ไทยยูเนี่ยนสุดล้ำเปิดศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub ในยุโรป จัดเต็มเทคโนโลยีครบวงจร เดินหน้าวิจัย พัฒนา สร้างความแตกต่างให้แบรนด์

เนเธอร์แลนด์ – 30 กันยายน 2567 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub อย่างเป็นทางการ ณ เมืองวาเกนิงเงน ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อขยายเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลกของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่นี้จะมุ่งเน้นไปที่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สำหรับแบรนด์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องของกลุ่มบริษัท ภายในศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้ ประกอบด้วย นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการและบรรจุภัณฑ์ นักโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์ด้านประสาทสัมผัส และนักพัฒนานวัตกรรมกว่า 40 คน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับไทยยูเนี่ยนและศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน (Global Innovation Center หรือ GIC) ในกรุงเทพฯ
ไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในศูนย์นวัตกรรมอันล้ำสมัยแห่งนี้เพื่อมุ่งพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยศูนย์นี้จะดูแลครอบคลุมแบรนด์อาหารทะเลบรรจุกระป๋องทั้งหมดของกลุ่มไทยยูเนี่ยนเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย ได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างยั่งยืน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ของเราที่เนเธอร์แลนด์ นับเป็นการเสริมสร้างศักยภาพด้านนวัตกรรมระดับโลกให้กับไทยยูเนี่ยน Global Innovation Center (GIC) ในประเทศไทยมุ่งเน้นการวิจัยในการใช้ประโยชน์และเพิ่มคุณค่าของวัตถุดิบซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญซึ่งจะสร้างประโยชน์โดยตรงต่อศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub ของเราในวาเกนิงเงน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วผ่านความร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ ลูกค้าและผู้บริโภคของเรา การสร้างสรรค์นวัตกรรมควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® 2030 จะสร้างความแตกต่างและเป็นพลังสำคัญให้ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถครองใจผู้บริโภคได้
นายแพทริค ทาซิญอง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนวัตกรรมอาหารทะเลแปรรูป บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราเลือกเมืองวาเกนิงเงนเป็นศุนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ของเรา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นเลิศและมีความพร้อมทางด้านวิทยาศาสตร์อาหารและโภชนาการที่เราเราตั้งใจที่จะบูรณาการความร่วมมือ ความรู้ และสปิริตของนักสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งจากมหาวิทยาลัยวาเกนิงเงนเพื่อการวิจัยสตาร์ทอัพ และบริษัทต่าง ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการคิดค้นนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการจากทะเลระดับโลก
ศาสตราจารย์เอลเลน แคมป์แมน ประธานสาขาวิชาโภชนาการและสุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยและการวิจัยวาเกนิงเงน กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยและการวิจัยวาเกนิงเงน เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งด้านโภชนาการและวิทยาศาสตร์อาหารของยุโรป ที่สามารถดึงดูดให้บริษัทฯ ชั้นนำด้านอาหารหลายแห่งตัดสินใจมาตั้งศูนย์นวัตกรรมที่นี่ พวกเราขอต้อนรับไทยยูเนี่ยน บริษัทผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ของโลกสู่เมืองวาเกนิงเงน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความพร้อมและความตั้งใจของพวกเราเมื่อผสานความร่วมมือกับไทยยูเนี่ยนจะสามารถสร้างสรรผลงานวิจัยและพัฒนาโภชนาการดีจากท้องทะเลไปด้วยกัน
ศักยภาพด้านการวิจัยของศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub
ศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub ได้รับการออกแบบเพื่อพัฒนานวัตกรรมให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ของไทยยูเนี่ยน ภายในศูนย์นวัตกรรมดังกล่าว ประกอบด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นสูงเพื่อสนับสนุนกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นการวิจัยคิดค้นคอนเซปต์ ตลอดจนนำเสนอสินค้าสู่ตลาด ได้แก่
ผลงานจากศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub ที่เปิดตัวสู่สาธารณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ นวัตกรรม ECOTWIST® ของแบรนด์ John West ซึ่งเป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการออกแบบ ครั้งสำคัญในสหราชอาณาจักร โดยสามารถบรรจุปลาทูน่าได้ในปริมาณเท่าเดิมในกระป๋องที่ออกแบบใหม่ให้เบากว่า ลดการใช้เหล็กได้กว่า 400 ตันต่อปี ลดวัตถุดิบส่วนประกอบได้1,500 ตัน ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกได้ 65 ตันต่อปี และลดการใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษได้ถึง 300 ตันต่อปี
โดยศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub เนเธอร์แลนด์ พร้อมต้อนรับผู้บริโภค นักวิชาการ พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้า เพื่อร่วมกันสร้างนวัตกรรมอย่างยั่งยืนร่วมกัน
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมา 47 ปี
ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 136,153 ล้านบาท (3,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita
ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans” โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship
ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 พร้อมขยายขอบเขตการทำงานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน และยังได้รับการจัดอันดับในดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับหนึ่ง 3 ปีติดต่อกัน และในปี 2566 ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ตลอดจนได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จากสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก Carbon Disclosure Project (CDP) สะท้อนความความโปร่งใสและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในปี 2567 ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ที่ seachangesustainability.org.