กรมควบคุมมลพิษเผยสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2555 ในอากาศพบฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM10) ยังเป็นปัญหา ด้านคุณภาพน้ำผิวดินยังดี แต่น้ำทะเลคุณภาพแย่ลงกว่าปีที่แล้ว ส่วนปริมาณขยะลดลงจากปี 2554 ที่มีอุทกภัย อยู่ที่ 43,000 ตันต่อวัน
วันที่ 11 มกราคม 2556 นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ แถลงสรุปสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ประจำปี 2555 โดยแบ่งเป็นสถานการณ์ที่สำคัญ 3 ด้านคือ ด้านอากาศ ด้านน้ำ และขยะ
อากาศภาพรวมยังปกติ ยกเว้นฝุ่นละอองขนาดเล็ก สระบุรีครองแชมป์อากาศแย่
สถานการณ์มลพิษด้านอากาศ จากการตรวจวัดสารมลพิษทางอากาศ 5 ชนิด ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ โอโซน และฝุ่น สรุปว่า คุณภาพอากาศในภาพรวมของประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) โดยมีค่าเฉลี่ยรายปีและค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงสูงสุด เท่ากับ 42 และ 142 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ตามลำดับ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554 (39 และ 113 มคก./ลบ.ม.) แต่ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฝุ่น PM10 และพื้นที่ที่เกินเกณฑ์มาตรฐานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมฝุ่นจากการก่อสร้าง การปรับเปลี่ยนมาตรฐานยานพาหนะใหม่ และการควบคุมการเผาในที่โล่ง ยกเว้นปี 2555 ที่กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
โดยพื้นที่ที่มีปัญหาคุณภาพอากาศมาก ได้แก่ สระบุรี เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงโม่ บดหิน รองลงมา คือ จังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนบนในช่วงสถานการณ์หมอกควัน กรุงเทพมหานครและจังหวัดในปริมณฑล ได้แก่ สมุทรปราการ นนทบุรี สมุทรสาคร เนื่องจากการจราจร โรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง
สถานการณ์หมอกควันพื้นที่ภาคเหนือปี 2555 ถือว่าระดับปัญหาเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากพบฝุ่น PM10 ที่เพิ่มขึ้นทุกจังหวัด โดยเฉพาะที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย สูงสุดอยู่ที่ 470 มคก./ลบ.ม. (มาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ต้องไม่เกิน 120 มคก./ลบ.ม.) สูงมากกว่ามาตรฐาน 3 เท่า และอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สอดคล้องกับปริมาณจุดความร้อนซึ่งแสดงถึงการเผาไหม้หรือไฟป่า ที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมและสูงขึ้นต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายน และรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน คือ เมียนมาร์และลาวด้วย
ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีปัญหาคุณภาพอากาศเรื่องฝุ่น PM10 มากที่สุดในเขตพญาไท ราษฎร์บูรณะ ธนบุรี ดินแดง บางนา ราชเทวี จตุจักร ยานนาวา บางขุนเทียน บางกะปิ ห้วยขวาง วังทองหลาง ป้อมปราบศัตรูพ่าย และปทุมวัน
สำหรับสถานการณ์ของสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในบรรยากาศ ที่กรุงเทพมหานคร มีการตรวจพบสารเบนซีน เกินมาตรฐานบริเวณจุดเก็บตัวอย่างริมถนน โดยตั้งแต่ปี 2553–2555 ค่าความเข้มข้นดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงทุกจุดเก็บตัวอย่าง
ส่วนในจังหวัดระยองพบ สารเบนซีน สาร 1,3-Butadiene และสาร 1,2-Dichloroethane มีค่าสูงเกินมาตรฐาน แต่สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น โดยความเข้มข้นสารเบนซีน และ 1,2-Dichloroethane มีค่าลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจำหน่ายและใช้น้ำมันมาตรฐาน EURO 4 และการควบคุมการระบายสาร VOCs จากกิจกรรมต่างๆ ยกเว้นสาร 1,3-Butadiene มีค่าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่กรมควบคุมมลพิษระบุว่าต้องจับตามองและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คือ ก๊าซโอโซนระดับผิวพื้น เพราะปริมาณยังคงค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2546 และ ในปี 2555 พบเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ส่วนสารมลพิษอื่น ไม่ว่าจะเป็นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และสารตะกั่ว ยังไม่มีพื้นที่และช่วงเวลาใดที่เกินมาตรฐาน
น้ำทะเล น้ำจืด เสื่อมโทรมมากขึ้น
สถานการณ์มลพิษในน้ำ พบว่า คุณภาพน้ำแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศ จำนวน 48 สาย และแหล่งน้ำนิ่ง 4 แห่ง ในปี 2555 มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 จากเดิมในปีที่แล้วที่มีอยู่ร้อยละ 15 แต่ถ้าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้น
พื้นที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำโดยเร่งด่วน ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณ จ.สมุทรปราการ จ.นนทบุรี แม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร จ.นครปฐม แม่น้ำป่าสัก จ.สระบุรี เป็นต้น
ส่วนคุณภาพน้ำทะเลมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง เนื่องจากมีบริเวณที่คุณภาพน้ำที่เคยอยู่ในเกณฑ์ดีและดีมากมีคุณภาพลดลง ได้แก่
– อ่าวไทยฝั่งตะวันออก บริเวณเกาะเสม็ด (อ่าวทับทิม) ระยอง
– อ่าวไทยฝั่งตะวันตก หาดเจ้าสำราญ หาดปึกเตียน เพชรบุรี, อ่าวมะนาว กองบิน 53 หัวหิน เขาตะเกียบ ประจวบคีรีขันธ์, ปากแม่น้ำชุมพร อ่าวปากหาด หาดภารดรภาพ ชุมพร, เกาะสมุย เกาะพงัน สุราษฎร์ธานี
– ชายฝั่งอันดามัน บริเวณหาดกะรน ภูเก็ต, เกาะพีพี กระบี่
ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บริเวณที่คุณภาพน้ำทะเลมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงจะเป็นชายหาดท่องเที่ยวและชุมชน และบริเวณที่คุณภาพน้ำเสื่อมโทรมมากมาโดยตลอดคือ อ่าวไทยตอนใน (อ่าวไทยรูปตัว ก)
ขยะยังน่าห่วง พบปัญหาตกค้างในประเทศมากขึ้น
ด้านสถานการณ์ขยะมูลฝอยในชุมชน ของปี 2555 เกิดขึ้นประมาณ 16 ล้านตัน หรือ 43,000 ตันต่อวัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 8 หมื่นตัน (ปี 2554 มีขยะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติจากกรณีอุทกภัย) โดยร้อยละ 22 เป็นขยะที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร (9,800 ตันต่อวัน)
ทั้งนี้ ขยะทั้งหมดถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการเพียง 5.8 ล้านตัน หรือร้อยละ 36 ขยะส่วนที่เหลือกว่า 10 ล้านตัน ถูกกำจัดทิ้งโดยการเผา กองทิ้งในบ่อดินเก่าหรือพื้นที่รกร้าง ซึ่งส่วนที่จัดการไม่ถูกต้องจะเพิ่มขึ้นทุกปีจากขยะคงค้างและปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น
โดยจังหวัดที่น่าห่วงใยในเรื่องการจัดการขยะมูลฝอย เมื่อพิจารณาจากปริมาณมูลฝอยตกค้างและปริมาณสะสมในสถานที่กำจัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครศรีธรรมราช ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สุรินทร์
ด้านของเสียอันตราย ผลการศึกษาของกรมโรงงานอุตสาหกรรมจากการสำรวจปริมาณกากของเสียอุตสาหกรรม ในปี 2555 มีปริมาณที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ จำนวน 3.95 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 84 ของปริมาณของเสียอันตรายทั้งหมด ซึ่งแม้ว่าจะมีการกำกับดูแลการจัดการของเสียที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมโดยโรงงานรับจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุไม่ใช้แล้วที่เป็นของเสียอันตรายทั้งประเทศกว่า 300 แห่ง ซึ่งรองรับของเสียอันตรายได้กว่า 10 ล้านตัน แต่ก็ยังพบปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสีย ซึ่งในปี 2555 เกิดขึ้นหลายครั้งในหลายพื้นที่ เช่น นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ, ต.หนองแหน ฉะเชิงเทรา และบางพื้นที่ในจังหวัดมหาสารคาม เป็นต้น
จากปัญหาดังกล่าว จึงนำไปสู่การเร่งรัด ทบทวน และเพิ่มเติมมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งและบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นอันตราย โดยกรมควบคุมมลพิษจะนำเสนอมาตรการดังกล่าวต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี เพื่อการพิจารณาสั่งการต่อไป
ส่วนของเสียอันตรายจากชุมชน ประมาณ 7 แสนตัน (ร้อยละ 15) ของปริมาณของเสียอันตรายทั้งหมด ซึ่งเป็นซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 360,000 ตัน และของเสียอันตรายอื่นกลุ่มแบตเตอรี่ หลอดไฟ ภาชนะบรรจุสารเคมี 354,000 ตัน จะต้องสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีสถานที่กำจัดหรือจัดการส่งไปกำจัดยัง อปท. ที่มีสถานที่กำจัดหรือผู้ให้บริการรีไซเคิลหรือกำจัดของเสียอันตราย
ในส่วนของมูลฝอยติดเชื้อ ซึ่งขณะนี้ข้อมูลระบุว่ามีอยู่ประมาณ 43,000 ตัน (ร้อยละ 1 ของปริมาณของเสียอันตรายทั้งหมด) ซึ่งตัวเลขนี้ก็ยังไม่สะท้อนปริมาณที่เกิดขึ้นทั้งหมด เนื่องจากยังขาดการรวบรวมข้อมูลการเกิดมูลฝอยติดเชื้อจากสถานพยาบาล คลินิก หรือโรงพยาบาลเอกชนในทุกประเภทและทุกขนาด
ขณะนี้ กรมควบคุมมลพิษได้มีข้อตกลงความร่วมมือกับกรมอนามัยที่จะวางระบบการบริหารจัดการขยะติดเชื้อของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล การกำกับการขนส่ง (manifest) วิธีกำจัด และการควบคุมบริษัทที่รับขยะเหล่านี้ไปกำจัด เนื่องจากปัจจุบันเตาเผาของโรงพยาบาลส่วนใหญ่ชำรุดเสียหาย ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งส่งขยะติดเชื้อไปกำจัดยังเตาเผามูลฝอยติดเชื้อของ อปท. ที่มีอยู่เพียง 14 แห่งทั่วประเทศ และเตาเผาของเอกชนซึ่งก็มีอยู่เพียง 3 แห่ง
ปีที่ผ่านมา มีการตรวจสอบเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับแหล่งกำเนิดมลพิษ, อาคารประเภท ก, การเลี้ยงสุกร, ที่ดินจัดสรร ระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชน, นิคมอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ซึ่งโดยภาพรวมมีการปฏิบัติตามกฎหมายเพียง ร้อยละ 43 และเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษได้มีการออกคำสั่งให้แหล่งกำเนิดเหล่านี้จัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสีย เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อให้บำบัดน้ำทิ้งให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนการตรวจสอบยานพาหนะ พบรถยนต์ควันดำเกินมาตรฐาน ประมาณไม่เกินร้อยละ 20
10 ข่าวเด่นด้านสิ่งแวดล้อมในรอบปีจากมุมมองของ กรมควบคุมมลพิษ
ในช่วงท้ายของการแถลงสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี 2555 กรมควบคุมมลพิษได้จัดอันดับ 10 ข่าวเด่นด้านสิ่งแวดล้อมในรอบปีจากมุมมองของกรมควบคุมมลพิษ ดังนี้
1. เร่งดำเนินมาตรการแก้ไขวิกฤติหมอกควันฯ หมอกควันภาคเหนือ
2. กรณีการลับลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ต.หนองแหน จ.ฉะเชิงเทรา และการปล่อยน้ำเสียนิคมบางปู จ.สมุทรปราการ และเขตลาดกระบัง
3. เพลิงไหม้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
4. สารตะกั่วปนเปื้อนในเลือดเด็กนักเรียน จ.ระยอง
5. การใช้ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ม.80 ผู้ประกอบการ 10 แหล่งกำเนิดมลพิษ ปฏิบัติตามกฎหมาย
6. คดีคลิตี้
7. โรงกลั่นน้ำมันบางจากระเบิด
8. มลพิษทางอากาศในเมืองจากรถยนต์คันแรก
9. คดีเรือน้ำตาลล่ม จ.อยุธยา
10. แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2555-2559