ThaiPublica > สู่อาเซียน > “เมียนมา” ก่อนและหลังรัฐประหาร 4 ปี

“เมียนมา” ก่อนและหลังรัฐประหาร 4 ปี

2 กุมภาพันธ์ 2025


ที่มาภาพ: https://www.irrawaddy.com/news/burma/myanmar-before-and-after-the-2021-military-coup.html

ในวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักข่าว The Irrawaddy ได้เผยแพร่บทความ Myanmar Before and After the 2021 Military Coup เพื่อรายงานสถานการณ์ สภาพความเป็นอยู่ของประชาชน และทุกภาคส่วนของทั้งประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป หลังรัฐบาลทหารเข้ายึดอำนาจในการปกครอง

สำนักข่าว The Irrawaddy รายงานว่าเมียนมาก่อนปี 2564 แม้ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีความสุขกับความปลอดภัย เสถียรภาพ และโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่เริ่มรู้สึกถึงประโยชน์ของการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

อีกทั้งมีความสุขกับสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเสรีภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน และหวังว่าจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นข้างหน้า

แต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ทำให้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด

ขณะนี้ ประเทศกำลังเผชิญกับภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม โดยมีผู้พลัดถิ่นหลายล้านคน หลายพันคนถูกจำคุก และเศรษฐกิจพังทลายเนื่องจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลทหารและการกดขี่ทางการเมือง

กองกำลังต่อต้านยังคงต่อสู้กับเผด็จการทหาร แต่พลเรือนธรรมดาก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

วันเสาร์นี้(1 กุมภาพันธ์ 2568) เป็นวันครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร

ประเทศที่กำลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและได้รับคำมั่นถึงเสถียรภาพทางการเมืองภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่นำโดยพลเรือน ได้กลายเป็นสมรภูมิที่มีคนนับล้านต้องทนทุกข์ทรมานกับผลที่ตามมา

The Irrawaddy นำเสนอเรื่องราวที่ชัดเจนว่าประเทศและชีวิตของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในทุกภาคส่วน โดยเปรียบเทียบสภาพการณ์ในปี 2563 หลังสุดก่อนรัฐประหาร กับ 4 ปีหลังจากการยึดอำนาจ ณ วันที่ 31 มกราคม 2568

สิ้นสุดการปกครองแบบพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตย
การรัฐประหารของรัฐบาลทหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งนำไปสู่การจับกุมผู้นำรัฐบาลพลเรือนทั้งหมด รวมทั้งนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ ประธานาธิบดีอู วิน มินต์ และคนอื่นๆ ส่งผลใหเการปกครองโดยพลเรือนตามระบอบประชาธิปไตยในเมียนมาต้องยุติลง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศก็ถูกปกครองโดยระบอบการปกครองที่นำโดยผู้บัญชาการทหาร พลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย และพรรคพวกของเขา ซึ่งเป็นผู้นำธานในช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างและความโหดร้ายต่อประชาชนของประเทศตนเอง

การสังหารพลเรือนตามอำเภอใจ
ไม่มีการสังหารพลเรือนอย่างโจ่งแจ้งโดยทหารก่อนรัฐประหารในปี 2563 อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐบาลได้สังหารผู้คนอย่างเปิดเผยรวมทั้งสิ้น 6,224 คน รวมถึงเด็ก 711 คน และผู้หญิง 1,387 คน

นักโทษการเมืองเพิ่มมากขึ้น
จำนวนนักโทษการเมืองเพิ่มขึ้นจาก 234 คนก่อนรัฐประหารเป็น 21,711 คน ณ วันที่ 30 มกราคม 2568 ผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นักเคลื่อนไหว นักข่าว ศิลปิน นักเขียน และพลเรือน ถูกจำคุกฐานต่อต้านรัฐบาล

การประหารชีวิตทางการเมือง
นับตั้งแต่หลังปี 1976 ไม่มีการประหารชีวิตทางการเมือง แต่ในปี 2565 รัฐบาลทหารได้แขวนคอนักเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบการปกครองสี่คน ได้แก่ โค จิมมี (จอ มิน ยู) นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยยุค 1988 อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(National League for Democracy) และศิลปินฮิปฮอป โก พิว เซยา ตอว์ และผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร โก ลา เมียว ออง และโก ออง ทุรา ซอว์ ที่จัดกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลหลังรัฐประหาร

การโจมตีทางอากาศ
มีรายงานการโจมตีทางอากาศเพียงไม่กี่ครั้งในพื้นที่ควบคุมโดยกลุ่มกบฏชาติพันธุ์ก่อนปี 2554 แต่นับตั้งแต่รัฐประหาร รัฐบาลได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างน้อย 3,292 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่โจมตีเป้าหมายพลเรือน คร่าชีวิตผู้คนไป 1,749 ราย

การลอบวางเพลิง
ก่อนรัฐประหาร ยกเว้นปฏิบัติการปราบปรามชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา ไม่มีการโจมตีด้วยการลอบวางเพลิงครั้งใหญ่โดยทหาร นับตั้งแต่รัฐประหาร บ้านเรือนในหมู่บ้าน เมือง และเมืองต่างๆ จำนวน 102,596 หลังถูกกองทหารเผด็จการทหารเผา ส่งผลให้หลายแสนคนไร้ที่อยู่อาศัย

ผู้คนพลัดถิ่น
ก่อนรัฐประหาร เมียนมามีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (Internally Displaced People:IDP) ประมาณ 370,000 คน รวมถึงชาวโรฮิงญาและกลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่ชาติพันธุ์ เนื่องจากการสู้รบระหว่างกลุ่มทหารและกลุ่มปฏิวัติชาติพันธุ์ สี่ปีต่อมา จำนวนดังกล่าวได้พุ่งสูงขึ้นเป็น 3.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่พลัดถิ่นจากการโจมตีทางอากาศและการลอบวางเพลิงของรัฐบาลทหาร ตลอดจนการต่อสู้ระหว่างกองทัพของรัฐบาลทหารกับกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่ม รวมถึงองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ (Ethnic Armed Organizations:EAO) ที่ก่อตั้งมายาวนาน และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defense Forces:PDF) ภายใต้รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government :NUG)ของพลเรือน

การควบคุมและการต้านทานของทหาร
นับตั้งแต่รัฐประหาร รัฐบาลเผด็จการทหารได้สูญเสียศูนย์บัญชาการกองพันทหาร 173 แห่ง ซึ่งรวมถึงกองบัญชาการทหารระดับภูมิภาค 2 แห่ง กองบัญชาการ 6 แห่ง และฐานทัพยุทธศาสตร์ 6 แห่ง รวมถึงด่านหน้าแนวหน้าจากการต่อต้าน 742 แห่ง

ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 กองกำลังต่อต้านและกองทัพกบฏชาติพันธุ์ได้ยึดพื้นที่แล้ว โดยเข้าควบคุมเมือง 144 เมืองอย่างเต็มรูปแบบ และโจมตีรัฐบาลอย่างแข็งขันในอีก 79 เมือง ขณะนี้รัฐบาลทหารควบคุมเฉพาะเมืองที่เหลือเพียง 107 เมืองเท่านั้น ซึ่งลดลงอย่างมาก

ดัชนีเสรีภาพสื่อ
เมียนมาได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เลวร้ายที่สุดในโลกในแง่ของการฆาตกรรมหรือจำคุกนักข่าว ในปี 2563 เมียนมาอยู่ในอันดับที่ 139 จาก 180 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อมวลชนโลก แต่ลดลงมาอยู่ที่อันดับที่ 171 ในปี 2567 นับตั้งแต่รัฐประหาร รัฐบาลได้สังหารนักข่าวไปทั้งหมด 12 คน และจำคุก 43 คน

สื่ออิสระในทประเทศทุกแห่งต้องปิดตัวลงหรือถูกบีบให้ลี้ภัยเนื่องจากการปราบปรามสื่อมวลชนอิสระของรัฐบาลทหาร

GDP ลดลง
ภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยที่นำโดยพลเรือน GDP ของเมียนมาเติบโตขึ้นเป็น 77.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ภายใต้การปกครองของทหาร GDP ของประเทศลดลงเหลือ 64.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2567

การล่มสลายทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ การจัดการทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดโดยระบอบการปกครอง และสงคราม อัตราแลกเปลี่ยนเงินเทียบกับดอลลาร์เพิ่มขึ้นจาก 1,350 จั๊ตต่อดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 เป็นประมาณ 4,500 ต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคม 2568 ส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อแย่ลงไปอีก

ในขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็เพิ่มขึ้นจาก 1,315,500 จั๊ตต่อแท่ง เป็น 6,400,000 จั๊ต ราคาน้ำมันก็เพิ่มขึ้น 4 เท่าเช่นกัน ราคาออกเทน 95 เพิ่มขึ้นจาก 770 เป็น 3,200 จั๊ตต่อลิตร

ข้าวคุณภาพดีหนึ่งถุงซึ่งเป็นอาหารหลัก ครั้งหนึ่งมีราคาเพียง 54,000 จั๊ต แต่ตอนนี้ราคา 210,000 จั๊ต

ความหิวโหยเพิ่มขึ้น
ก่อนรัฐประหารในปี 2564 มีเพียง 2.8 ล้านคน (5.13%) จากประชากร 54.58 ล้านคนเท่านั้นที่ถูกจัดว่ามีความ “ไม่มั่นคงด้านอาหาร” ในเมียนมา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ผู้คน 15 ล้านคน หรือ 27.49% ของประชากรทั้งหมด มีความเสี่ยงต่อภาวะอดอยากเนื่องจากการขาดแคลนอาหาร ความขัดแย้ง เศรษฐกิจที่ถดถอย และวิกฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

การขาดแคลนไฟฟ้าเลวร้ายลง
ไฟฟ้าดับบ่อยขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหารในปี 2564 ในเดือนมกราคมของปีนี้ การจ่ายกระแสไฟฟ้าลดลงเหลือ 8 ชั่วโมงต่อวัน แม้แต่ในนครย่างกุ้ง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าของประเทศ ทำให้ชีวิตประจำวันและธุรกิจต่างๆ เสื่อมถอยลง รัฐบาลทหารกล่าวว่าการผลิตไฟฟ้าลดลง 1,009 เมกะวัตต์ โดยผลิตได้ 2,200 เมกะวัตต์ต่อวัน ในขณะที่อุปทานลดลงเหลือประมาณ 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด

รัฐบาลทหารเมียนมาระบุการแก้ปัญหาทางการเมืองต้องตั้งโต๊ะเจรจา

ด้านรัฐบาลทหารเมียนมา สำนักข่าว Global New Light of Myanmar ซึ่งเป็นสื่อของรัฐรายงาน ระบุว่า พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายกลาโหม ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาการประธานาธิบดี ได้แจ้งถึงกระบวนการทำงานความรับผิดชอบของรัฐ ในการทำหน้าที่ของ SAC ในช่วงการขยายบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศออกไปอีก 6 เดือนเมื่อวันศุกร์( 31 มกราคม2568) พร้อมย้ำว่า การแก้ปัญหาทางการเมืองจำเป็นต้องมีการพูดคุยที่โต๊ะเจรจา

รายงานข่าวเรื่อง Political solutions require dialogue at negotiation table ของสำนักข่าว Global New Light of Myanmar ระบุว่า สภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติของเมียนมา (National Defence and Security Council :NDSC)แห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาจัดการประชุมครั้งที่ 1/2568 ที่สำนักงานประธานสภาบริหารแห่งรัฐ(State Administration Council:SAC) เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 โดยมีพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด อู ที คุน เมียต ประธานรัฐสภาเมียนมา พลเอกอาวุโส โซ วินรองผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.หม่อง หม่อง เอ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม พล.ท. ยาร์ เพ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย อู ตาน ฉ่วย รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ พล.ท.ตุน ตุน นอง รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชายแดน และผู้ที่ได้รับเชิญพิเศษคือ เลขาธิการ SAC ออง ลิน ดวย และเลขาธิการร่วม เย วิน อู เข้าร่วม

พลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธานในการประชุมครั้งแรกปี 2568 ของสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติของเมียนมา ที่กรุงเนปิดอว์วันที่ 31 มกราคม 2568 ที่มาภาพ: https://www.gnlm.com.mm/political-solutions-require-dialogue-at-negotiation-table/

สถานการณ์ด้านการป้องกันและความมั่นคงของรัฐ
ในการชี้แจง พลเอกอาวุโสกล่าวถึงแผนงาน 5 ข้อและวัตถุประสงค์เก้าประการได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของรัฐ โดยในข้อแรกของแผนงาน “จะมุ่งเน้นไปที่การดูแลให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพและหลักนิติธรรมที่สมบูรณ์ทั่วทั้งสหภาพ และการดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคที่เสรีและเป็นธรรม” องค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์บางองค์กรและผู้ก่อการร้าย PDF ได้ทำลาย สันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคด้วยการก่อการร้ายโจมตีเมืองและหมู่บ้าน ทำลายและปล้นชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะเห็นได้ว่า EAO บางกลุ่มได้ใช้สถานการณ์ดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการขยายพื้นที่ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริสุทธิ์ 383 รายและเจ้าหน้าที่ด้านการบริการของรัฐเสียชีวิตจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและสุขภาพ 516 ราย รวมถึงอาคารสาธารณะถูกทำลาย

ในช่วงดังกล่าว กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ KIA ในรัฐคะฉิ่นร่วมมือกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ PDF โจมตีพื้นที่ชายแดนจีน-เมียนมา ภูมิภาคพะโม ภูมิภาคซะไกง์ตอนบน และภูมิภาค อินดอว์ ในขณะที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ KNU(กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง Karen National Union) ร่วมกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ PDF โจมตีหลายภูมิภาครวมทั้งภูมิภาคกอกะเรกในรัฐกะเหรี่ยง ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ AA(กลุ่มกองทัพอาระกัน หรือ Arakan Army:AA) ในรัฐยะไข่ร่วมกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ PDF ได้โจมตีชายแดนเขตมะเกว-รัฐยะไข่ ชายแดนเขตพะโค-รัฐยะไข่ และชายแดนเขตอิรวดี-รัฐยะไข่ ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบของ CNF ในรัฐ Chin ร่วมกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ PDF ได้ก่อเหตุโจมตีเมืองมินดัต เมือง คันเพตเลต และเมืองฟาลัม

กลุ่มกองทัพอาระกัน ขยายพื้นที่ไปภูมิภาคมะเกว พะโค และอิระวดี หลังจากยึดครองบ้านเกิดของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ ที่มาภาพ:เพจ The Irrawaddy

การกระทำที่เป็นการก่อความไม่สงบเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากอดีตตัวแทนของ Hluttaw(คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ หรือCommittee Representing Pyidaungsu Hluttaw ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นของเมียนมาที่จัดขึ้นโดยผู้นำกลุ่มนักการเมืองที่ต่อต้านรัฐประหาร) ที่ฉ้อโกงการเลือกตั้งโดยแสวงหาประโยชน์จากความเชื่อมั่นของสาธารณะ และยุยงให้เกิดความรุนแรงภายหลังการยกเลิกการเลือกตั้งทั่วไปปี 2563 อันเนื่องจากความผิดปกติของการเลือกตั้ง นอกจากนี้พบว่าองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ (EAO) ใช้ประโยชน์จากวิกฤตทางการเมืองของประเทศเพื่อโจมตีโดยอ้างเหตุผลทางชาติพันธุ์และการเมือง กลุ่มเหล่านี้บางกลุ่มมีส่วนร่วมในการสร้างวาทกรรมของกลุ่มหัวรุนแรงและระดมความช่วยเหลือในดินแดนของตนเอง

นอกจากนี้ พวกเขายังร่วมมือกับสื่อต่อต้านรัฐบาลทั้งในและต่างประเทศเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและการโฆษณาชวนเชื่อ มีการประสานงานกันเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงในวงกว้างทั่วประเทศในช่วงเวลาสำคัญ อีกทั้งยังระบุด้วยว่ามีการข่มขู่ บีบบังคับ และกดดันต่อพลเมืองและข้าราชการที่มีมโนธรรม ส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทั่วประเทศ นำไปสู่การสูญเสียชีวิต บ้าน ทรัพย์สิน และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะจำนวนมาก ใครได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากเหตุการณ์เหล่านี้? คำตอบคือไม่มีใคร มีเพียงประเทศเท่านั้นที่ประสบความสูญเสีย ดังนั้น ประเทศและบุคคลที่สนับสนุนประชาธิปไตยควรคำนึงถึงผลที่ตามมาเหล่านี้

ตัวอย่างเช่น อาคารมหาวิทยาลัยในเมืองลอยก่อถูกทำลายจากการโจมตีโดยกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ KNPP และ PDF ต่อลอยก่อเมื่อปีที่แล้ว มหาวิทยาลัยจึงปิดทำการ อาคารมหาวิทยาลัยลอยก่อได้รับความเสียหายรวม 44 หลัง ต้องใช้เงินประมาณ 9 พันล้านจั๊ตเพื่อซ่อมแซมอาคารเหล่านี้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการสร้างโรงเรียนประถมศึกษได้หลายแห่ง สามารถนำไปใช้ในโครงการเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และงานพัฒนาภูมิภาคได้หลายโครงการ จำนวนนี้เป็นเพียงความเสียหายต่อมหาวิทยาลัยแห่งเดียว ความเสียหายต่อมหาวิทยาลัย โรงเรียน ตลาด และทรัพย์สินสาธารณะที่เหลืออยู่จะมีมูลค่าหลายพันล้านจั๊ต เนื่องจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมอันเนื่องมาจากเรื่องการเมือง ชาวบ้านจึงต้องเผชิญกับความสูญเสีย ดังนั้นกองกำลังรักษาความปลอดภัยจึงตอบโต้ผู้ก่อความไม่สงบเหล่านั้นด้วยการเสียสละ มีเพียงผู้อยู่อาศัยและผู้ก่อความไม่สงบในท้องถิ่นในภูมิภาคเท่านั้นที่สามารถรักษาเสถียรภาพและการพัฒนา หรือขัดขวางสันติภาพและทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการ การกระทำที่ผิดกฎหมายและรุนแรงที่กระทำโดยกลุ่มก่อความไม่สงบติดอาวุธเหล่านี้ได้รับการประณามในวงกว้างจากผู้คนทั่วประเทศ เพื่อเป็นการตอบสนอง กองทัพพม่ากำลังทำงานร่วมกับคนในพื้นที่ที่แสวงหาสันติภาพเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพในภูมิภาค และเพื่อหยุดยั้งการกระทำที่น่ากลัวเหล่านี้

“สภาบริหารแห่งรัฐได้ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะเพื่อให้แน่ใจว่าพลเมืองแต่ละราย โดยความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง สามารถตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยได้ มีการจัดตั้งกลุ่มรักษาความปลอดภัยสาธารณะและการต่อต้านการก่อความไม่สงบในระดับครัวเรือน/หมู่บ้านแล้ว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของสาธารณะและเสถียรภาพของภูมิภาค เราจึงสนับสนุนให้ประชาชนรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง”

ในขณะที่สภาบริหารแห่งรัฐกำลังดำเนินการตามวิสัยทัศน์ทางการเมืองสองประการ คือ เพื่อเสริมสร้างระบบประชาธิปไตยหลายพรรคที่กฎกติกาอย่างแท้จริง และเพื่อสร้างสหภาพที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตยและสหพันธรัฐ จึงจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งโดยไม่ล้มเหลว จึงมีการเตรียมการอย่างเต็มที่เพื่อจัดการเลือกตั้ง การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องสะท้อนถึงความปรารถนาอันแท้จริงของประชาชนได้

ตามกฎหมายและข้อบังคับการเลือกตั้ง ไม่มีการกำหนดจำนวนคะแนนเสียงขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับการเลือกตั้งจึงจะมีผล มีเพียงประชาชนเท่านั้นที่ต้องปกป้องระบบประชาธิปไตยหลายพรรคที่ประชาชนปรารถนา การเลือกตั้งจะต้องเป็นระบบ เสรี และยุติธรรมอย่างเต็มที่ และต้องมีเกียรติ มีความจำเป็นต้องบริหารจัดการผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องไม่ปล่อยทิ้งให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากจำเป็นสำหรับการฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง กองทัพเมียนมาและกองกำลังความมั่นคงจึงเร่งดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในสันติภาพและความสงบสุขของภูมิภาคและกระบวนการประชาธิปไตยที่ราบรื่นเพื่อเดินบนเส้นทางประชาธิปไตยที่ปรารถนา

เพิ่มการผลิตสินค้าเกษตรและปศุสัตว์
เมียนมาให้ความสำคัญกับเกษตรกรรมและฟาร์มปศุสัตว์ ประชากรประมาณ 70% อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ในจำนวนนี้ ประชาชน 45.3% อยู่ในภาคเกษตรกรรม ประมง และป่าไม้ ประชากรมากกว่า 50% สำเร็จการศึกษามาบ้างแล้ว ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์อย่างเป็นระบบ เมื่อพิจารณาจากสภาพภูมิอากาศ สภาพทางภูมิศาสตร์ และที่ตั้ง เมียนมาสามารถประกอบกิจการเกษตรกรรมและฟาร์มปศุสัตว์ได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านผลการผลิตของภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ เพื่อลดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงและเพิ่มผลผลิตเป็น 2 เท่าหรือ 3 เท่า เน้นการยกระดับการผลิตการเกษตรและฟาร์มปศุสัตว์ในประเทศและลดสินค้านำเข้า

เมื่อประเทศเพิ่มการผลิต การผลิตและบริการจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศสามารถลดปริมาณการนำเข้าและลดการใช้จ่ายด้านเงินตราต่างประเทศได้ ส่งผลให้ค่าเงินในประเทศแข็งค่า ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีเสถียรภาพ ดังนั้นการกำกับดูแลจึงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการผลิตภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์เป็น 2 เท่า

สำหรับการเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร การผลิตต้องดำเนินการโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย กล่าวว่า เขาได้เดินทางทั่วประเทศเพื่อส่งเสริมธุรกิจ MSME มาตั้งแต่ปี 2565 การดำเนินธุรกิจ MSME ต้องใช้วัตถุดิบ จึงมีการนำนโยบายด้านวัตถุดิบในประเทศมาใช้ จากนั้น ก็มีความพยายามในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ส่งออก รวบรวมปัจจัยการผลิต ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และรับสมัครทรัพยากรบุคคล ผู้ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการดำเนินงานด้านการเกษตรและการเลี้ยงปศุสัตว์มากกว่าวิธีการทั่วไป จะได้รับผลผลิตสูง

เมียนมาได้ปลูกข้าวนาปีกว่า 14.8 ล้านเอเคอร์ ข้าวนาปรังกว่า 2.09 ล้านเอเคอร์ ข้าวโพดกว่า 2.1 ล้านเอเคอร์ พืชน้ำมันมากกว่า 3.2 ล้านเอเคอร์ และถั่วพัลส์และถั่วฝักกว่า 3 ล้านเอเคอร์ในฤดูกาลการเพาะปลูกปี 2567-2568 และต้องบรรลุเป้าหมายการเพาะปลูกข้าวเปลือกและพืชผลอื่นๆ ส่วนในการเพาะพันธุ์ปศุสัตว์ จะต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการดำเนินงานปรับปรุงพันธุ์ปศุสัตว์ให้ประสบความสำเร็จโดยใช้อาหารสัตว์ น้ำ และวัตถุดิบภายในประเทศอย่างเป็นระบบ เนื่องจากประเทศมีรากฐานที่มั่นคงสำหรับการผลิตภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ประชาชนทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในโครงการต่างๆให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะ ได้มีการจัดเตรียมการลดการนำเข้าน้ำมันปรุงอาหารในปี 2569 เนื่องจากต้องใช้เงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี มีความพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิตงาและขยายการปลูกทานตะวันให้เพียงพอต่อความต้องการน้ำมันในประเทศ

สภาบริหารแห่งรัฐได้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรและปศุสัตว์ คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรม และคณะกรรมการพัฒนาไฟฟ้าและพลังงาน เพื่อยกระดับภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ภาคอุตสาหกรรม และภาคไฟฟ้าและพลังงาน ซึ่งเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาของรัฐ คณะกรรมาธิการเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบในการพัฒนาภาคส่วนหลักเพื่อยกระดับประเทศและมุ่งมั่นที่จะผลักดันภาคส่วนเหล่านี้ให้มีประสิทธิผล

  • รายงาน UNDP: ชนชั้นกลางเมียนมาหายไปท่ามกลางความขัดแย้งที่เลวร้ายลง
  • ภาคการศึกษา
    การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาตนเองของแต่ละบุคคล และสำหรับประเทศชาติ ภาคส่วนต่างๆ จะสามารถพัฒนาต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมีคนที่มีการศึกษาดีและมีความรู้และทักษะจำนวนมากเท่านั้น ตามรูปแบบของการศึกษา หลังจากได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นก่อนที่จะสามารถเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับความก้าวหน้าส่วนบุคคลต่อไปได้

    เด็กทุกคนในวัยเรียนควรมีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียน เนื่องจากการศึกษาถือเป็นเรื่องสำคัญ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่านักเรียนทุกคนได้รับการศึกษาจนถึงระดับสูงสุด อำนวยความสะดวกในการยกระดับการเปลี่ยนผ่านระหว่างระดับชั้น และมุ่งเน้นไปที่การให้ทั้งการฝึกอบรมสายอาชีพและการศึกษาระดับอุดมศึกษา สิ่งสำคัญคือต้องจัดลำดับความสำคัญของความพยายามเหล่านี้ เด็กที่อยู่ในวัยเข้าโรงเรียนแต่ไม่ได้เรียนหนังสือไม่เพียงแต่มีชีวิตที่ทุกข์ยากแล้ว ยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติอีกด้วย ดังนั้นเพื่ออนาคตของชาติ เด็กทุกคนจึงต้องอยู่ในโรงเรียนและได้รับการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครู ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่เมืองต้องทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริม ความสามัคคี และสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายนี้ ปัจจุบันมีการส่งใบสมัครไปแล้วมากกว่า 220,000 ใบสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กที่จบเกรด 12 ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนมีนาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลให้นักเรียนเข้าสอบได้อย่างสงบและเป็นระบบ

    ภาคสุขภาพ
    ในส่วนของภาคสุขภาพ พลเมืองทุกคนจะต้องมีสุขภาพที่ดี เนื่องจากการมีสุขภาพที่ดีจะทำให้สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ เช่น การศึกษา กิจการสังคม และงานทางเศรษฐกิจ จึงมีการกำหนดนโยบาย “มีโรงพยาบาลที่ไหน ต้องมีหมอที่นั่น” และพยายามยกระดับโรงพยาบาลและดูแลให้มีแพทย์ในทุกโรงพยาบาล

    ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
    จากเหตุการณ์ฝนตกหนักอันเนื่องจากพายุไต้ฝุ่นยากิในเมียนมาในช่วงเดือนกันยายน 2567 ทำให้เกิดน้ำท่วมใน 106 เมืองใน 8 รัฐและภูมิภาค พบว่าน้ำท่วมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้รุนแรงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองต่อความเสียหายและผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เล่าว่า ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเพื่อดำเนินการฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด พบเขาได้พบปะกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและให้กำลังใจ จัดหาอาหาร และสอบถามเกี่ยวกับสาเหตุของภัยพิบัติ ตลอดจนหารือถึงการดำเนินการในการฟื้นฟูกับเจ้าหน้าที่กระทรวงและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังได้ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าการบรรเทาทุกข์และการฟื้นฟูมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลและรวดเร็วที่สุด

    ในแง่ของสิ่งที่จัดหาให้ มีการจัดสรรเงินจำนวน 447.1 ล้านคนให้กับผู้เสียชีวิตกว่า 440 รายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากนี้มีการจัดสรรเงินมากกว่า 21.2 พันล้านจั๊ดสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินที่อยู่อาศัย และมีการจัดสรรมากกว่า 38.9 พันล้านจั๊ตสำหรับการสนับสนุนรูปแบบอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการรวบรวมรายชื่อผู้ไร้ที่อยู่ในประเทศและจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น ตามกฎหมายการจัดการภัยพิบัติ ความสูญเสียที่พลเรือนได้รับเนื่องจากการก่อการร้ายและการขัดแย้งทางอาวุธยังถูกจัดประเภทไว้ภายใต้ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติด้วย ดังนั้นรัฐจะยังคงให้การสนับสนุนผู้ไร้ที่อยู่ภายในประเทศต่อไป ในขณะที่รัฐบาลได้ใช้ความพยายามร่วมกันในการดำเนินการ ผู้บริจาคจากทั่วประเทศตลอดจนองค์กรในประเทศและต่างประเทศก็มีส่วนร่วมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่งผลให้การฟื้นฟูและบรรเทาทุกข์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว พลเอกอาวุโส ทิน อ่อง หล่าย กล่าวขอบคุณต่อการมีส่วนร่วมและความมีน้ำใจของประชาชน ในฐานะพลเมืองเมียนมา ที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและความยากลำบากแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งความสามัคคีและความรักชาติในหมู่ประชาชนทุกคน นี่คือสิ่งที่เราภาคภูมิใจอย่างยิ่งเพื่อประเทศชาติ

    ประชาชนต้องอพยพ ที่มาภาพ:เพจ The Irrawaddy

    ประชาชนต้องอพยพ ที่มาภาพ:เพจ The Irrawaddy

    กระบวนการสร้างสันติภาพ
    นับตั้งแต่ที่สภาบริหารแห่งรัฐเข้ามารับหน้าที่รับผิดชอบของรัฐ สภาบริหารได้ดำเนินการเพื่อยุติความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธภายในประเทศและบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนภายใต้รัฐธรรมนูญ 2551 และข้อตกลงต่างๆ ที่ระบุไว้ในข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ (Nationwide Ceasefire Agreement:NCA) ทั้งนี้ ปี 2565 ถูกกำหนดให้เป็น “ปีแห่งสันติภาพ” และผู้นำกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ได้รับเชิญให้พูดคุยอย่างเปิดเผยและไม่จำกัดโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ คณะกรรมการเจรจาความสมานฉันท์และการสร้างสันติภาพแห่งชาติ (National Solidarity and Peacemaking Negotiation Committee) นับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มีการเจรจาสันติภาพไปแล้วทั้งหมด 114 ครั้ง โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มที่ลงนามใน NCA และ 6 กลุ่มที่ไม่ได้ลงนาม นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับพรรคการเมือง 21 ครั้ง และการประชุม 10 ครั้งกับองค์กรอื่นๆ ที่เรียกร้องสันติภาพ จากการเจรจาเหล่านี้ ได้มีการบรรลุข้อตกลงเพื่อปูทางในการหารือในประเด็นบางอย่างในการประชุมรัฐสภาที่กำลังจะมีขึ้น และยังคงมีการเจรจาเพิ่มเติมต่อ เพื่อให้มีข้อตกลงเพิ่มเติมอีก

    เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 เนื่องจากการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จึงได้มีการขยายคำเชิญให้แก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีการทางการเมือง โดยเน้นย้ำว่าการยุติความขัดแย้งด้วยอาวุธในภูมิภาคต่างๆ เท่านั้น ที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมได้ นอกจากนี้ยืนยันว่าความพยายามในการดำเนินกระบวนการที่วางแผนไว้เพื่อให้บรรลุสันติภาพโดยการยุติความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธจะดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก เนื่องจากการแก้ปัญหาทางการเมืองสามารถทำได้ผ่านการเจรจาที่โต๊ะเจรจาเท่านั้น จึงขอย้ำว่าพร้อมรับและสนับสนุนการเจรจาสันติภาพเสมอ

  • รัฐฉาน พื้นที่สั่นคลอนกองทัพเมียนมา
  • การเสริมสร้างระบบประชาธิปไตยหลายพรรคและสร้างสหภาพบนพื้นฐานของประชาธิปไตยและสหพันธ์
    กองทัพเมียนมา(Tatmadaw )ได้ปูทางให้ประเทศชาติเดินบนเส้นทางประชาธิปไตยหลายพรรคที่ประชาชนปรารถนา ในทำนองเดียวกัน ได้ร่วมมือกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อเสริมสร้างระบบประชาธิปไตยแบบหลายพรรค เนื่องจากสภาบริหารแห่งรัฐปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคที่ประชาชนปรารถนา จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งโดยไม่ล้มเหลว เพื่ออำนวยความสะดวกให้พรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง จึงได้มีการออกและแก้ไขกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการจดทะเบียนพรรคการเมือง ตามกฎหมายที่ประกาศใช้ มีพรรคการเมืองได้ยื่นขอจดทะเบียนใหม่แล้ว 50 พรรค ขณะที่มีพรรคการเมืองยื่นจดทะเบียนจัดตั้ง 18 พรรค รวมเป็น 68 พรรคการเมือง

    ตามมาตรา 25 ของกฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง(Political Parties Registration Law) พรรคการเมืองที่ไม่ได้ยื่นขอจดทะเบียนใหม่ตามกฎหมายจำนวน 40 พรรค จะถูกยุบพรรคโดยอัตโนมัติ คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพได้อนุมัติการจดทะเบียนพรรคการเมือง 55 พรรคจากทั้งหมด 68 พรรคที่ยื่นขอจดทะเบียนใหม่หรือยื่นขอจัดตั้ง และไม่อนุม้ติการจดทะเบียนของพรรคการเมือง 2 พรรคตามกฎหมาย ส่งผลให้ปัจจุบันมีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้ว 53 พรรค พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยอมรับว่า เพื่อให้หารือเกี่ยวกับกิจการระดับภูมิภาคและชาติพันธุ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตัวแทนชาติพันธุ์จำเป็นต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้นในเวทีทางการเมือง ซึ่งเป็นเหตุผลของการดำเนินการเหล่านี้

    คณะกรรมการการเลือกตั้งสหภาพได้จัดประชุมหารือกับพรรคการเมือง 10 ครั้ง ในระหว่างการประชุมเหล่านี้ มีการกล่าวถึงประเด็นต่างๆ รวมถึงการฉ้อโกงการเลือกตั้งและความผิดปกติที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคปี 2563 รวมถึงปัญหาคะแนนเสียงที่ไม่ถูกต้องซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิบัติในการเลือกตั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ การหารือยังครอบคลุมถึงการนำระบบการเลือกตั้งแบบผสมมาใช้ โดยผสมผสานระบบผู้ได้คะแนนสูงสุดได้รับเลือกตั้ง (First Past the Post:FPTP) เข้ากับระบบบัญชีรายชื่อแบบปิด (Closed List Proportional Representation) ซึ่งถือว่าเหมาะสมและตรงไปตรงมามากกว่าสำหรับเมียนมา หัวข้ออื่นๆ ได้แก่ กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง กฎระเบียบเกี่ยวกับพรรคการเมือง ความเข้มแข็งของสมาชิกพรรค การจัดตั้งสำนักงานพรรค การเตรียมความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมขององค์กรติดตามการเลือกตั้งทั้งในและต่างประเทศ มีการบรรลุข้อตกลงในเรื่องเหล่านี้ และเรียกร้องให้พรรคการเมืองปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างแน่วแน่และจริงจัง

    ในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2563 บุคคลจากพรรค NLD มีส่วนเกี่ยวข้องในการฉ้อโกงการเลือกตั้ง ทำให้รายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งสูงเกินจริง และมีส่วนร่วมในการฉ้อโกงการเลือกตั้งไม่เพียงแต่ภายในเขตเลือกตั้งเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วทั้งประเทศด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับชัยชนะอย่างผิดกฎหมาย เป็นที่สังเกตว่าบุคคลที่รับผิดชอบต่อการฉ้อโกงการเลือกตั้งในทุกเมืองระหว่างการเลือกตั้งปี 2563 เป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารกลาง (Central Executive Committee :CEC) ของพรรค NLD เนื่องจากสมาชิก CEC เหล่านั้นเป็นตัวแทนของพรรค NLD จึงสันนิษฐานได้ว่าการฉ้อโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้นตามคำสั่งของพรรค

    การเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปแบบหลายพรรคตามระบอบประชาธิปไตย
    พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวว่า เขาได้เตรียมการเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปให้ประสบความสำเร็จจากทุกด้าน และในระหว่างการเยือนต่างประเทศ เขายังชี้แจงสถานการณ์เกี่ยวกับความพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกตั้งจะประสบผลสำเร็จในระหว่างการพบปะกับประมุขแห่งรัฐและเจ้าหน้าที่จากประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ในการพบปะกับเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่จากองค์กรระหว่างประเทศที่เยือนเมียนมา พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เล่าว่ายังได้ชี้แจงมาตรการที่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งด้วย จากคำอธิบายที่ชัดเจนเหล่านี้ เมียนมาจึงได้รับการสนับสนุนและรับรองอย่างเต็มที่จากประชาคมระหว่างประเทศสำหรับการเลือกตั้งที่รัฐบาลเป็นผู้นำ

    พลเมืองทุกคนที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนสามารถรับบัตรตรวจสอบความเป็นพลเมืองผ่านการดำเนินโครงการ Pankhinn 1, 2 และ 3 รวมจำนวน 5,980,664 คน และยังมีความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ยังเหลือซึ่งยังไม่ได้รับบัตรตรวจสอบสัญชาติ จะได้รับก่อนช่วงการเลือกตั้งจะสิ้นสุดลง

    นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพยังดำเนินการสาธิตและทดสอบการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องลงคะแนนเสียงอิเล็กทรอนิกส์ของเมียนมา เพื่อให้มั่นใจว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเสียงได้อย่างชัดเจนและง่ายดาย ผลการเลือกตั้งมีความถูกต้อง ไม่มีการลงคะแนนเสียงที่ไม่ถูกต้อง ป้องกันการโกงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และมีความโปร่งใส

    การสำมะโนประชากร
    รายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งขั้นพื้นฐานที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดการการเลือกตั้งทั่วไป การสำรวจสำมะโนประชากรและครัวเรือนปี 2567 ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 15 ตุลาคม และขยายระยะเวลาออกไปเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยและปัญหาด้านการคมนาคม การรวบรวมข้อมูลสำมะโนประชากรถือเป็นการดำเนินการที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศ และข้อมูลที่รวบรวมยังสามารถนำไปใช้ในการดำเนินโครงการสนับสนุนได้อีกด้วย

    ผลชั่วคราวของการสำรวจสำมะโนประชากรและที่อยู่อาศัยปี 2567 แสดงให้เห็นว่ามีประชากรทั้งหมด 51,316,756 คน ในคืนการสำรวจสำมะโนประชากรวันที่ 30 กันยายน 2567 ตัวเลขดังกล่าวประกอบด้วย 32,191,407 คน จากการสำรวจสำมะโนประชากร และ 19,125,349 คน จากข้อมูลโดยประมาณ ในจำนวนนี้ มีผู้ชาย 15,105,215 คน และผู้หญิง 17,086,192 คน โดยมีอัตราส่วนเพศอยู่ที่ 46.9% เป็นเพศชาย และ 53.1% เป็นเพศหญิง ข้อมูลที่รวบรวมไว้จะถูกใช้เป็นรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกต้องตามขั้นตอนการเลือกตั้ง

    ตัวเลขที่ได้แสดงให้เห็นถึงการลดลงเล็กน้อยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของประชากรเกิดจากอัตราการเกิด อัตราการตาย และการย้ายถิ่น สันนิษฐานได้ว่าจำนวนประชากรมีน้อยมากเมื่อเทียบกับความกว้างของประเทศและจำนวนประชากร จำเป็นต้องมีประชากรที่เหมาะสมและจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทุกปีเพื่อการพัฒนาประเทศ จึงต้องจัดสรรการสนับสนุนภาคการศึกษาและสาธารณสุขเพื่อเพิ่มอัตราการเกิดและลดอัตราการเสียชีวิตในประเทศ ในด้านการย้ายถิ่นฐานควรดำเนินมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐ จะมีการจัดทำนโยบายประชากรที่เหมาะสมกับประเทศเพื่อให้บรรลุจำนวนประชากรที่เป็นไปได้ในประเทศ

    ประสานการเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรค
    คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลายพรรคภายใต้รัฐธรรมนูญ (2551) และกฎหมายการเลือกตั้งตามขั้นตอนการเลือกตั้งโดยขึ้นอยู่กับความมั่นคงของภูมิภาค การเลือกตั้งควรมีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกต้อง และควรเป็นการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และโปร่งใส ผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศควรได้รับเชิญให้เข้าร่วมกิจกรรม ควรมีความพยายามในการนำระบบประชาสัมพันธ์มาใช้เพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของชาติพันธุ์และประชาชนในระดับต่างๆ

    การลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งเป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาของพลเมืองอย่างเสรี การสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนสามารถลงคะแนนเสียงได้ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล การลงคะแนนเสียงหรือไม่ลงคะแนนเป็นจุดยืนของบุคคล นอกจากนี้ ควรจัดให้มีการเตรียมการเพื่อระงับการคุกคาม การใช้กำลัง การยุยงและการกลั่นแกล้งจากผู้ก่อความไม่สงบในระหว่างการลงคะแนนเสียง ดังนั้น SAC จึงพยายามจัดการเลือกตั้งทั่วไปหลายพรรคที่มีเกียรติและถูกต้องจากมุมมองของกฎหมายและความคิดเห็นของประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้พลเมืองทุกคนกระทำการที่ผิดกฎหมาย และเป็นการเลือกตั้งที่มีเกียรติและถูกต้อง

    การเลือกตั้งทั่วไปควรสะท้อนความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ ควรมีสันติภาพและเสถียรภาพในแต่ละภูมิภาคเพื่อให้บรรลุระบบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคโดยเร็วที่สุด ดังนั้นควรเร่งรัดระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะในปัจจุบันโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม

    จากเหตุการณ์ในเมียนมาและประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีสิ่งหนึ่งเมื่อชาติชาติหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบหนึ่งไปอีกระบบหนึ่ง ก็คือ การนำระบบที่เหมาะสมมาใช้โดยขึ้นอยู่กับที่ตั้ง ลักษณะเฉพาะของชาติ วัฒนธรรม และบริบท หากชาติเดินตามเกณฑ์ระหว่างประเทศหรือแรงกดดันของประเทศมหาอำนาจ เสถียรภาพอาจแย่ลงได้ ตัวอย่างเช่น บางประเทศใช้ระบบที่ไม่เหมาะสมและกดดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองจนถึงปัจจุบันและต้องดิ้นรนฝ่าวิกฤติต่างๆ มีเพียงพลเมืองเท่านั้นที่รู้มากที่สุดเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศของตน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นเนื่องจากการฉ้อโกงการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งปี 2563 ซึ่ง SAC กำลังพยายามร่วมกันทีละขั้นตอนเพื่อนำประเทศไปสู่เส้นทางประชาธิปไตย มีเพียงพลเมืองเมียนมาเท่านั้นที่ตัดสินใจเรื่องการเมืองของเมียนมา การปฏิรูปและสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังดำเนินการอยู่จะสำเร็จได้โดยขึ้นอยู่กับกิจการภายในของประเทศมากกว่าแรงกดดันจากต่างประเทศและอื่นๆ

    นอกจากนี้ SAC ยังพยายามปรับเส้นทางประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยจากการเลือกตั้งปี 2563 ให้ดีขึ้น ในการทำเช่นนั้น บุคคลและองค์กรบางแห่งที่ไม่ได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการทางการเมือง ก็ได้เลือกการสู้รบด้วยอาวุธ ดังนั้นประเทศจึงเผชิญกับการโจมตีของผู้ก่อความไม่สงบ องค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ยังพยายามยึดอำนาจในระดับภูมิภาค แทนที่จะนำไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยแบบหลายพรรค ขณะเดียวกันรัฐบาลรักษาเสถียรภาพภาคความมั่นคงของประเทศและส่งเสริมเศรษฐกิจของรัฐและภาคสังคมที่ได้สำเร็จระดับหนึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายต่อการจัดการเลือกตั้งทั่วไปให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการเลือกตั้งทั่วไปที่เสรี เป็นธรรม และยุติธรรมจำเป็นต้องมีความสงบและความมั่นคง สภาบริหารแห่งรัฐจึงได้เสนอขยายวาระการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญออกไปอีก 6 เดือนเพื่อดำเนินการตามกระบวนการข้างต้น

  • จีนเริ่มเล่นบทผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง ‘บางส่วน’ในเมียนมา
  • ขยายสถานการณ์ฉุกเฉินต่ออีก 6 เดือน
    ประธานรัฐสภา อู ที คุน เมียต กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพกำลังดำเนินการจัดการตามภาคส่วน โดยมีเป้าหมายที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคที่เสรีและเป็นธรรม และยังทำงานร่วมกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกต้องและแม่นยำ การรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะดำเนินการโดยละเอียดในแต่ละหน่วยเลือกตั้ง และต้องมีการเตรียมการอย่างเป็นระบบเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียง การจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร จึงสนับสนุนให้ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป

    พลเอกอาวุโส โซ วิน กล่าวว่า เสถียรภาพมีบทบาทสำคัญในการจัดการการเลือกตั้งทั่วไปหลายพรรคซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของ SAC ให้ประสบความสำเร็จ สถานการณ์ในรัฐกะฉิ่น กะเหรี่ยง ยะไข่ และรัฐชิน ได้มีการรายงานภายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นงานด้านความมั่นคงและความมั่นคงของรัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงสนับสนุนให้ขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือนเพื่อดำเนินมาตรการเหล่านี้

    พลเอกหม่อง หม่อง เอ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันเป็นเวลาที่จะดำเนินการมาตรการที่เป็นระบบเพื่อการเลือกตั้งทั่วไปหลายพรรคที่เสรีและเป็นธรรม ดังนั้นควรมีความมั่นคงและเสถียรภาพภายในเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปแบบหลายพรรค เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการจัดการเลือกตั้งได้จำเป็นต้องขยายระยะเวลาของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปเพื่อรักษาความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพของรัฐ ดังนั้นเขาจึงสนับสนุนการขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือน

    พล.ท. ยาร์ เพ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 27 มกราคม 2568 ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นในภูมิภาคและรัฐ ส่งผลให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร พระสงฆ์ และนักศึกษา เสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนมีการจับกุมอาวุธและเครื่องกระสุนปืน จึงสนับสนุนให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากความมั่นคง เสถียรภาพ และการบังคับใช้กฎหมายทั่วประเทศไม่อยู่ในสภาพปกติ

    รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ อู ตาน ฉ่วย รายงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการฑูตกับนานาประเทศ มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกองทัพเมียนมาและการสื่อสารของพลเรือน การเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างประเทศ กองทัพเมียนมา และความร่วมมือของพลเรือนในแง่ของ SAC จากนั้น ได้ชี้แจงข้อค้นพบเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างองค์กรระหว่างประเทศเพื่อนำแนวทางเมียนมาเพื่อกิจการเมียนมาที่นำโดยเมียนมา และการสนับสนุนเชิงบวกของประเทศหุ้นส่วนให้จัดการเลือกตั้งทั่วไปตามระบอบประชาธิปไตยหลายพรรคอย่างเสรี เขาจึงสนับสนุนข้อเสนอขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือน

    พล.ท. ตุน ตุน นอง รัฐมนตรีกิจการชายแดน กล่าวว่า SAC ประสบความสำเร็จในการดำเนินแผนงาน 5 ประการ กระบวนการสันติภาพ และการนับจำนวนประชากรและการสำรวจสำมะโนครัวเรือน เพื่อรักษารากฐานที่มั่นคงเหล่านี้ และเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลายพรรคที่เสรีและยุติธรรม เขาจึงสนับสนุนการขยายเวลาของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือน

    จากนั้น รักษาการประธานาธิบดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประกาศขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 6 เดือนทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 และปิดการประชุม

  • รัฐบาลทหารเมียนมา ขยายสถานการณ์ฉุกเฉินอีก 6 เดือน