ASEAN Roundup ประจำวันที่ 1-7 มิถุนายน 2568
เวียดนามย่นเวลาออก Work Permits ให้ต่างชาติภายใน 10 วัน

ขณะนี้กระทรวงยุติธรรมกำลังพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกเครื่องระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับแรงงานต่างชาติในเวียดนาม หากได้รับการอนุมัติ มาตรการดังกล่าวจะลดระยะเวลาดำเนินการสูงสุดในปัจจุบันจาก 36 วันเหลือ 10 วัน โดยนับจากวันที่ยื่นขอ
กระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า กรอบเวลาเร่งด่วนนี้จัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้เวียดนามตอบสนองความต้องการแรงงานเร่งด่วนในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ภายใต้บริบทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 นวัตกรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมและการปรับปรุงให้ทันสมัย
เวียดนามได้ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากมายที่ต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง สร้างและดำเนินโครงการและงานระดับชาติที่สำคัญหลายโครงการ (รถไฟความเร็วสูงเหนือ-ใต้ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์) สาขาใหม่ๆ (พลังงานสีเขียว) อุตสาหกรรมและอาชีพเฉพาะ จึงต้องการการแก้ไขข้อบังคับเกี่ยวกับการรับรองผู้เชี่ยวชาญ เพื่อดึงดูดทรัพยากรบุคคลจากภายนอกมาพัฒนาประเทศ
กระทรวงมหาดไทยได้ทบทวนขั้นตอนการรายงานและการชี้แจงความจำเป็นต่อแรงงานต่างด้าวในขั้นตอนการยื่นคำร้องขอใบอนุญาตทำงาน โดยตามแผนดังกล่าว คาดว่าจะลดระยะเวลาในการออกใบอนุญาตทำงานจาก 36 วันเหลือ 10 วัน ตามกำหนดการยื่นคำร้องขอใบอนุญาตทำงาน
ใบอนุญาตทำงานอาจได้รับการอนุมัติโดยขึ้นอยู่กับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรม หรือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในกรณีพิเศษ รัฐบาลสามารถออกใบอนุญาตผ่านเงื่อนไขข้อยกเว้นตามคำแนะนำของกระทรวงมหาดไทย
ร่างแก้ไขได้กำหนดหลักเกณฑ์การกระจายอำนาจในการออกใบอนุญาตทำงานให้กับคนต่างชาติไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น กระทรวงมหาดไทยจะออกใบอนุญาตได้เฉพาะกรณีพิเศษบางกรณีเท่านั้น เช่น พนักงานที่ทำงานให้กับหน่วยงาน องค์กร บริษัทที่รัฐบาล นายกรัฐมนตรี กระทรวง หน่วยงานระดับกระทรวง หรือองค์กรระหว่างประเทศ บุคคลที่ทำงานในหลายจังหวัดและหลายเมือง หรือกรณีที่บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ในท้องที่หนึ่งแต่มีสาขาในอีกท้องที่หนึ่ง
ที่สำคัญ ร่างดังกล่าวได้อนุญาตให้ผู้จ้างงานสามารถเลือกดำเนินการที่กระทรวงมหาดไทย หรือหน่วยงานระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องมีความสะดวกและยืดหยุ่นมากขึ้น
ในส่วนของขั้นตอนการบริหารที่ดำเนินการโดยท้องถิ่น ร่างกฎหมายกำหนดให้คณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการ และยังได้รับอนุญาตให้มอบหมายงานให้กับหน่วยงานเฉพาะทาง เช่น สำนักงานกรมกิจการภายใน หรือองค์กรบริหารอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง แนวทางนี้มุ่งหวังที่จะให้แน่ใจว่าการจัดการเอกสารจะรวดเร็วและใกล้ชิดกับท้องถิ่น สอดคล้องกับบทบัญญัติใหม่ของกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบรัฐบาลและกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบรัฐบาลท้องถิ่นในปี 2568
ร่างกฎหมายยังระบุแนวทางการส่งเสริมการรับและดำเนินการกับใบคำขออนุญาตทำงานผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์อย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็สร้างฐานข้อมูลรวมของแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในเวียดนาม ฐานข้อมูลนี้จะเชื่อมต่อกับระบบการจัดการพลเมืองต่างด้าว ทำให้การจัดการและการค้นหาสะดวกและแม่นยำยิ่งขึ้น
ในส่วนของใบรับรองสุขภาพ ร่างแก้ไขจะยอมรับใบรับรองทั้งที่ออกโดยสถานพยาบาลต่างประเทศหรือเวียดนาม โดยต้องมีอายุ 12 เดือนนับจากวันที่ยื่นคำร้อง ในกรณีที่ใช้ใบรับรองสุขภาพของเวียดนาม ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนงานไม่มีโรคติดต่อใดๆ ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
ร่างแก้ไขยังเสริมขั้นตอนการบริหารสำหรับการออกใบรับรองใหม่ ต่ออายุใบรับรอง หรือเพิกถอนใบรับรองที่ไม่ต้องมีใบอนุญาต โดยให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น สูญหาย เสียหาย หรือหมดอายุ
จากสถิติพบว่า ณ สิ้นปี 2567 มีแรงงานต่างด้าวทำงานในเวียดนามประมาณ 161,992 ราย ในจำนวนนี้ 12,797 รายไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตทำงาน ส่วนที่เหลืออีก 149,195 รายต้องได้รับใบอนุญาต ในกลุ่มที่ต้องมีใบอนุญาต มีกรณีใหม่ที่ได้รับอนุมัติ 108,932 กรณี ขยายระยะเวลา 18,779 กรณี อนุมัติใหม่อีกครั้ง 11,936 กรณี และ 9,548 รายอยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาต
แรงงานต่างด้าวในเวียดนามมาจากประมาณ 110 ประเทศ โดยแรงงานจีนคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดที่ 30.9% รองลงมาคือเกาหลีใต้ (18.3%) ไต้หวัน (12.9%) และญี่ปุ่น (9.5%) ส่วนกลุ่มประเทศที่เหลือคิดเป็นเพียง 28.4%
เวียดนามนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯเพิ่ม 3 พันล้านดอลล์

การลงนามในข้อตกลงมีขึ้นระหว่างการเยือนของคณะผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมของเวียดนามที่รัฐไอโอวา โอไฮโอ แมริแลนด์ และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างวันที่ 2-6 มิถุนายน นับเป็นก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ
คณะผู้แทนซึ่งนำโดยรัฐมนตรีโด ดึ๊ก ดุย ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงาน ธุรกิจทางการเกษตร และสมาคมต่างๆ ของเวียดนามเกือบ 50 แห่ง การเยือนครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างสองฝ่ายและเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้เวียดนามเพิ่มการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและไม้จากสหรัฐฯ นอกจากนี้ คณะผู้แทนยังมุ่งไปที่การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของห่วงโซ่มูลค่าทางการเกษตรของเวียดนาม
บันทึกความเข้าใจที่ลงนามกันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความปรารถนาดีของทั้งภาคธุรกิจและรัฐบาลเวียดนามในการส่งเสริมการค้าที่สมดุลกับสหรัฐฯ
ภาคธุรกิจต่างมีความหวังว่าทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกันได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดภาษีศุลกากรของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน (Comprehensive Strategic Cooperative Partnership)
ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของเวียดนามยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับสภาธัญพืชแห่งสหรัฐฯ (USGC) อีกด้วย
เวอริตี้ อูลิบาร์รี ประธาน USGC กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน และการลงนามบันทึกความเข้าใจนี้ยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของสภาในการทำงานร่วมกับเวียดนามและอำนวยความสะดวกให้กับการค้าทางการเกษตร
ในการประชุมระหว่างคณะผู้แทนและสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ( US-ASEAN Business Council :USABC) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายเท็ด โอเซียส ประธานและซีอีโอของ USABC ได้แสดงการสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อการพัฒนาด้านการเกษตรของเวียดนาม
นายโอเซียสกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ได้สร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ท้าทาย และแสดงความชื่นชมที่เวียดนามกำลังพิจารณาเพิ่มการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐฯ เพื่อช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
นายโอเซียสให้คำมั่นว่า USABC และบริษัทสมาชิกจะยังคงสนับสนุนการเติบโตของภาคส่วนอาหารและการเกษตรของเวียดนามต่อไป
รัฐมนตรีโด ดึ๊ก ดุย ตอบด้วยการยืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของรัฐบาลเวียดนามในการปฏิรูปสถาบันอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหาร ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยที่สุดสำหรับธุรกิจต่างชาติ รวมถึงบริษัทสหรัฐฯ เพื่อขยายการลงทุนและดำเนินการในเวียดนามในระยะยาวและมีประสิทธิผล
ในการสัมภาษณ์รอบนอก นายโอเซียส เน้นย้ำว่าบันทึกความเข้าใจที่ลงนามไม่เพียงแต่ดีในด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ยังดีในด้านการเมืองอีกด้วย เนื่องจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่มาจากรัฐต่างๆ ในชนบทของสหรัฐฯ เช่น โอไฮโอและไอโอวา ซึ่งทั้งสองรัฐเพิ่งลงนามข้อตกลงสำคัญไป
รัฐมนตรีโด ดึ๊ก ดุย กล่าวว่า คณะผู้แทนได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ หน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนชาวอเมริกันผ่านเวทีและการประชุมต่างๆ ว่าเวียดนามให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้านกับสหรัฐฯ
การค้าและการลงทุนถือเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์นี้ และเวียดนามยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับความเป็นหุ้นส่วนนี้ไปสู่อีกระดับหนึ่งในช่วงเวลาปัจจุบันและในปีต่อๆ ไป
การส่งออกเวียดนามรอบ 5 เดือนโต 14%

เฉพาะเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว รายได้จากการค้ารวมอยู่ที่ 39.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 180,230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นมูลค่าการส่งออกจากธุรกิจในประเทศ 49,620 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.5% และมูลค่าการส่งออกจากบริษัทต่างชาติ 130,610 ล้านเหรียญสหรัฐ (รวมน้ำมันดิบ) เพิ่มขึ้น 14.5%
มีสินค้า 25 รายการที่มีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 90% ของการส่งออกทั้งหมดไปยังต่างประเทศ โดย 7 รายการมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 67.3% ของการส่งออกทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ประเทศใช้จ่ายเงิน 175,560 ล้านเหรียญสหรัฐในการนำเข้าสินค้าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ภาคส่วนในประเทศนำเข้าสินค้ามูลค่า 62,040 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 12.9%) ในขณะที่ภาคส่วนที่มาจากการลงทุนจากต่างประเทศมีมูลค่าการนำเข้า 113,520 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 20.2%)
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯมี 29 รายการ คิดเป็น 86.9% ของการนำเข้าทั้งหมด ในจำนวนนี้ มี 4 รายการที่มีมูลค่าการนำเข้าเกิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 51.6%
สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามในช่วง 5 เดือนแรก โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 57,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน จีนยังคงเป็นซัพพลายเออร์สินค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยมีมูลค่าการนำเข้า 69,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ 49,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 28.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี) 16,300 ล้านเหรียญสหรัฐกับสหภาพยุโรป (เพิ่มขึ้น 16%) และ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯกับญี่ปุ่น (เพิ่มขึ้น 74.8%)
อินโดนีเซียเดินหน้าเข้าเป็นสมาชิก OECD ส่งเอกสารการประเมินตนเองแล้ว

เอกสารข้อตกลงเบื้องต้นดังกล่าวเป็นการประเมินขั้นต้นด้วยตนเองในเรื่องความสอดคล้องของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นโยบายและการปฏิบัติของประเทศอินโดนีเซียให้ตรงกับมาตรฐานและหลักการปฏิบัติที่ดีขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เอกสารนี้จึงถือเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการก้าวเข้าสู่ช่วงระยะเชิงเทคนิคแบบเบ็ดเสร็จครอบคลุมตามกระบวนการของการเข้าร่วมเป็นสมาชิกแห่งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
การเข้าเป็นสมาชิก OECD ประกอบด้วย 2 กระบวนการหลัก ได้แก่ กระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิก และกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก รวม 10 ขั้นตอน ซึ่งอินโดนีเซียได้ดำเนินกระบวนการสมัครเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกเรียบร้อยแล้ว และได้จัดทำ Initial Memorandum ซึ่งเป็นเอกสารการประเมินตนเอง (self-assessment) เพื่อวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติภายในประเทศ กับตราสารทางกฎหมายของ OECD และจัดส่งแล้ว
นอกจากนี้ ประเทศอินโดนีเซียยังได้ส่งมอบเอกสารแสดงความจำนงอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบน (OECD Anti-Bribery Convention) ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งเป็นหนึ่งมาตรฐานสำคัญขององค์การ OECD ที่ปูพื้นฐานด้านกฎหมายให้แก่ประเทศต่าง ๆ เพื่อต่อต้านการให้สินบนจากต่างชาติ การเข้าร่วมและการลงมือดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) อย่างจริงจังคือองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของกระบวนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การ OECD
นายมาธิอัส คอร์มันน์ (Mathias Cormann) เลขาธิการใหญ่แห่งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD Secretary-General) ได้กล่าวว่า “ประเทศอินโดนีเซียมีบทบาทสำคัญในเวทีระดับโลกและแสดงความเป็นประเทศผู้นำที่มีบทบาทสำคัญทั้งต่อภูมิภาคของตนและต่อภูมิภาคอื่น ๆ การดำเนินการในก้าวสำคัญเหล่านี้ในวันนี้ ถือได้ว่าประเทศอินโดนีเซียได้ส่งสาส์นที่ชัดเจนแน่วแน่ถึงการให้คำมั่นสัญญาของตนที่จะเป็นแนวร่วมและจะช่วยส่งเสริมมาตรฐานระหว่างประเทศและหลักการปฏิบัติที่ดีให้เป็นรูปธรรม” “การเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การ OECD คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เป็นประโยชน์ อันจะช่วยผลักดันให้ประเทศอินโดนีเซียได้บรรลุเป้าหมายในการก้าวสู่ความเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาขั้นสูงภายในปี พ.ศ. 2588
สำหรับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) แล้ว ประเทศอินโดนีเซียได้นำเสนอวิสัยทัศน์ที่สำคัญ ทรงคุณค่า มาสู่การเจรจาหารือ อันจะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งต่อความสัมพันธ์และบทบาทในเวทีโลกขององค์การของเราต่อไป”
ด้วยความสอดคล้องกับแผนการดำเนินการเข้าเป็นสมาชิกของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้รับมติจากประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) 38 ประเทศ เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา การเจรจาเชิงเทคนิคอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ ด้วยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ 25 คณะ ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นด้านนโยบายที่หลากหลาย รวมไปถึง การดำเนินการเพื่อการต่อต้านการทุจริตและการส่งเสริมความมีคุณธรรมและจริยธรรม การศึกษา สุขภาพ การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิผล รวมถึงเรื่องการค้าและการลงทุนอย่างเสรี
กระบวนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก(accession process)ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เป็นเสมือนแรงกระตุ้นที่มีประสิทธิภาพสูงต่อการขับเคลื่อนผลักดันให้มีการปฏิรูปที่จำเป็นต่อไปข้างหน้าโดยผ่านการตรวจสอบทบทวนของประเทศอินโดนีเซียและความสอดคล้องของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย นโยบายและการปฏิบัติของประเทศกับมาตรฐานและหลักการปฏิบัติที่ดีขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ประเทศอินโดนีเซียคือพันธมิตรหลักประเทศหนึ่งขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และในปี พ.ศ. 2557 ประเทศอินโดนีเซียได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานร่วมวาระแรกให้กับโครงการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEARP) ของ OECD
คณะมนตรีองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้มีมติเปิดการเจรจาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับประเทศอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ทำให้ประเทศอินโดนีเซียกลายเป็นประเทศผู้สมัครรายแรกจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
การเจรจาข้อตกลง CEPA อินโดนีเซีย-สหภาพยุโรปเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย

รัฐมนตรีอาวุโส นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต ได้เข้าพบกับนายมาโรช เซฟโควิช กรรมาธิการสหภาพยุโรปด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันศุกร์( 6 มิ.ย.2568) ตามเวลาท้องถิ่น การเจรจาครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การทำให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันเพื่อสรุปการเจรจาข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมระหว่างอินโดนีเซียและสหภาพยุโรป (Indonesia-EU Comprehensive Economic Partnership Agreement:CEPA) ภายในปีนี้
“IEU-CEPA ได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หลังจากการเจรจามานาน 9 ปี ซึ่งถือเป็นโมเมนตัมที่สำคัญท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่คาดเดาไม่ได้และไม่แน่นอน จึงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือในการเอาชนะความท้าทายระดับโลก” นายแอร์ลังกากล่าวในแถลงการณ์
ข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าการค้าระหว่างอินโดนีเซียและสหภาพยุโรปมีมูลค่า 30,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2567 สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอินโดนีเซีย ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้อยู่อันดับที่ 33 ในรายชื่อคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกลุ่มสหภาพยุโรป อินโดนีเซียมีดุลการค้าเป็นบวก โดยส่วนเกินเพิ่มขึ้นจาก 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2566 เป็น 4,500 ล้านดเหรียญสหรัฐฯในปีถัดมา
ตนายแอร์ลังกากล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุฉันทามติเกี่ยวกับกรอบความยั่งยืน นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังผลักดันให้สหภาพยุโรปให้สิทธิพิเศษในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประมง เช่นเดียวกับที่กลุ่มภูมิภาคนี้มอบให้กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ
“อินโดนีเซียและสหภาพยุโรปตกลงที่จะแก้ไขปัญหาที่เหลือในทันที และพร้อมที่จะประกาศการเสร็จสิ้นการเจรจาในสาระสำคัญภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2568” นายแอร์ลังกากล่าว
ลาวปรับครม.ครั้งใหญ่พร้อมตั้งผู้ว่าการธนาคารกลาง

สปป.ลาวปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ โดยรัฐมนตรี 9 คนและผู้ว่าการธนาคารกลางถูกโยกย้ายตำแหน่งและแต่งตั้งใหม่ หลังจากการปฏิรูปโครงสร้างล่าสุดที่ทำให้มีการควบรวมกระทรวงและหน่วยงานของรัฐที่สำคัญหลายแห่งเข้าด้วยกัน รัฐมนตรี 2 คนกำลังจะเกษียณอายุ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางบุนคำ วอละจิต ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว แทนที่นางวัฒนา ดาลาลอย ที่รักษาการผู้ว่าการ ธนาคารกลาง
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารของคณะกรรมการกลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว(Lao People’s Revolutionary Party Central Committee) ศาสตราจารย์ ดร. ทองสะลิด มังหน่อเมก ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา แทนรองศาสตราจารย์ ดร. พุด สิมมาลาวง ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว
การปรับคณะรัฐมนตรีได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการประจำของสมัชชาแห่งชาติ (NA) ในการประชุมสมัยวิสามัญเมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน การปรับคณะรัฐมนตรีมาจากข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน ตามที่นางสูนทอน ไซยะจัก รองประธานสภาแห่งชาติลาว ได้แถลงกับสื่อมวลชนในวันเดียวกัน
โยกย้าย ดร.เพ็ด พมพิพัก รัฐมนตรีกระทรวงแผนการและการลงทุน ไปรับหน้าที่ใหม่ที่สำนักงานบริหารของคณะกรรมการกลางพรรค
ภายหลังการควบรวมกระทรวงการวางแผนและการลงทุนกับกระทรวงการเงิน ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานภายใต้ชื่อกระทรวงการคลัง นายสันติพาบ พมวิหาน จะยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเงินต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวิไลวง บุดดาคำ จะเข้ารับบทบาทใหม่ในคณะกรรมการองค์กรและบุคลากรของคณะกรรมการกลางพรรค ภายหลังการยุบกระทรวงมหาดไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ นายโพไซ ไซยะสอน ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม กระทรวงก่อนหน้าที่เขารับตำแหน่งเพิ่งควบรวมเข้ากับกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์
นางใบคำ ขัดทิยะ ซึ่งถูกแทนที่โดยนายโพไซ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่อจากดร. บุนแฝง พูมมะไลสิด ซึ่งเกษียณอายุแล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและป่าไม้ ดร. ลินคำ ดวงสะหวัน ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นจากการควบรวมกระทรวงเกษตรและป่าไม้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายมะไลทอง กมมะสิด ยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ หลังจากการรวมกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่เข้ากับกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ โดยกระทรวงดังกล่าวยังคงดำเนินการภายใต้ชื่อเดิม
การปรับตำแหน่งครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบันใกล้จะสิ้นสุดวาระ 5 ปี (2564–2568) ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การบริหารงานชุดต่อไป
นอกจากนี้ยังเป็นการจัดประชุมก่อนการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 9 ของสมัชชาแห่งชาติชุดที่ 9 ซึ่งกำหนดจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์นี้(9 มิ.ย.2568) คาดว่าสมาชิกรัฐสภาจะทบทวนความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมปี 2568 และกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับส่วนที่เหลือของปีสุดท้าย นอกจากนี้ ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมปี 2569–2573 จะถูกนำเสนอเพื่อพิจารณาด้วย
รัฐบาลลาวตั้งเป้าเศรษฐกิจเติบโตปีละ 5% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

เป้าหมายดังกล่าวได้รับการกำหนดไว้ในร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (2569–2573) ซึ่งจัดทำขึ้นจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (2564–2568)
ขณะที่ลาวกำลังสรุปแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 ฉบับปัจจุบัน ประเทศได้เห็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากประสบปัญหาทางเศรษฐกิจมานานหลายปีจากความท้าทายภายในประเทศ การระบาดของโควิด-19 ภัยธรรมชาติ และความขัดแย้งในบางส่วนของโลก อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือ 8.3% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นอัตราเลขหลักเดียวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ในขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้น เกษตรกรรม การแปรรูปและการทำเหมือง การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การส่งออกและบริการที่เพิ่มขึ้นได้ส่งสัญญาณเชิงบวกเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ดร.เพ็ด พมพิพัก ได้นำเสนอร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปีต่อสมาชิกสมัชชาแห่งชาติเมื่อวันอังคาร(3 มิ.ย.)ที่ผ่านมา โดยระบุว่ารัฐบาลจะพยายามควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป
ดร.เพ็ด กล่าวว่า การเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้าจะขับเคลื่อนโดยพลังงาน การเกษตร การทำเหมือง บริการ โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว การแปรรูปอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจดิจิทัล
รัฐบาลต้องการกระจายแหล่งพลังงานโดยพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ นอกเหนือไปจากพลังงานหมุนเวียนประเภทน้ำ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวมวล โดยแผนดังกล่าวคือการจัดหา “พลังงานต้นทุนต่ำและให้แน่ใจว่ามีอุปทานภายในประเทศเพียงพอและส่งออกได้”
การประชุมหนึ่งสัปดาห์ซึ่งจะกินเวลาจนถึงวันศุกร์เป็นการเตรียมการอภิปรายก่อนการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 9 ของสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 9 ซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 9-26 มิถุนายน
รัฐบาลได้ให้เหตุผลว่าตั้งใจจะกระจายแหล่งพลังงานด้วยเหตุผลว่าประเทศอาจเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงาน เนื่องจากพลังงานน้ำจำนวนมหาศาลที่ผลิตจากโครงการที่ลงทุนโดยต่างชาติถูกส่งออก ซึ่งเกิดจากราคาที่สูงขึ้น สมาชิกสมัชชาแห่งชาติได้สนับสนุนแผนดังกล่าว
นอกจากนี้รัฐบาลจะดำเนินการมากขึ้นในการส่งเสริมการแปรรูปทางการเกษตรและแร่ธาตุเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
ดร.เพ็ดกล่าวว่า มีแผนที่จะขยายการเชื่อมโยงการขนส่งและโลจิสติกส์กับภูมิภาคและบริเวณอื่น ๆ และจะมีการสร้างทางด่วนเพื่อเชื่อมต่อจังหวัดสำคัญและเมืองหลวงเวียงจันทน์กับจีนและฮานอยในเวียดนาม
พร้อมจะมีการศึกษาความเป็นไปได้โดยละเอียดสำหรับโครงการรถไฟเพื่อเชื่อมต่อเวียงจันทน์กับท่าเรือหวุ่งอ๋างในจังหวัดห่าติ๋ญ ทางตอนกลางของเวียดนาม และเชื่อมต่อเวียงจันทน์กับจังหวัดจำปาสักที่ติดกับกัมพูชา เพื่อสร้างระเบียงเศรษฐกิจใหม่
รัฐมนตรีกล่าวว่าโครงการเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับประโยชน์จากทางรถไฟลาว-จีนและเครือข่ายการขนส่งที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว
นอกจากนี้ ยังจะเน้นที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบนิเวศดิจิทัล รวมถึงข้อมูลขนาดใหญ่และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลควบคู่ไปกับการปรับปรุงบริการสาธารณะ
เนื่องจากลาวประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินและเงินเฟ้อสูงมาหลายปี ส่งผลให้การใช้จ่ายของภาครัฐรวมถึงด้านการศึกษาลดลง ร่างแผน 5 ปีจึงให้คำมั่นที่จะลงทุนมากขึ้นเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเพิ่มจำนวนนักเรียนในโรงเรียนท่ามกลางอัตราการลาออกจากโรงเรียนที่สูง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ซึ่งร่างขึ้นภายใต้แนวคิด “เร่งสร้างเศรษฐกิจที่เป็นอิสระและพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้ศักยภาพทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาเศรษฐกิจสังคมในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน” ครอบคลุมช่วงเปลี่ยนผ่านเมื่อลาวตั้งใจที่จะพ้นสถานะจากสถานะ “ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด” ภายในปี 2569
หากเป็นไปตามแผน ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวของชาวลาวมากกว่า 7 ล้านคนจะแตะ 2,983 เหรียญสหรัฐฯ (มากกว่า 64.3 ล้านกีบ) และรายได้มวลรวมประชาชาติ (GNI) ต่อหัวจะแตะ 2,800 เหรียญสหรัฐฯ (มากกว่า 60.3 ล้านกีบ) ภายในปี 2573
เพื่อบรรลุเป้าหมาย แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี จำเป็นต้องมีการลงทุนรวม 523,504 พันล้านกีบ คิดเป็น 20.2% ของ GDP
เป้าหมายสำคัญอื่นๆ ของร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ได้แก่