ThaiPublica > คอลัมน์ > บทเรียน…จากไร่ส้ม

บทเรียน…จากไร่ส้ม

26 มกราคม 2020


บรรยง พงษ์พานิช

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดาที่มาภาพ : https://www.naewna.com/politic/467608

กรณีที่คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดาต้องรับโทษจากคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ถูกจำคุกนานถึงแปดปี สร้างความสะทกสะท้อนให้กับคนจำนวนมาก

คุณสรยุทธนั้นเป็นคนเก่งมากๆในระดับอัจฉริยะที่สร้างปรากฎการณ์ สามารถปฏิวัติพลิกรูปโฉมของวงการข่าวโทรทัศน์ของประเทศไทย และด้วยความเก่งของเขาก็ทำให้คุณสรยุทธมีความมั่งคั่งจากอาชีพสุจริต มีทรัพย์สินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาทได้ โดยที่ใครๆก็รู้ สามารถร่ำรวยอย่างเปิดเผยชนิดที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างยืดอกได้สบายๆ ไม่ต้องมิดเม้นเหมือนบางคนที่ร่ำรวยมาจากการฉ้อฉลโดยมิชอบ ไม่ต้องเสียเวลาไปฟอกเงินแต่อย่างใด

ยิ่งกว่านั้น คุณสรยุทธยังได้ชื่อว่าเป็นคนดี มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมชาติอย่างสูงยิ่ง เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นคราวใด ก็ทุ่มเทเป็นตัวกลางระดมทุนแถมดำเนินการลงไปช่วยเหลือด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตัวอย่างเช่น คราวภัยพิบัติสึนามิ2547 คุณสรยุทธก็ระดมทุนได้หลายร้อยล้านบาทนำลงไปช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง ผิดกับรัฐบาลทักษิณที่เรี่ยไรได้มากมายกว่าพันล้าน แต่กลับเอาไปกองไว้ในบัญชีเหลือเบะจนเดือดร้อนท่านสู่วัดต้องคิดโครงการอนุสรณ์สถาน 640 ล้านมาถลุงเงินบริจาค(โชคดีที่ถูกรุมด่าจนต้องระงับ…แต่คนคิดก็ยังได้สายสะพายปฐมดิเรกคุณาภรณ์ในฐานะช่วยสึนามิ …ซึ่งผมคิดว่าคุณสรยุทธน่าจะได้รับมากกว่าเป็นอย่างยิ่ง)

…ซึ่งผมเชื่อว่า หากไม่ต้องคดี ในคราวที่ชาวอุบลประสบภัยน้ำท่วม คุณสรยุทธก็คงจะเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยเหลือชาวบ้านได้มากมายไม่น้อยไปกว่าที่คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ทำไป ซึ่งทำได้มากกว่า ตบหน้าฝ่ายรัฐบาลที่เกณฑ์ครม.ทั้งคณะมารับโทรศัพท์เรี่ยไร แถมเกณฑ์หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และเจ้าสัวในเครือข่ายมาเข้าแถวบริจาคอีกด้วยซ้ำ (นี่ผมก็กำลังรอดูอยู่ว่า ระหว่างคุณบิณฑ์หรือน้องชายท่านสู่วัด ผู้จัดรายการที่ทำเนียบใครจะได้สายสะพาย)

มันจึงเกิดคำถามขึ้นว่า …ทำไมคุณสรยุทธ ซึ่งเป็นคน ทั้งเก่ง ทั้งรวย ทั้งดี จึงยังทำการทุจริตเบียดบังทรัพย์สินของแผ่นดิน ทั้งๆที่เงิน 138 ล้านบาท ที่เบียดบังไปนั้น ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากมายอะไรสำหรับคุณสรยุทธ ไม่ได้เป็นจำนวนที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต และไม่ได้ทำให้รำ่รวยเพิ่มขึ้นสักเท่าใด ไม่น่าจะคุ้มกับความเสี่ยงที่อาจจะต้องได้รับโทษหนักหนาอย่างที่เป็น

ผมคิดว่า แรงจูงใจที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมีอยู่สองประการ คือ ประการแรก เรื่องอย่างนี้ “ใครๆเขาก็ทำกัน”และประการที่สอง โอกาสที่จะถูกจับได้ ถูกลงโทษนั้นคงน้อยมาก เพราะความที่เป็นนักข่าวที่กว้างขวาง ก็คงจะเห็นเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้นดาดดื่นทั่วไปในประเทศนี้ซึ่งแทบไม่มีใครเลยที่ถูกจับได้ ถูกลงโทษ แถมก็ยังได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องอยู่ในสังคมเป็นอันดีด้วย ขอเพียงแต่ให้เป็นคนร่ำรวยก็พอ

ผมเชื่อว่า ทุกๆคนคงเชื่อเหมือนผม ว่าไม่ใช่มีแต่คุณสรยุทธเท่านั้นที่ทุจริตเมื่อมีโอกาส ไม่ใช่มีคุณสรยุทธเท่านั้นที่เอาเปรียบ อสมท.เอาเปรียบรัฐและรัฐวิสาหกิจ ที่ว่า “ใครๆเขาก็ทำกัน” นั้นเป็นความจริง เป็นทัศนคติของผู้มีอำนาจรัฐและผู้ค้าขายกับรัฐมาอย่างกว้างขวางช้านาน และพอ “ทำแล้วมีโอกาสที่จะถูกจับได้ต่ำ” แถมถ้าบังเอิญถูกจับได้ก็ยังมีโอกาสใช้อำนาจใช้เงินวิ่งเต้นกลบเกลื่อนได้ คนก็เลยทุจริตกันอย่างกว้างขวาง …ใครมีโอกาสแล้วไม่โกงกลายเป็นพวกคนโง่ขวางโลก ยิ่งใครลุกไปขวางการโกงยิ่งเป็นตัวประหลาดอยากดัง

ทั้งสองเหตุผลนั้น มันพ้องตรงกับที่ Magarette Thatcher เคยพูดไว้ว่า…

“When state owns, nobody own. When nobody owns, nobody cares.”

และก็ไปพ้องตรงกับทฤษฎีคอร์รัปชันที่ว่า… ตราบใดที่คนเห็นว่า ประโยชน์ที่จะได้จากการโกงนั้นมันสูงกว่าโทษที่จะได้รับคูณกับโอกาสที่จะถูกจับได้ คนก็ย่อมจะโกงต่อไปเมื่อมีโอกาส

อย่างไรก็ดี คุณสรยุทธก็ยังเป็นผู้กล้าหาญ ที่เมื่อถูกจับได้ จำนนด้วยหลักฐาน ก็ยอมที่จะคืนเงินที่ทุจริตไปและอยู่สู้คดีจนถึงที่สุดและยอมก้มหน้ารับโทษ จนกระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเห็นอกเห็นใจ มีกระทั่งคนที่สดุดีเสียด้วยซ้ำ(เพื่อจะได้เอาไปด่าคนบางคนที่หนีไม่ยอมรับโทษเพราะคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการ)

…หลายคนถึงกับคิดว่าไม่เป็นธรรมกับคุณสรยุทธด้วยซ้ำ เพราะเงินที่โกงไปก็เอามาคืนแล้ว คดีก็ไม่หนี ทีอดีตปลัดที่ตู้เสื้อผ้าแตก กับอดีตอธิบดีที่ยักยอกภาษีจนร่ำรวยผิดปกติยังโดนโทษแค่ยึดทรัพย์เท่านั้น ไม่เห็นต้องนอนคุกเลย แถมบางคนยังบ่นว่า โกงนิดเดียวเอง ซื้อนาฬิกาได้ไม่กี่เรือน ทีนักการเมือง ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่โกงทีมากมายกว่านี้หลายเท่า รู้ๆกันอยู่ ทำไมไม่โดนโทษ

…ซึ่งเรื่องนี้ก็ไปพ้องกับกลยุทธของนักโกงในข้อที่ว่าโกงทั้งทีต้อง “โกงกระจุก แต่ให้เสียหายกระจาย” เพราะจะว่าไปเงิน 138 ล้านบาทที่โกงไป พวกเราคนไทยเสียคนละแค่ 2.12บาทเอง(138ล้านบาทหารด้วย65ล้านคน) ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลย ไม่น่าจะไปลงโทษแกหนักขนาดนั้น

เรื่องราวทั้งหมดนี้ …นอกจากเป็นบทเรียนแก่คุณสรยุทธ และนักโกงนักยัดเงินทั้งหลาย(ที่ทำให้ต้องระมัดระวังมากขึ้น)แล้ว ผมยังหวังว่า ยังจะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับสังคม โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันในการออกแบบกระบวนการที่ได้ผล

ความจริง กระบวนการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันที่ comprehensive ที่ผมคิดว่าได้ผลนั้น ผมเคยได้มีโอกาสนำเสนอจนมีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติเมื่อปี 2558(มีผมร่วมอยู่ด้วย) วันหลังจะนำมาเปิดเผยเล่าให้ฟังอย่างละเอียด รวมทั้งจะเล่าให้ฟังด้วยว่าทำไมมันถึงไม่ได้มีการนำไปปฏิบัติ(มีแค่บางมาตรการจิ๊บจ้อยกระเส็นกระสายเท่านั้นที่ถูกนำไปใช้) ซึ่งผมมั่นใจว่า ถ้าดำเนินการครบถ้วนตามที่เสนอ คอร์รัปชันจะลดลงมากมาย และภายในห้าปี ประเทศไทยจะได้รับคะแนน CPI(Corruption Perception Index)เพิ่มจาก 36เป็นเกิน 50 ไปอยู่ใน Top50 ของโลกเสียที(ตอนนี้อันดับ101/180) …

ขอให้รอหน่อยนะครับจะเล่าให้ฟัง เพราะผมก็ถือทฤษฎีที่ว่า “ตราบใดที่โทษและภัยที่ผมอาจจะได้รับจากการต่อต้านคอร์รัปชันยังสูงกว่าโอกาสที่ผมจะปลอดภัยคูณด้วยโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการลดโกง ผมก็จะขออยู่เฉยๆไปก่อน”

วันนี้เอาไปเท่านี้ก่อนนะครับ

ตีพิมพ์ครั้งแรก : เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 26 มกราคม 2563