีการเปิดเผยว่า จำนวนผู้ว่างงานที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2556 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 หรือ 1.6-1.7 แสนคน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.45 แสนคน จากการเปิดเผยอัตราการว่างงานหลังจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในเดือนเมษายน จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 8 หรือเพิ่มจากประมาณ 3 แสน เป็น 4 แสนคน ทั้งนี้ด้วยค่าแรงที่สูงขึ้น ทำให้นายจ้างพยายามรักษาอัตราการจ้างงานไว้และไม่จ้างคนใหม่เพิ่ม

ภาพประกอบ ที่มาภาพ: http://natui.com.au2010pagemode=content-detail&catid=&id=1997
ภาพประกอบ ที่มาภาพ: http://natui.com.au2010pagemode=content-detail&catid=&id=1997

อีกทั้งการปรับขึ้นเงินเดือน ยังมีผลกระทบทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ เพราะถ้าปรับแต่เงินเดือนแรกเข้าจะไม่ยุติธรรมต่อข้าราชการเดิม และในส่วนของภาคเอกชนก็ต้องมีเกณฑ์การคัดเลือกคนเข้าทำงานมากขึ้น เพราะจะมีการรับคนเพิ่มได้จำนวนน้อยลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ถึงแม้จะมีความต้องการแรงงานเพิ่ม ซึ่งน่าจะดูดซับแรงงานได้ประมาณ 1 แสนคน แต่จะเน้นจ้างงานผู้ที่จบการศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส. มากกว่าระดับปริญญาตรี

“ต่อไปการสมัครงาน คงให้ยื่นวุฒิกันแค่ ม.6 หรือ ปวช / ปวส. และระบุความสามารถพิเศษ ป.ตรี เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์เงินเดือนของบริษัทโดยไม่ผิดกฎหมาย”

“นโยบาย 15000 มันบังคับใช้ได้แต่ราชการนี่ครับ บังคับเอกชนไม่ได้ แต่แรงงานภาคเอกชนมีเยอะกว่าราชการหลายเท่า นโยบายอะไรก็ไม่รู้ รถยนต์คันแรก ก็ทำรถติดไม่ขยับไปแล้ว เดี๋ยวก็คงล่มกันหมดทุกนโยบาย”

“งั้นก็หมายความว่าต้องยอมทนทำงานที่ๆ ไม่ได้เงิน 15000 ใช่หรือป่าว แล้วอย่างนี้นโยบาย 15000 ต่อเดือน ก็ไม่ได้ช่วยอะไรประชาชนได้เลยนะสิ หรือ ช่วยได้เฉพาะบางกลุ่ม เท่านั้น ค่าครองชีพก็สูงขึ้นมาก”

“แรงงานไทยไม่มีงานทํา เพราะ 300 บาท นี้จะทำให้ ป.ตรี ตกงานอีก เพราะ 15000 ค่าแรงมีจริงแต่เขาไม่รับทุกอย่างก็จบ ขอบคุณ พท ที่สนับสนุนแรงงานต่างชาติ”

“อยากจะรู้นัก นักวิเคราะห์ลองลดเงินเดือนลงเหลือ 6000 บาทมั่งจะเอาไหม เงินเดือนขึ้น ของแพงตาม อาจจะจริงตามหลักเศรษฐศาสตร์ แต่อย่าลืมนะคะว่าประเทศไทยคือตลาดเสรี ใครขายแพงคนไม่ซื้อหรอกค่ะ อย่างเช่นข้าวขาหมูที่มีพรรคการเมืองหนึ่งมาแฉจานละ 65บาท เลี่ยงกินได้ค่ะ อาหารตามสั่ง 20-35บาทมีเยอะแยะไป”

“ผลงานของ พท.ที่เอาแต่หวังเรียกคะแนนเสียงจนไม่ยอมคิดให้ดีถึงผลกระทบต่อประเทศชาติในระยะยาว แล้วพรรค พท.และกลุ่มคนที่สนับสนุนพรรคนี้จะรับผิดชอบอย่างไร”