
วันที่ 13 กันยายน 2567 สำนักข่าวไทยพับลิก้าได้จัดงานเสวนาเนื่องในโอกาสดำเนินงานขึ้นสู่ปีที่ 14 ในหัวข้อ “Big Heart Big Impact สร้างโอกาสคนตัวเล็ก…Power of Partnership จับมือไว้ ไปด้วยกัน” โดยมีการแสดงปาฐกถาพิเศษจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “ท้องถิ่นที่สากล: อนาคตประเทศไทย Globally Competitive Localism: Future of Thailand”, ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ในหัวข้อ “คนจนลดลง ภาพลวงตาของไทย ทางออกคือ? Move Forward, Just Do It”, ‘ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา’ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในหัวข้อ “สร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีส่วนร่วม…Big Heart Big Impact” พร้อมกับเสวนา “Power of Partnership จับมือไว้ ไปด้วยกัน” จากต้นแบบความสำเร็จการร่วมมือระหว่างองค์กรกับคนตัวเล็ก เพื่อพัฒนาต่อยอดและขับเคลื่อนพลังท้องถิ่น ให้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อเศรษฐกิจฐานราก ให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยคุณบวร วรรณศรี ผู้จัดการรัฐกิจชุมชนสัมพันธ์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด, คุณชาญ อุทธิยะ ที่ปรึกษาสมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชนจังหวัดลำปาง, คุณชยานนท์ ทรัพยากร ผู้จัดการฝ่ายวางแผนองค์กร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด, คุณอภิศักดิ์ แซ่หลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด, คุณสมชาย อาภรณ์พงษ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน สายงานพัฒนาธุรกิจผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs Startup คุณสุวภี อุ่มไกร (ดัมส์) รองประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสวนบัวโฮมสเตย์, คุณประเสริฐ ปิ่นนาค พนักงานพัฒนาลูกค้า 8 ฝ่ายกิจการสาขาภาคเหนือตอนล่าง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), คุณสิริกาญจน์ รุ่งแจ้ง วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียง 459 บ้านเตาไหเหนือ, คุณมนัทพงศ์ เซ่งฮวด วิสาหกิจชุมชนกระจูดวรรณ และ รศ. ดร.พรพันธุ์ เขมคุณาศัย กลุ่มเลน้อยคราฟ
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ท้องถิ่นที่สากล: อนาคตประเทศไทย Globally Competitive Localism: Future of Thailand” ว่า หัวข้อการงานสัมมนาวันนี้เป็นหัวข้อสำคัญและเหมาะสมกับช่วงนี้ เพราะประเทศไทยจะโตแบบเดิมๆ ไม่ได้ ต้องหารูปแบบของการเติบโตที่เป็นแนวที่ใหม่ ที่ต่างไปจากที่เคยโตมา โดยมีอย่างน้อย 3 เกร็ดที่สะท้อนว่าจะไปแบบเดิมเดิมไม่ค่อยได้
3 เรื่องบ่งชี้โตแบบเดิมไม่ได้
อย่างแรก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตในแง่ GDP ไม่ได้สะท้อนไปสู่เรื่องของความมั่งคั่งหรือรายได้ของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร nominal GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน) รวมเงินเฟ้อโตจาก 100 มาเป็น 180 แต่รายได้ครัวเรือนที่โตมาในช่วงนั้นไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ตามหลังค่อนข้างพอสมควร
“เราก็ทราบกันดีว่าอัตราการเติบโตของของเศรษฐกิจโดยรวม GDP ถ้ามองไปข้างหน้า ก็มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง จากเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้างอะไรต่างๆ ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโครงสร้างประชากร ก็ยิ่งสําคัญว่าการเติบโตเนี่ยสะท้อนไปสู่รายได้ของครัวเรือน ความมั่งคั่ง ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม ที่เราเห็นที่ผ่านมาไปเน้นตัวเลข GDP ที่มันโต ไม่ได้หมายความว่ารายได้เพิ่มขึ้น แต่เหตุผลจริงๆ ที่เราแคร์เรื่องพวกนี้ ที่เรื่องไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ หรืออะไรต่างๆ มันไม่ใช่แคร์ด้วยตัวเลขของตัวมันเอง แต่เราแคร์เพราะว่ามันจะนําไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว

อย่างที่สองที่สะท้อนอีกก็คือ นอกจากมุมมองของรายได้ครัวเรือนแล้ว ถ้าดูในแง่มุมของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน มีการกระจุกตัวค่อนข้างสูง จากข้อมูลสัดส่วนของรายได้ธุรกิจ พบว่าธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีสัดส่วน 5% ของธุรกิจทั้งหมดมีสัดส่วนของรายได้สูงถึง 89 หรือเกือบ 90% และสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นมา ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 84-85% จึงเห็นการกระจุกตัวของรายได้ธุรกิจที่เพิ่มขึ้นมา และก็เห็นว่าคนตัวเล็กหรือที่เกิดใหม่ ธุรกิจที่มีอายุน้อย ที่อายุน้อยกว่า 5 ปี ช่วงหลังมีอัตราการตายจาก (exit) เพิ่มสูงขึ้น สะท้อนว่าในแง่ของธุรกิจเรื่องเกี่ยวกับพลวัตในประเทศเริ่มที่จะลดลง การกระจุกตัวสูงขึ้น

อย่างที่สาม ที่สะท้อนว่าบริบทโลกเปลี่ยนไปและอานิสงส์ที่ไทยอาจจะได้รับจะไม่เหมือนเดิม ก็คือความสามารถของเราที่จะพึ่งตัวที่เราเคยขับเคลื่อนอย่างดี อย่างเรื่องการลงทุนต่างประเทศหรือ FDI ที่เข้ามาในไทย เราจะพึ่งอย่างนั้นอย่างเดิมไม่ได้
ตัวเลขส่วนแบ่งตลาดของไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องของ FDI ซึ่งย้อนกลับไปถึงปี 2548 ก็จะเห็นว่าส่วนแบ่งตลาดของไทยในโลกอยู่ที่ 0.57% ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านส่วนแบ่งตลาดน้อยมากแทบจะเป็นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย กัมพูชา แต่เวลาผ่านไปจนถึงล่าสุดปี 2565 สิ่งที่เห็นคือ ส่วนแบ่งของไทยค่อนข้างทรงตัว แต่ประเทศอื่นพุ่งขึ้น และช่วงหลัง ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซียมาแรง สัดส่วนส่วนแบ่งตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ดร.เศรษฐพุทธิกล่าวว่า ไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรที่จะไปดึงดูดการลงทุน FDI และขอย้ำว่าการดึงดูดการลงทุนต่างประเทศเป็นเรื่องสําคัญ เพราะเป็นตัวที่จะนําไปสู่เรื่องของนวัตกรรมใหม่ ประสิทธิภาพที่จะเพิ่มขึ้น แต่สะท้อนว่าเราจะทําแบบเดิมไม่ได้ คือสมัยก่อนเหมือนกับเรามีเสน่ห์ อยู่เฉยๆ ก็วิ่งมาหาเรา แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เราต้องปรับตัว ต้องออกแรงมากขึ้น แล้วระหว่างนี้ก็สะท้อนด้วยว่า เราจะไปพึ่งต่างชาติไม่ได้เหมือนเดิม หมายความว่าเราจําเป็น มีความจําเป็นที่ต้องพึ่งความเข้มแข็งภายในของเรามากขึ้น

เลิกโตแบบล่าตัวเลข GDP-FDI แต่ต้องเน้นท้องถิ่น
ดร.เศรษฐพุทธิกล่าวว่า ถ้าโตแบบเดิมไม่ได้ แล้วจะโตอย่างไร สิ่งหนึ่งที่อาจจะเห็นจากภาพที่จะพยายามใช้มาเป็นเกร็ด สะท้อนว่า…
“เราไม่ควรโตแบบแบบล่าตัวเลขอย่างเดียว ล่าตัวเลข GDP ล่าตัวเลข FDI การลงทุนอะไรต่างๆ เพราะท้ายสุดสิ่งที่เราแคร์ คือเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของคน แล้วเราก็เห็นว่า การเติบโตที่ผ่านมาก็ไม่ได้สะท้อนนําไปสู่เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า การดู FDI การลงทุนจากต่างประเทศ ก็ไม่ควรดูแค่ตัวเลข เพราะว่าก็อาจจะไม่ได้มาแรงเหมือนสมัยก่อน แต่ต้องดูว่าประเทศได้ประโยชน์จากในเรื่องของการลงทุน ว่าสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้แค่ไหน ต้องดูให้มั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้นําไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ถ้าจะล่าตัวเลข ตัวเลขที่ควรล่าไม่ใช่ตัวเลขพวกนั้น แต่ควรล่าตัวเลขที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้คน ความมั่งคั่งของคน หรือที่สําคัญก็ตัวเลขอื่นๆ ที่สะท้อนคุณภาพของชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องสาธารณสุข เรื่องการศึกษา เรื่องโอกาสอะไรต่างๆ” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวและว่า เพราะว่าเราก็ทราบดีว่า การล่าตัวเลข ตัวเลขก็ไม่สวยเหมือนสมัยก่อน และที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไม่ได้ส่งอานิสงส์ต่อสิ่งที่เราแคร์จริงเท่าที่ควร และเราก็เห็นการพึ่งการเติบโต ที่พูดง่ายๆ คือ กระจุกอยู่ไม่กี่ที่ มันไม่ยั่งยืน
“เราต้องหาวิธีที่จะโต ที่จะอยู่บนฐานที่มันกว้างขึ้นกว่าเดิม เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ อย่างแรก ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อของงานเสวนา ก็คือว่า “ต้องโตแบบ เน้นเรื่องของ local เน้นเรื่องของท้องถิ่นมากขึ้น แล้วคนส่วนใหญ่อย่างที่เห็นประชากรประมาณ 80% ก็อยู่นอกเขต กทม. และปริมณฑล ก็ต้องไปเน้นเรื่องของการสร้างความมั่งคั่งในพื้นที่ด้านนอก จากพื้นที่ที่เคยเน้นเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นหลัก” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ประชากรเกือบ 80% อยู่นอกกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเมื่อดูทั้งประเทศ สัดส่วนของประชากรที่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่สะท้อนความใหญ่ของเมืองหลวง เทียบกับเมืองอื่นๆ หรือเทียบกับประชากรที่เหลือของประเทศ ประเทศไทยมักจะติดอันดับต้นๆ ของโลก เพราะว่าเหมือนกับเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงเทพฯ และเมืองที่สอง เมืองที่ 3 รองลงมา มีช่องว่างระหว่างกันมหาศาล ขณะที่ในที่อื่นไม่ได้เป็นอย่างนั้น และมีความสมดุลกว่า คือ หมายความว่าเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เมืองที่สองปกติประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดของเมืองแรก เมืองที่ 3 ครึ่งหนึ่งของขนาดเมืองที่สอง เป็นภาพอย่างนี้ที่เรียก rank-size rule แต่ประเทศไทยไม่ใช่แบบนั้น ค่อนข้างผิดเพี้ยนพอสมควร สังคมเมืองที่มีอยู่กระจุกตัวอย่างหนาแน่นและหนักอยู่ที่กรุงเทพฯ

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ถามว่าจะไปอย่างนี้ต่อไปได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ถ้าจะไปอย่างนี้ อัตราการเติบโตของโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งในวงกว้างก็จะน้อยลง มีการศึกษาของธนาคารโลก ที่พยายามคํานวณอัตราการเติบโตของ GDP ของกรุงเทพมหานคร จะเห็นว่า GDP ต่อหัวของกรุงเทพฯ สูง คนมากประสิทธิภาพมาก แต่อัตราการเติบโตต่ำมาก ล่าสุดที่คํานวณออกมาอยู่ที่ประมาณแค่ 0.22%
“ก็เลยชัดว่าถ้าเราพยายามอิงกับการเติบโตแบบเดิมๆ เน้นกรุงเทพฯ อัตราการเติบโตในภาพรวมก็จะชะลอตัวลง แต่การโตแบบเน้นท้องถิ่น เน้น local ที่สําคัญคือต้องโตแบบแข่งขันได้ ต้องมีความเป็นสากลที่เข้ามาแฝงด้วย เพราะมิฉะนั้นจะไม่ยั่งยืน ถ้าจะให้เราไปอย่างต่อเนื่องได้ การที่จะเน้นเรื่องของท้องถิ่น ที่สําคัญ ต้องเป็นท้องถิ่นที่แข่งขันได้ และถ้าให้ชัดเลย ก็แข่งกันกับโลกด้วยซ้ำไป เพราะการแข่งขันปัจจุบันไม้ได้แข่งขันกันเองระหว่างจังหวัด แต่แข่งขันกับโลก อย่างที่ชัดก็เหมือนท่องเที่ยว ถ้าเราอยากจะดึงนักท่องเที่ยวมาจากต่างประเทศ ซึ่งเราก็เห็นว่าเป็นเครื่องยนต์สําคัญที่ทําให้บางเมืองโตได้ในไทย เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ก็มาจากการที่ไปต่อท่อกับอุปสงค์ของโลก ไม่ได้พึ่งแค่เฉพาะในประเทศ” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวต่อว่า การที่จะทําได้ก็ต้องแข่งขันกับโลกได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเลือกที่จะไปที่ไหนก็ได้ในโลก การที่เราจะไปได้ท้องถิ่น ท้ายสุดต้องเป็นท้องถิ่นที่แข่งขันได้ ที่สําคัญ จะให้ดีเลยก็ต้องแข่งขันกับโลกได้
แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะท้องถิ่นเจอความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะในบริบทของไทย อย่างแรกจะเห็นว่า คนในบ้านเรา ด้วยความที่ทุกอย่างค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ จะเห็นว่าคนท้องถิ่นกระจายตัว มีความความหนาแน่นของประชากรที่ต่ำ ซึ่งก็อาจจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะถ้าหนาแน่นคนไม่อยากอยู่ แต่ในแง่ธุรกิจก็ทราบกันดีว่า ถ้าขาดความหนาแน่น อุปสงค์ก็ไม่ค่อยมี ตลาดก็ไม่ค่อยโต ซึ่งเห็นชัดจากตัวเลข กรุงเทพฯ มีประชากรที่ค่อนข้างหนาแน่นกระจุกตัว 3,500 คนต่อตารางกิโลเมตร แต่ที่ภาคอื่นภาคเหนือ 70 คนต่อตารางกิโลเมตร ภาคอีสานประมาณ 30 คนต่อตารางกิโลเมตร ภาคใต้ 34 คนต่อตารางกิโลเมตร การกระจายตัวของคนในที่อื่นค่อนข้างสูงซึ่งทําให้โอกาสที่จะจับตลาดที่มีนัย มีขนาด ก็ลําบากขึ้น
“ถ้าจะโตก็ต้องไปจับโลก ไม่ใช่ไปจับแค่อุปสงค์ในพื้นที่” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
อย่างที่สอง ธุรกิจในท้องถิ่นเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะเห็นว่าเป็นขนาดเล็ก ก็ไม่น่าแปลกใจ
แล้วสุดท้ายภูมิศาสตร์มีความหลากหลายในพื้นที่ต่างๆ บางทีก็จะทําให้เรื่องของขนาดตลาดอาจจะไม่ได้โต หรือกว้างขวางเท่าที่อยากที่จะเห็น

3 ความท้าทายที่ท้องถิ่นแข่งได้ยาก
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า 3 ความท้าทาย ที่สะท้อนว่า โอกาสที่เราจะสร้าง economies of scale ลําบากขึ้น การรวมตัวยากขึ้นในท้องถิ่น ซึ่งการรวมตัว หรือ economies of scale สําคัญ เพราะถ้าจะแข่งขันได้ ต้นทุนคุณต้องต่ำ และสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ต้นทุนต่ำก็คือ ต้องมีความสามารถผลิตหรือทําอะไรที่มี size มีขนาดมี scale พอสมควร
แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้ท้องถิ่นแข่งขันได้ แล้วก้าวข้ามอุปสรรคความท้าทายได้ ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ขอเริ่มด้วยสิ่งที่ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่ควรทํา สิ่งหนึ่งที่ชัดก็คือ ด้วยรูปแบบต่างๆ การที่จะพึ่งการเติบโตโดยที่จะให้คนเข้ามาในกรุงเทพฯ ในปริมณฑลอีก ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ความหนาแน่นในกรุงเทพฯ เริ่มส่งผลในเชิงลบ ความหนาแน่นทําให้ต้นทุนต่างๆ เริ่มเพิ่มขึ้น มีความแออัด รถติด ต้นทุนต่างๆ สูง ซึ่งตรงนี้ก็คงเป็นตัวที่สะท้อนถึง GDP ต่อหัวในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเริ่มที่จะชะลอตัวลง
“อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าสะท้อนก็คื อนโยบายของเราที่พยายามแบบเน้นการกระจายความเจริญ และกระจายแบบกระจายให้สุดๆ เลย ซึ่งก็ไม่ใช่ เพราะว่าต้องดูว่าแต่ละที่ที่จะพยายามกระจายไปมีศักยภาพอย่างไร จะกระจายแบบจะให้ไปทั่วก็ไม่ค่อยประสบความสําเร็จ ตัวอย่างหนึ่งของสไตล์นโยบายที่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยจะประสบความสําเร็จ แล้วก็คงไม่ใช่เป็นทางออก ก็คือการที่เราจะพยายามไปไปพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ special economic zone แล้วก็หวังว่าการที่จะไปสร้างโซนพวกนี้ในที่ที่มันอาจจะไม่ได้เหมาะสมกับธุรกิจนัก อยู่ดีๆ จะดึงดูดการลงทุนแล้วก็ไปสร้างความมั่งคั่ง ผมว่าเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ที่ผ่านมาเราก็มีนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ทํามาตั้งแต่ปี 58 มูลค่าการลงทุนคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในประเทศทั้งหมด มีเพียง 0.5% ไม่ถึง 1% ไปด้วยซ้ำไป” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า เจตนารมณ์ของนโยบายเป็นสิ่งที่ดี เพราะหวังว่าจะกระจายความเจริญ แต่ถ้าไม่ดูศักยภาพ ความเป็นไปได้ ก็จะกระจายแบบเหมือนจะให้กระจาย มันไม่ได้ นโยบายสไตล์พวกนี้คิดว่าไม่ใช่ที่จะช่วย
“ส่วนหนึ่งของคําตอบที่คิดว่าใช่แล้วไม่ใช่คําตอบทั้งหมด แต่ผมคิดว่ามันมีองค์ประกอบสําคัญของคําตอบ คือการจะสร้างสิ่งที่เราเรียกกันเหมือนท้องถิ่น แต่ท้องถิ่นที่ที่สากล ความหมายก็คือเราใช้เอกลักษณ์ของท้องถิ่น จุดแข็งของท้องถิ่น ซึ่งแต่ละทีไม่เหมือนกัน แตกต่างในแต่ละที่ เอกลักษณ์ จุดเด่นของท้องถิ่นก็ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ ในแง่ของประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ต้องใช้เอกลักษณ์ตรงที่แตกต่างกัน จุดเด่นของท้องถิ่น ในรูปแบบที่ที่สากล ความหมายก็คือที่แข่งขันได้ สามารถทําให้ให้ต้นทุนต่ำลง หรือมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น”
สร้างท้องถิ่นสากลจาก 6 แนวทาง
โดยมีสององค์ประกอบด้วยกัน ซึ่งถามว่าแล้วทําอย่างไรให้ท้องถิ่นที่ออกไปในแนวสากลเกิดขึ้นได้ องค์ประกอบที่จะทำให้ท้องถิ่นที่สากลเกิดขึ้นได้และแข่งขันได้ โดยองค์ประกอบที่เหมือนกับขาดไม่ได้ ของที่จําเป็นแต่อาจจะไม่พอ สําหรับคําตอบตัวนี้ ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า อย่างแรกก็คือการเชื่อมกับตลาด ด้วยความที่ว่าท้องถิ่น มีคนในพื้นที่ไม่หนาแน่น มีการกระจายตัวค่อนข้างเยอะ ถ้าพึ่งตลาดที่อยู่ได้ตรงนั้น การเข้าถึงตลาดต้นทุนก็จะสูง ตลาดก็มีขนาดไม่พอโอกาสที่จะแข่งขันได้ แล้วก็เอาต้นทุนให้ต่ำอย่างที่ควรจะแข่งขันได้ โอกาสน้อยมากมาก
“ตลาดที่เราควรเชื่อมก็หนีไม่พ้นตลาดของของโลก ซึ่งตอนนี้กระแสของออนไลน์ เราก็เห็นว่ามันส่งอานิสงส์ทําให้การเชื่อมตลาดทําได้ง่ายขึ้น” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิยกตัวอย่างผู้ประกอบการจากการที่ได้เข้าร่วมงานเสวนาสํานักงานภาคเหนือ ธปท. เมื่อไม่นานนี้ คือบริษัท Carpenter ได้นำเศษไม้มาอัปไซเคิล ผลิตของเป็นแนวดีไซน์ เริ่มแรกขายผ่านเฟซบุ๊ก ก็ได้การตอบรับที่ดี ได้ไปร่วมงาน Milan Design Week แล้วก็มีการขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้ดีอย่างต่อเนื่อง
“ด้วยกระแสออนไลน์ก็เพิ่มขึ้นแล้ว การที่จะพยายามที่จะจับหรือเชื่อมกับตลาดที่ใหญ่กว่าแค่พื้นที่ ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นโอกาสที่สําคัญ” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
อย่างที่สอง การที่จะเพิ่มปริมาณในเชิงตลาดก็เป็นตัวสําคัญ บางทีจะคาดการณ์ที่จะขายโดยปริมาณก็ไม่พอ อีกองค์ประกอบที่สําคัญ ก็การที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม เรื่องของคุณภาพให้สูงขึ้น ก็กลับมาที่ต้องหาจุดเด่น จุดที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่ง ดร.เศรษฐกิจพุฒิกล่าวว่า เราก็คงคุ้นกับการเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด แล้วเจอสินค้าที่ขายกันในท้องถิ่น ที่มักจะคล้ายเดิมเหมือนกันหมด ซึ่งการที่เหมือนกันหมด โอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มก็น้อย
วิธีหนึ่งที่จะสร้างในเรื่องของมูลค่าเพิ่ม ใช้เอกลักษณ์ของของท้องถิ่นพื้นที่ให้ดี ก็คือ GI ตัวบ่งชี้เชิงภูมิศาสตร์ แหล่งที่มา ตัวอย่างก็ชัดในต่างประเทศ ในเรื่องที่เราอาจจะคุ้นเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะยุโรปที่เด่นๆ ฝรั่งเศส อิตาลี ที่จะการจํากัดเขต ก่อนที่จะระบุว่ามาจากถิ่นไหนต้องผ่านการรับรองต่างๆ และการที่ของมันมาจากถิ่น ก็จะได้ระดับพรีเมียม ตัวอย่างเช่น ไวน์ระดับหรู wine bordeaux ก็จะขายในระดับพรีเมียม เทียบกับอย่างอื่น หรือ prosecco ซึ่งเป็น sparkling wine จากอิตาลี คนก็ยอมที่จะให้พรีเมียมมากกว่าที่อื่น
“ประเทศไทยในฐานะที่ประเทศที่เป็นเกษตร ผมว่าเรามีโอกาสตรงนั้นสูง แต่ที่สําคัญคือ ต้องกลับไปเรื่องความเป็นสากล เราอาจจะมีพื้นที่ที่เฉพาะ แบบมาจากพื้นที่ตรงนี้เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ที่อื่นก็แข่งไม่ได้เพราะว่ามันเป็นของมาจากพื้นที่ตรงนี้ แต่แม้มีจุดเด่น ถ้าแข่งขันไม่ได้ก็ไม่ใช่ ผมว่าโจทย์ของเราคือ การสร้างเรื่องพวกนี้ให้ได้มีโอกาสจริงๆ ช่วงหลัง โดยเฉพาะที่ว่ากระแสของเรื่องของคนใส่ใจ traceability ว่าของโดยเฉพาะที่บริโภคเข้าไป มาจากไหน มี story โอกาสบ้านเราจริงๆค่อนข้างสูง” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ส่วนการเชื่อม เชื่อมตลาดสร้างมูลค่าเพิ่มสําหรับท้องถิ่นก็อาจจะเป็นไม่ง่าย ทําอย่างไรที่จะยกระดับให้เป็นสากลได้ ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ต้องมีความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ซึ่งพาร์ตเนอร์ก็จะช่วยได้ ตัวเล็กจับมือกับตัวใหญ่ หาจุดแข็งจุดเด่นของแต่ละฝ่ายมาหาประโยชน์ร่วมกัน หาสิ่งที่ win-win และย้ำว่า “ต้องเป็นสิ่งที่ win-win จริง ไม่ใช่แบบตัวใหญ่เอาเปรียบตัวเล็ก ไปกดราคา และไม่ใช่แบบตัวใหญ่ช่วยตัวเล็กในรูปแบบที่ไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจ ไม่ควรเป็นแค่การช่วยเหลือแบบ CSR เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่ยั่งยืน”

“ตรงนี้ที่สําคัญคือต้องมีการร่วมมือที่มีเหตุแล้วมีผลในแง่ธุรกิจ เพื่อจะให้ไปต่อได้ เพื่อให้ทําได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การถ่ายรูปแล้วบริษัทใหญ่ๆ เอาไปลงในรายงานประจําปี แล้วระหว่างนั้นก็ไม่ทําอะไร มันต้องเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลของทั้งสองฝ่าย มีประโยชน์ทางด้านธุรกิจ มิฉะนั้นจะไม่ยั่งยืน” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า บางครั้งการคิดแบบการกระจายตัวอย่างเดียวจะไม่ใช่ เพราะการเจริญไม่ใช่การกระจายความเจริญแบบทั่วไป “แต่จริงๆ สําหรับผมมันเป็นการสร้างการกระจุกตัวใหม่ๆ ก็คือทําให้เมืองรองโตได้ กระแสคนเข้าเมืองผมคิดว่ายังจําเป็น แต่ไม่ใช่แค่ว่าเข้ามาในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือในเมืองที่ใหญ่ ๆอยู่แล้ว ที่สําคัญคือ เราต้องให้เรื่องของการเข้าถึงเมืองเกิดขึ้นในพื้นที่ พวกเมืองรอง”
รูปแบบสังคมเมืองในไทยจะค่อนข้างผิดเพี้ยนไปจากที่อื่น เพราะว่าเมืองรองต่างๆ ขนาดเล็กมาก เทียบกับที่อื่น เราขาดเมืองอย่างที่เห็นในจีนหรือเกาหลี ที่มีเมืองที่เป็น specialized city เมืองนี้เก่งเรื่องรถยนต์ อีกเมืองทําเรื่องเทเลคอม และซัพพลายเชนทั้งหมดจะอยู่อย่างนั้น แล้วเหตุผลที่เมืองพวกนี้โตได้คือ เขาไม่ได้พึ่งอุปสงค์แค่อยู่ในพื้นที่ แต่เขาสามารถเชื่อมกับโลกได้ และแข่งขันในระดับโลกไปสู่สากลได้
“ตรงนี้ผมคิดว่าก็เป็นอีกอันหนึ่งที่จําเป็นในเรื่องของภาพรวมของเรา แล้วก็หนีไม่พ้นของประเทศไทยที่จะให้เกิดขึ้น ก็ต้องมีเรื่องของการที่จะให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการตัวเองได้ เพราะว่าอะไรที่มาจากส่วนกลาง ทําแบบ one size fits all จากส่วนกลาง เราก็รู้ไม่ได้ผลเพราะความแตกต่างของท้องถิ่น พื้นที่ต่างๆ ที่หลากหลาย คําตอบมันเป็นไปได้ว่ามันมาจากส่วนกลางและมาในรูปแบบเดียว การที่จะให้ท้องถิ่นมีความสามารถในการบริหารจัดการตัวเองจําเป็น แล้วก็นโยบายก็ต้องออกมาที่เหมาะสมกับพื้นที่” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
ดร.เศรษฐพุฒิยกตัวอย่างในต่างประเทศที่พัฒนาขึ้นมาได้ดี คือ เกาะเชจูที่เกาหลี ซึ่งรายได้ต่อหัวจากเดิมประมาณ 1,500 วอนเพิ่มขึ้นมาประมาณ 10 เท่าในช่วงเวลาไม่กี่ทศวรรษ มาจากการที่ปล่อยให้เกาะสามารถที่จะมีการออกแบบนโยบายที่เหมาะสมกับพื้นที่ คิดขึ้นมาเองแล้วหาเอกลักษณ์เป็นจุดเด่นออกมาได้ ขึ้นทะเบียนยูเนสโก โดยภูมิศาสตร์ แล้วก็ไปถ่ายหนังซีรีย์ออก Netflix คนเห็นก็ยิ่งมาเที่ยว
“ตอนนั้นผมจําได้ ผมก็มีโอกาสได้ไปร่วมงานที่เชจู ยังพบว่าเขาถึงขั้นร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ Department of Folklore คือ ศึกษานิยาย ตำนานต่างๆ ที่อยู่บนเกาะเจจู แล้วก็มาเล่า มีเส้นทางหลบหนีของเจ้าชาย เจ้าหญิงมาเกาะเชจู ซึ่งเส้นทางของเขามาจากการที่เขาหาแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์มาสร้างเป็น story อันนี้เป็นตัวอย่างของการหาจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ สร้างเอกลักษณ์ขึ้นมา ทําให้แข่งขันในระดับสากล”
ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวต่อว่า อีกอย่างหนึ่งที่เห็น คือ ระบบการติดตาม ถ้าทําเรื่องพวกนี้ให้การแข่งขันเป็นไปได้จริง ก็ต้องมีการระบบการติดตาม ประเทศหนึ่งที่ทําเรื่องนี้ได้ดี คือเวียดนาม ที่มีการคํานวณ ที่เรียก Provincial Competitiveness Index ขีดความสามารถแข่งขันของแต่ละจังหวัดแต่ละพื้นที่ ไปสํารวจนักลงทุนทั้งต่างประเทศ และในประเทศว่า กฎระเบียบเรื่องของการทําธุรกิจ ความยากง่ายในการทำธุรกิจ Ease of Doing Business แล้วจัดทําเป็นอันดับออกมา ซึ่งตัวนี้ก็จะทำให้คนเห็นว่าพยายามมีการแข่งขันในระดับที่เป็นสากลได้
ดร.เศรษฐพุฒิปิดท้ายว่า รูปแบบการเติบโตของเรา ก็คงต้องเปลี่ยนแปลงไปในเชิงที่ท้องถิ่นมากขึ้น แต่เป็นท้องถิ่นที่สากล ซึ่งจะให้อานิสงส์ในเรื่องของการเติบโตที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่ดีขึ้น จะเป็นรูปแบบที่กระจายประโยชน์ของการลงทุนที่กว้างขึ้น ถ้าเราเน้นเรื่องของท้องถิ่นมากขึ้น ทําให้ทั่วถึงมากขึ้น และที่สําคัญ ช่วยทําให้การเติบโตของเรา มีความยืดหยุ่นและ resilience มากขึ้น เพราะการเติบโตของเราจะอยู่บนฐานที่กว้างขึ้น ไม่ได้อยู่บนฐานที่แคบ แต่จะอยู่บนฐานที่มีความหลากหลายมากขึ้น
“globally competitive ที่ผมพูดนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกอันที่ผมหวังว่าถ้าทําแบบนี้ มันจะเกิดการแข่งขันระหว่างท้องถิ่น บางคนก็จะเริ่มเห็นแล้วท้องถิ่นนี้ทําได้แล้วออกมาดี ท้องถิ่นอื่นคนในท้องถิ่นอื่นก็บอกว่าทําไมไม่ทําอย่างนี้ ผมว่าก็จะช่วยทำให้ยกระดับเรื่องของนโยบายที่จะช่วยเรื่องไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแข่งขันและก็ชีวิตความเป็นอยู่ของคน แล้วทําให้แข่งขันได้ ก็จะทําให้ยั่งยืน” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้ ธปท. เองก็พร้อมที่จะช่วยทําในหน้าที่ของเราในฝั่งนี้ ธปท. มีสํานักงานภาคใน 3 ภาค ที่หาดใหญ่ ขอนแก่น และที่เชียงใหม่ เมื่อสักประมาณปีเศษที่แล้วได้ทํารายงานออกมา ตั้งหัวข้อไว้ว่า ประเทศไทยไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ ที่จะสะท้อนว่า ถ้าเราจะเดินต่อไปต้องใช้พลังที่อยู่ในพื้นที่ บทบาทของสํานักงานภาค แล้วก็ส่วนกลางในเรื่องที่ได้สนับสนุนพวกนี้ก็พร้อมที่จะทําหน้าที่ของเรา