รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2021/01/pro-trump-620x413.jpg)
การเลือกตั้งถือเป็นหัวใจของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเสรี เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาแล้ว คนที่แพ้การเลือกตั้งก็เต็มใจที่จะพ้นจากตำแหน่ง ส่วนคนที่ได้รับชัยชนะ ก็มีความชอบธรรมที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งทางการเมืองแทน การเปลี่ยนโอนอำนาจจึงเป็นไปอย่างสันติ ในสังคมที่มีความขัดแย้งแบ่งขั้วระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ประชาธิปไตยจึงเป็นวิธีการแบบสันติในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยทำหน้าที่แทนวิธีการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง
แต่ในวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา คนทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรง เมื่อฝูงชนที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกเข้าไปโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อประท้วงและปฏิเสธความชอบธรรมของนายโจ ไบเดน ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020 กลุ่มผู้ประท้วงเชื่ออย่างที่ทรัมป์บอกพวกเขาว่า มีการโกงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมา
ข้อพิพาทเรื่องการเลือกตั้ง
บทความชื่อ It Happened in America ใน foreignaffairs.com กล่าวว่า การประท้วงการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในโลก ข้อพิพาทเรื่องการเลือกตั้งจะเป็นเรื่องความไม่ชอบธรรมของคนที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งต่อกระบวนการเลือกตั้ง หรือต่อผลของการเลือกตั้ง แต่นักรัฐศาสตร์เห็นว่า ความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งมักจะเกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย ในประเทศที่มีระบอบการเมืองแบบ “อำนาจนิยมที่มีการเลือกตั้ง” (electoral autocracy)
ประเทศที่มีระบอบการเมืองแบบนี้ รัฐบาลที่ครองอำนาจ จะออกแบบระบบการเมืองที่เลือกเอาบางสิ่งบางอย่างที่มาจากระบอบประชาธิปไตยมาใช้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณ หรือที่เป็นกระบวนการประชาธิปไตย การประท้วงการเลือกตั้งก็จะมักเกิดขึ้นในประเทศที่ไม่เสถียรภาพทางการเมือง มีสงครามการเมือง หรือเป็นรัฐล้มเหลว เช่น อัฟกานิสถาน เคนยา หรือไนจีเรีย
แต่เหตุการณ์ประท้วงผลการเลือกตั้ง ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศตะวันตก เพราะประเทศเหล่านี้ล้วนมีธรรมเนียมการปกครองด้านประชาธิปไตยมายาวนานหลายศตวรรษ
ในประเทศตะวันตกนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งจะมีการดำเนินการผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เช่น ผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลยุติธรรม ข้อพิพาทในการเลือกตั้งระหว่างจอร์จ บุช กับอัล กอร์ ในปี 2000 ก็ไม่ได้จบลงที่การก่อการจลาจล
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2021/01/ภาพจาd-texastribune.org_-620x416.jpg)
การพังทลายของประชาธิปไตย
หลายปีที่ผ่านมา ในแวดวงรัฐศาสตร์ได้ผลิตหนังสือออกมาหลายเล่ม เพื่อเตือนถึงการพังทะลายของระบอบเสรีประชาธิปไตย ที่จะเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ อย่างเช่นหนังสือ How Democracies Die (2018) ที่ตั้งคำถามว่า…
ประชาธิปไตยในสหรัฐฯ อยู่ในภาวะอันตรายหรือไม่ ในเมื่อที่ผ่านมามีนักการเมืองสหรัฐฯ พูดในสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่เรารู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่นว่า สิ่งนี้คือสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า
How Democracies Die กล่าวว่า ความกังวลต่อชะตากรรมของประชาธิปไตยในสหรัฐฯ เกิดขึ้นจากหลายกรณี เช่น นักการเมืองอเมริกันปฏิบัติต่อนักการเมืองคู่แข่งว่าเป็นศัตรู ข่มขู่สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่อย่างอิสระ และพูดขู่ที่จะไม่ยอมรับผลของการเลือกตั้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ นับครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่ในปี 2016 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งหน้าที่ของรัฐมาก่อน ทรัมป์ไม่เคยแสดงออกถึงความเชื่อที่จะเคารพต่อสิทธิทางรัฐธรรมนูญ และมีแนวโน้มชัดเจนว่าเป็นนักการเมืองแบบอำนาจนิยม
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2021/01/HowDemocraciesDie-620x258.png)
ที่ผ่านมาคนทั่วไปมักจะคิดว่า ประชาธิปไตยล้มตายไป หรือพังทลายลง เพราะเกิดจากเหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น รัฐประหาร หรือการระงับใช้รัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังมีอีกหนทางหนึ่ง ที่ประชาธิปไตยจะพังทลายลงได้เช่นเดียวกัน คือจากนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำการเมือง แล้วก็หาทางบ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตย อย่างเช่นวิธีการของฮิตเลอร์ หลังจากเกิดไฟไหม้ตึกรัฐสภา (Reichstag) ของเยอรมันในปี 1933
จุดทดสอบต่อประชาธิปไตย
ในโลกยุคปัจจุบัน ที่ระบบเผด็จการแบบฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ และการปกครองโดยทหาร แทบจะหายสาญสูญไปแล้ว ประชาธิปไตยก็ยังอาจจะล้มตายไปด้วยวิธีการอื่น ทุกวันนี้ แทบทุกประเทศในโลกต่างก็จัดให้มีการเลือกตั้งเป็นระยะๆ การผุกร่อนของประชาธิปไตย ที่เกิดจากนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา จึงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย มักจะไม่แสดงออกให้เห็นถึงการเป็นพวกอำนาจนิยม จนกว่าจะมีอำนาจขึ้นมา แต่ก็มีนักการเมืองบางคน ที่แสดงลักษณะนี้ออกมาก่อนที่จะมีอำนาจ หนังสือ How Democracies Die กล่าวถึงพฤติกรรมชี้วัด 4 อย่าง ที่เป็นสัญญาณเตือนบ่งบอกเรื่องนักการเมืองประเภทอำนาจนิยม ซึ่งได้แก่
-
(1) ปฏิเสธกฎกติกาทางประชาธิปไตย หรือทำให้กติกาอ่อนแอลง
(2) ปฏิเสธความชอบธรรมของนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม เช่น กล่าวหาเป็นว่าเป็นสายลับต่างชาติ
(3) ส่งเสริมความรุนแรง
(4) พร้อมที่จะจำกัดสิทธิเสรีภาพของฝ่ายตรงกันข้าม และสื่อมวลชน
แม้จะมีรากฐานทางประชาธิปไตย ที่เข้มแข็งกว่าประเทศที่มีผู้นำแบบเผด็จการ อย่างเช่น เวเนซุเอลาหรือตุรกี แต่คำถามมีอยู่ว่า สหรัฐฯ มีความเสี่ยงและจุดอ่อนหรือไม่ ที่จะเกิดการถดถอยทางประชาธิปไตย การหาคำตอบกับคำถามดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความคิดที่กว้างขวางออกไป โดยได้มาจากบทเรียนของประเทศอื่นๆ
How Democracies Die กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งที่เป็นและไม่เป็นประชาธิปไตย มักจะมีนักการเมืองที่อาศัยวิธีการปลุกระดมความรู้สึกของประชาชนแทนการใช้เหตุผล (demagogue) ดังนั้น จุดทดสอบที่เป็นด่านแรกของระบอบประชาธิปไตยอยู่ที่ว่า ผู้นำการเมืองและพรรคการเมือง ได้ดำเนินการป้องกันไม่ให้นักการเมืองดังกล่าวมีอำนาจขึ้นมาหรือไม่ หากว่านักการเมืองดังกล่าวสามารถเข้าสู่กระแสหลักของระบอบการเมืองได้แล้ว ประชาธิปไตยก็เริ่มที่จะมีความเสี่ยงเกิดขึ้น
หากนักการเมืองแบบอำนาจนิยมเกิดมีอำนาจขึ้นมา ประชาธิปไตยจะเผชิญกับด่านทดสอบที่สำคัญครั้งที่สอง คือ ผู้นำการเมืองแบบอำนาจนิยมจะหาทางทำลายสถาบันประชาธิปไตย หรือว่าจะยอมรับการถูกจำกัดอำนาจจากสถาบันเหล่านี้ ลำพังสถาบันประชาธิปไตยอย่างเดียว ยังไม่พอที่จะยับยั้งนักการเมืองแบบอำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญต้องได้รับการสนับสนุนและปกป้องจากพรรคการเมือง กลุ่มประชาสังคม และธรรมเนียมปฏิบัติทางประชาธิปไตย
How Democracies Die กล่าวว่า เดือนพฤศจิกายน 2016 อเมริกาล้มเหลวในการทดสอบครั้งแรก เมื่อคนอเมริกันเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ไม่ได้ศรัทธาในธรรมเนียมปฏิบัติทางประชาธิปไตย ชัยชนะของทรัมป์ไม่ได้มาจากความไม่พอใจของคนอเมริกันที่มีต่อสภาพการเมืองที่เป็นอยู่เท่านั้น แต่ยังมาจากความล้มเหลวของพรรครีพับลิกัน ที่จะป้องกันไม่ให้นักการเมืองแบบอำนาจนิยม และนิยมปลุกกระแสความรู้สึกของประชาชนแบบสุดขั้ว ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนพรรค
ที่ผ่านมา ประชาธิปไตยของอเมริกา ที่มีลักษณะการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ (check and balance) สามารถผ่านวิกฤติมาได้หลายครั้ง เช่น สงครามกลางเมือง ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามเย็น แต่ประชาธิปไตยจะสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น และอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น ก็เมื่อรัฐธรรมนูญได้แรงเกื้อหนุนจากธรรมเนียมปฏิบัติทางประชาธิปไตย ที่ไม่มีการเขียนเป็นรายลักษณ์อักษร
How Democracies Dies กล่าวว่า ธรรมเนียมปฏิบัติทางประชาธิปไตยดังกล่าวมีอยู่ 2 อย่าง คือ (1) นักการเมืองให้การยอมรับซึ่งกันและกัน (mutual toleration) ซึ่งมีความหมายความว่า พรรคการเมืองที่แข่งขันทางการเมือง ต่างยอมรับว่า อีกฝ่ายหนึ่งคือคู่แข่งขันที่ชอบธรรม สิ่งนี้ทำให้การถ่ายโอนอำนาจเกิดขึ้นอย่างสันติ และ (2) นักการเมืองใช้เอกสิทธิ์อย่างมีการยับยั้งชั่งใจ หมายความว่า เมื่อมีอำนาจทางการเมือง ก็ไม่ใช้เอกสิทธิ์ดังกล่าวเพื่อประโยชน์มากที่สุดให้กับพรรคตัวเอง หรือกลุ่มผลประโยชน์ของตัวเอง
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2021/01/ภาพจาก-dw.com2_-620x349.jpg)
How Democracies Die ยังบอกว่า ธรรมเนียมปฏิบัติทางประชาธิปไตย 2 อย่าง คือ การยอมรับกันและกัน กับการยับยั้งชั่งใจในการใช้อำนาจ ช่วยทำให้ประชาธิปไตยในอเมริกา สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ทางการเมืองแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อพรรคการเมืองหรือเพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับการเมืองของยุโรปในช่วงทศวรรษ 1930 หรือในแถบอเมริกาใต้ ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970
แต่หลายปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมประชาธิปไตย 2 อย่างดังกล่าวของอเมริกาอ่อนแอลง เมื่อบารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักการเมืองของพรรครีพับลิกันหลายคนสงสัยต่อความชอบธรรมในชัยชนะของคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต และหันไปใช้ยุทธวิธีทุกอย่างที่จะเอาชนะฝ่ายตรงกันข้าม
ความอ่อนแอของวัฒนธรรมประชาธิปไตยในสหรัฐฯ มีรากลึกที่มาจากการแบ่งขั้วทางการเมือง ความขัดแย้งเดิมของกลุ่มการเมือง ที่เป็นเรื่องทางด้านนโยบาย ได้ขยายตัวไปสู่ความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์ สีผิวและวัฒนธรรม โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่ต้นเหตุของความขัดแย้งแบ่งขั้ว ที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น แต่ทรัมป์เป็นเพียงตัวเร่งของกระบวนการแบ่งขั้วนี้
เอกสารประกอบ
How Democracies Die, Steven Levitsky & Daniel Ziblatt, Crown Publishing Group, 2018.
It Happened in America, Pippa Norris, January 7, 2021, foreignaffairs.com