ThaiPublica > คอลัมน์ > เมืองฉลาดรับมือน้ำ : บทเรียนจากเนเธอร์แลนด์สู่การแก้ปัญหาน้ำท่วมไทย

เมืองฉลาดรับมือน้ำ : บทเรียนจากเนเธอร์แลนด์สู่การแก้ปัญหาน้ำท่วมไทย

23 สิงหาคม 2024


ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ CEO บริษัท ListenField จำกัด

“น้ำท่วม น้องว่ายังดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า…” (ไพบูลย์ บุตรขัน, 2513) เพลงที่แต่งมาเพื่อใหกำลังใจคนไทยที่เจอปัญหาน้ำท่วม…50 ปีผ่านไป…เรายังต้องร้องเพลงปลอบใจเพลงเดิม!

น้ำท่วม – ทำให้คนไทยหลายล้านคนต้องเตรียมตัวรับมือทุกปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จะเป็นอย่างไรหากเราเปลี่ยนมุมมอง จากการการร้องเพลงปลอบใจ และ “ต่อสู้” กับน้ำ มาเป็นการ “อยู่ร่วม” กับน้ำ? บทเรียนจากเมืองทันสมัยในเนเธอร์แลนด์อาจเป็นคำตอบที่เรากำลังมองหา

สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทย : บทเรียนจากอดีตสู่ปัจจุบัน

ประเทศไทยมีพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากหลายแห่ง ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง[1] พื้นที่วิกฤติได้แก่:

    1. ภาคกลาง: ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและท่าจีน รวมถึงจังหวัดอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร
    2. ภาคเหนือ: พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ยม และน่าน ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน สุโขทัย และพิษณุโลก
    3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: ลุ่มน้ำมูลและชี ครอบคลุมจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด
    4. ภาคใต้: พื้นที่ชายฝั่งและลุ่มน้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา และปัตตานี
ที่มาภาพ : mitrearth.org

สาเหตุหลักของปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมีทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ [2] อาทิ สภาพภูมิประเทศที่เป็นที่ราบลุ่ม , การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ , การขยายตัวของเมืองที่รุกล้ำพื้นที่รับน้ำ , ระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ และการบริหารจัดการน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ

มูลค่าความเสียหายที่น่าตกใจ

ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ แต่ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล[3][4]:

  • ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2563 ประเทศไทยมีมูลค่าความเสียหายจากอุทกภัยเฉลี่ยปีละประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท
  • เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
  • พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายเฉลี่ยปีละประมาณ 10 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี[5]
  • นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่น้ำท่วมต้องสูญเสียรายได้และโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในจังหวัดอยุธยาและปทุมธานี
  • รัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยและโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายเฉลี่ยปีละกว่า 5,000 ล้านบาท

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน หากไม่ทำอะไรแล้วปัญหาจะมีความรุนแรงที่มากขึ้นจาก climate change ที่มี extreme events เกิดมากขึ้น

บทเรียนจากเนเธอร์แลนด์ : เมื่อประสบการณ์พบกับนวัตกรรม

ไทยมักมองน้ำท่วมเป็น “ปัญหา” ที่ต้องแก้ไข ในขณะที่เนเธอร์แลนด์กลับมองว่าน้ำเป็น “ส่วนหนึ่งของชีวิต” ที่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน

“ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน” – แนวคิดของชาวดัตช์

เนเธอร์แลนด์ ประเทศที่มีพื้นที่ราว 1 ใน 4 อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ได้พัฒนาโครงการที่เรียกว่า “Room for the River” หรือ “การให้พื้นที่แก่แม่น้ำ”[6] แทนที่จะสร้างเขื่อน หรือ กำแพงกั้นน้ำที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขากลับเลือกที่จะคืนพื้นที่ให้กับสายน้ำ

จากกำแพงสูงสู่ทุ่งกว้าง: เมื่อน้ำมีที่ไป

โครงการ Room for the River เป็นเสมือนการ “สร้างบ้านใหม่” ให้กับแม่น้ำ ด้วยวิธีการดังนี้[7]:

    1. ขยายพื้นที่รับน้ำ
    2. สร้างทางน้ำเลี่ยงเมือง: คล้ายกับการสร้างถนนวงแหวนให้รถไม่ต้องผ่านใจกลางเมือง
    3. ย้ายบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย
Eight different Room for the River measures (Silva et al., 2001)
ที่มาภาพ : https://www.stowa.nl/deltafacts/waterveiligheid/waterveiligheidsbeleid-en-regelgeving/room-river

แนวคิด “Room for the River” : จากปัญหาสู่โอกาสของประเทศไทย

แล้วประเทศไทยล่ะ? เราจะนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ได้อย่างไร? ลองนึกภาพประเทศไทยเป็นเสมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นประจำ แทนที่จะคอยวิดน้ำออกหรือสร้างกำแพงกั้น เราอาจต้องคิดใหม่ว่าจะ “จัดบ้าน” อย่างไรให้อยู่กับน้ำ

1. สร้าง “ห้องรับแขก” ให้น้ำ: พัฒนาพื้นที่รับน้ำนอกเมือง เช่น ฟื้นฟูพื้นที่เกษตร หนองน้ำ หรือสร้างสวนสาธารณะที่รับน้ำได้
2. ออกแบบ “เฟอร์นิเจอร์ทนน้ำ”: สร้างบ้านและถนนที่ไม่เสียหายเมื่อน้ำท่วม
3. วาง “แผนผังบ้าน” ใหม่: จัดผังเมืองให้สอดคล้องกับทางน้ำธรรมชาติ

การ “ให้พื้นที่แก่แม่น้ำ” ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังสร้างสิ่งดีๆ ให้กับเมือง[8]:

  • สวนสวยใจกลางเมือง: พื้นที่รับน้ำกลายเป็นสวนสาธารณะที่สวยงาม
  • แหล่งท่องเที่ยวใหม่: ทะเลสาบและคลองกลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
  • บ้านแห่งอนาคต: บ้านที่อยู่กับน้ำได้ เช่น บ้านลอยน้ำ หรือบ้านใต้ถุนสูง

การเปลี่ยนจากการ “สู้กับน้ำ” มาเป็นการ “อยู่กับน้ำ” อาจเป็นก้าวที่ยาก แต่อาจเป็นก้าวที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย เราอาจต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมอง จากการมองน้ำเป็น “ภัยพิบัติ” มาเป็น “ส่วนหนึ่งของชีวิต” ที่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน

ถึงเวลาแล้ว หรือ ยังที่เราจะ “ให้พื้นที่แก่แม่น้ำ” และในขณะเดียวกัน ก็เปิดใจของเราให้กับวิธีคิดใหม่ๆ ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ?

สรุปมูลค่าความเสียหาย-แนวทางการลงทุนเพื่อแก้ปัญหา

เมื่อรวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2553-2563) โดยไม่นับรวมเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เราจะพบว่ามีมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 350,000-450,000 ล้านบาท[9] หากรวมความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 มูลค่าความเสียหายจะสูงถึงประมาณ 1.75-1.85 ล้านล้านบาท

การนำมูลค่าความเสียหายมหาศาลนี้มาเป็นแนวทางในการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่เพียงแต่จะช่วยบรรเทาปัญหาโดยตรง แต่ยังสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง:

1. การสร้างการลงทุนและการจ้างงาน :

  • โครงการขนาดใหญ่ เช่น “Room for the River” จะดึงดูดการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน
  • สร้างงานในหลากหลายสาขา ทั้งวิศวกรรม ก่อสร้าง การจัดการสิ่งแวดล้อม และการวางผังเมือง
  • กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการจ้างแรงงานและการใช้วัสดุในพื้นที่[11]

2. การสร้างความยั่งยืน :

  • พัฒนาระบบนิเวศที่สมดุล โดยการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าต้นน้ำ
  • ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในระบบบริหารจัดการน้ำ เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในระบบสูบน้ำ
  • สร้างแหล่งน้ำสำรองเพื่อรับมือกับภัยแล้งในอนาคต[12]

3. การลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่น :

  • ลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วมในระยะยาว
  • เพิ่มความมั่นคงทางอาหารโดยการปกป้องพื้นที่เกษตรกรรมจากน้ำท่วม
  • พัฒนาเมืองให้เป็น “Sponge City” ที่สามารถดูดซับและใช้ประโยชน์จากน้ำฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ[10]
  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการลงทุนในประเทศไทย[13]

4. การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม :

  • สร้างพื้นที่สีเขียว และแหล่งนันทนาการใหม่ๆ จากพื้นที่รับน้ำ
  • พัฒนาระบบขนส่งทางน้ำที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการจัดการน้ำ
  • เสริมสร้างความรู้และความตระหนักด้านการจัดการน้ำในชุมชน[14]

5. วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการน้ำที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

  • สร้างฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการวิจัยพัฒนา
  • เรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับประเทศไทย

การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมในระยะยาว แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน…

อ้างอิง:

[1] กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2564). รายงานสถานการณ์สาธารณภัยประจำปี พ.ศ. 2564.

[2] สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2565). แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ฉบับปรับปรุง.

[3] สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2563). รายงานสถานการณ์น้ำประจำปี 2563.

[4] ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2564). รายงานนโยบายการเงิน ฉบับเดือนธันวาคม 2564.

[5] กรมชลประทาน. (2565). แผนการบริหารจัดการน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง.

[6] Rijkswaterstaat. (2022). Room for the River Programme.

[7] Van Alphen, J. (2020). Flood risk management in the Netherlands: A success story. Journal of Flood Risk Management, 13(S1), e12599.

[8] Zevenbergen, C., Veerbeek, W., Gersonius, B., & Van Herk, S. (2018). Challenges in urban flood management: travelling across spatial and temporal scales. Journal of Flood Risk Management, 11(S1), S205-S213.

[9] สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2565). รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2564.

[10] Li, X., Li, J., Fang, X., Gong, Y., & Wang, W. (2016). Case Studies of the Sponge City Program in China. World Environmental and Water Resources Congress 2016.

[11] World Bank. (2022). Job Creation through Infrastructure Investment.

[12] United Nations Environment Programme. (2021). Nature-based Solutions for Disaster and Climate Resilience.

[13] OECD. (2023). Building Resilience to Natural Hazards in Cities.

[14] Global Center on Adaptation. (2022). The State and Trends in Adaptation Report 2022: Adaptation and the Private Sector.