ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” นัดพรรคการเมือง หารือ “ปลดล็อก” ต้น ธ.ค.นี้ – มติ ครม. ไฟเขียวลงทุน “อีอีซี” 4 โครงการ วงเงิน 4.7 แสนล้าน

“บิ๊กตู่” นัดพรรคการเมือง หารือ “ปลดล็อก” ต้น ธ.ค.นี้ – มติ ครม. ไฟเขียวลงทุน “อีอีซี” 4 โครงการ วงเงิน 4.7 แสนล้าน

30 ตุลาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 มีการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย น่าน พะเยา และแพร่ ) และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 6/2561 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

ชู “พะเยา-เชียงราย” เมืองท่องเที่ยวต้นแบบภาคเหนือ เชื่อม GMS

สำหรับการลงพื้นที่ตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2561 มีภารกิจที่น่าสนใจ เช่น ที่ จ.พะเยา ในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานในพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินในลักษณะแปลงรวมของจังหวัดพะเยา ภายใต้โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ให้แก่ผู้แทนประชาชนจำนวน 5 ราย โดยพื้นที่จัดสรรอยู่ในเขตอำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา เนื้อที่รวม 14,926 ไร่ ให้แก่ประชาชน 2,171 คน

พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมตลาดประชารัฐ และศูนย์ฮอมฮักเพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยเรื้อรัง ซึ่งเป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้พิการในพื้นที่อย่างครบวงจรต่อเนื่อง โดยจะมีการขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์ฮอมฮักให้ครบถ้วนทั้ง 68 ตำบล ในทั้งหมด 9 อำเภอของจังหวัดพะเยา จากนั้นเดินทางไปตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างฝายพับได้ ภายใต้โครงการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน ในการนำนวัตกรรมมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำ ด้วยงบประมาณโครงการ 343 ล้านบาท

ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการไทยนิยมยั่งยืนและชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านเมืองรวง จ.เชียงราย และเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 2 ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (ป่าสงวนแห่งชาติห้วยสักและป่าแม่กกฝั่งขวา) ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน (ป่าน้ำว้าและป่าห้วยสาลี่/ป่าแม่น้ำน่าน ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้) ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา (ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยบ่อส้มและป่าดอยโป่งนก) และผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ (ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยางและป่าแม่แฮด)

และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้แก่ ผู้แทนป่าชุมชน 4 จังหวัด (เชียงราย น่าน พะเยา และแพร่) พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว 2561 จังหวัดเชียงราย แก่ตัวแทนเกษตรกร

นายกฯรัฐมนตรีถ่ายภาพร่วมกับประชาชนชาวเชียงรายที่มาให้การต้อนรับ

นายกรัฐมนตรีระบุว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือมีศักยภาพ เป็นประตูการค้าการลงทุนที่เชื่อมโยงกับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน (GMS) และประชาคมอาเซียน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายทุกมิติ ให้เป็นการท่องเที่ยวแบบ Green Tourism ทั้งการท่องเที่ยวในเชิงท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ทั้งสปาและน้ำพุร้อน รวมถึงด้านสาธารณสุขก็มีแผนพัฒนาเมืองสมุนไพร

โดยตั้งเป้าให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องของภาคเหนือในการส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสุขภาพและวิถีวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจบริการและแปรรูปสมุนไพร รวมถึงการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์

นัดพรรคการเมืองหารือ “ปลดล็อก” ต้น ธ.ค.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความชัดเจนในการนัดพรรคการเมืองพูดคุยเพื่อปลดล็อกภายในพฤศจิกายนนี้ หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แบ่งเลือกตั้งเรียบร้อยหรือไม่ ว่า ในเดือนพฤศจิกายนก็มีการเตรียมการไว้อยู่แล้ว จะเป็นพฤศจิกายนหรือต้นธันวาคมเดี๋ยวดูกันอีกที ต้องดูเวลาที่เหมาะสม สำหรับช่วงนี้ตนรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในสื่อโซเชียลมีเดียก็พูดกันเยอะแยะไปหมด ทั้งนี้ตนได้มอบหมายนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ รวบรวมไว้ทั้งหมด และหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งก็คงจะรับฟัง

“ต่างคนก็ต้องต่างฟัง ผมก็จะทนและจะฟังให้มากที่สุด ถ้าท่านพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์แม้แต่การเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่พูดในทำนองที่ทำให้การเลือกตั้งเกิดความสับสนอลหม่าน เพราะวันนี้ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปด้วยดี และไม่มีการปรับช่องทางการสื่อสารโดยทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม เพราะคนที่เสนอข่าวข้อมูลก็เป็นคนเดิม โดยเฉพาะสื่อมวลชนก็ยังเป็นแบบเดิมก็ไม่สามารถแก้อะไรได้ทั้งนั้น แต่ก็ขอขอบคุณทุกคน “ นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามกรณีพรรคเพื่อไทยเริ่มเปิดรายชื่อผู้ที่จะถูกเสนอเป็นนายกฯ บ้างแล้ว พล.อ. ประยุทธ์ พร้อมจะเปิดตัวหรือยัง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า พรรคการเมืองไหนจะเสนอใครก็ว่ากันไป ส่วนตนยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใคร และยังไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องเมื่อไหร่อย่างไรในตอนนี้

“ถ้าถึงเวลาถ้าผมจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับทางการเมืองก็ค่อยว่ากันอีกที อย่าไปให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก อยากให้ดูว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรมากกว่า และไปดูว่ารัฐบาลต่อไปจะทำอะไรอีกบ้าง ได้มากกว่าที่ผมทำหรือไม่ เพราะฉะนั้น ขอร้องว่าอย่าไปฟังว่าไอนั่นจะทำไอนี่จะไม่ทำ เลิกเสียที ทำใหม่ เพราะมันไม่ง่ายนักหรอก ถ้าทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบการบริหารราชการแผ่นดินอย่างที่ผมทำอยู่ในเวลานี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามคำทำนายของหมอดูที่ระบุว่าจะได้เป็นนายกฯ ต่อ รวมถึงแฟนคลับชาวเชียงใหม่ต้องการให้ไปลงพื้นที่ ซึ่งนายกฯ ได้รับปากนั้นจะไปเมื่อไหร่ หรือต้องรอให้เข้าสู่เวทีทางการเมืองแล้ว พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า “คำถามที่พวกท่านถามมาเวิ่นเว้อเป็นการเมืองทั้งสิ้น ผมขี้เกียจตอบและไม่ได้โมโหใคร แต่ขี้เกียจตอบ เพราะมันไม่มีประโยชน์กับผมหรือใครเลยทั้งสิ้น”

นายกฯ แสดงความเสียใจถึงครอบครัว “ศรีวัฒนประภา”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวแสดงความเสียใจต่อกรณีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์เสียชีวิตว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนได้ร่วมกันแสดงความเสียใจอยู่แล้ว ในส่วนของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงความเสียใจผ่านคนใกล้ชิดไปยังครอบครัวเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ตอนนี้ครอบครัวของนายวิชัย เดินทางไปประเทศอังกฤษในเรื่องพิธีศพอะไรต่างๆ ที่จะดำเนินการนำกลับประเทศไทย

“เราก็แสดงความเสียใจไปแล้วในขั้นต้น แต่สิ่งที่เราระลึกถึงนายวิชัยในเรื่องของการเป็นผู้สนับสนุนหรือเป็นเจ้าของทีมสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ที่จากเดิมไม่ได้รับการจัดตำแหน่งเป็นแชมป์อะไรต่างๆ แล้วก็ได้เป็นแชมป์ภายในไม่กี่ปี จากการที่นายวิชัยเข้าไปเทคโอเวอร์เป็นเจ้าของทีม ถือเป็นคนไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงในวงการกีฬาในต่างประเทศ ได้รับการยอมในเวทีต่างประเทศในฐานะที่สามารถบริหารทีมเลสเตอร์ซิตี้จนได้รับแชมป์ในช่วงที่ผ่านมา ในเรื่องของกีฬาก็ขอชื่นชมในความเอาจริงเอาจังเอาใจใส่ของนายวิชัย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมิน แรป “ประเทศกูมี” ยันพร้อมฟังทุกเสียง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความรู้สึกที่มีต่อเสียงสะท้อนของประชาชนในการทำงานของรัฐบาล โดยยืนยันว่า พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาล ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ รวมถึงการขยายความในประเด็นทางการเมืองต่างๆ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ส่งผลต่อการพิจารณาปลดล็อกกิจกรรมพรรคการเมือง สำหรับการหารือพรรคการเมืองเพื่อปลดล็อกนั้นคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

ต่อคำถามกรณีแพลงแรป “ประเทศกูมี” พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนไม่ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่เพลงดังกล่าว เพื่อไม่ให้ถูกครหาว่าเป็นการปิดกั้น แต่ขอให้ใช้วิจารณญาณในการเผยแพร่ และคำนึงถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย

“ผมไม่ได้ว่าที่เขามาว่าผม แต่ถ้าเขาว่าประเทศ ผมว่ามันไม่เหมาะสม ผมคิดว่าคนเราควรจะมีวิจารณญาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเขียนเพลง หรือจะอะไร ยังไง กับใครก็ตาม ท่านต้องอย่าไปให้ร้ายประเทศตัวเอง ดังนั้นจะมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมันไม่ใช่ เพราะความหมายท่านต้องการอะไรก็รู้กันอยู่ ก็ถือเป็นเรื่องของสังคมถ้ารับเรื่องแบบนี้ได้ วันหน้าถ้าหนักกว่านี้ เรื่อยๆ ลูกหลานของท่านจะอยู่กันอย่างไร ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ก็ฟังกันไปก็แล้วกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้ “คอคอดกระ” ต้องศึกษาให้ละเอียด

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความเป็นไปได้ในการขุดคอคอดกระ (คลองไทย) แนว 9A จาก จ.ตรัง มา จ.สงขลา ว่า ยังไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้ กรณีดังกล่าวต้องไปศึกษาดูรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร ต้องดูความคุ้มค่าและตัวอย่างจากต่างประเทศว่ากี่ปีเขาถึงจะทำได้สำเร็จ ไม่ใช่พูดวันนี้จะขุดวันนี้ จะขุดหรือไม่ขุดคงไม่ใช่ ถ้ามันขุดได้คงขุดไปนานแล้ว

“อย่าลืมว่าประเทศไทยยังมีปัญหาหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งปัญหาความมั่นคง การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ค่อนข้างมีความสำคัญ ก็ขอให้พิจารณาในรูปแบบที่ไม่ใช่มองแค่เศรษฐกิจอย่างเดียว ความมั่นคงก็เป็นพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เห็นชอบ 7 ข้อเสนอ – พัฒนา “ถ้ำหลวง” เป็นแหล่งท่องเที่ยว

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการการประชุมการพัฒนาเป็นประธานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯ ประกอบด้วย 7 ประเด็นหลัก และได้ให้ความเห็นชอบในหลักการที่ตามข้อเสนอของภาคเอกชนโดยสรุป ดังนี้

  • การขับเคลื่อนนโยชายเชิงพื้นที่ เนื่องจากภาคเหนือมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยว จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่องอย่างยั่งยืน เป็นประตูการค้าสู่สากล โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ วัฒนธรรมและสุขภาพ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค GMS BIMSTEC และ AEC แบบ Multidestination ดึงนักท่องเที่ยวอาเซียนได้ท่องเที่ยวภายในอาเซียน (ASEAN for ASEAN) และดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว (ASEAN for All)

โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ต้องให้ความสำคัญกับกฎ ระเบียบ ในการข้ามแดน เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาเส้นทางข้ามแดนต่างๆ ซึ่งขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พัฒนากิจกรรมต่างๆ ตลอดเส้นทางการท่องเที่ยว รวมทั้งการรักษาความสะอาดของแม่น้ำ คูคลอง และถนนในพื้นที่ด้วย

  • ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลประเด่นต่างๆ ทั้งศึกษาออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวก และสร้างความเชื่อมโยงร่วมกับแหล่งการท่องเที่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย พื้นที่กว่า 20,000 ไร่ มีความหลากหลายทางธรรมชาติ สถาปัตยกรรมโบราณ ล้านนา และวัฒนธรรมชาติพันธุ์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการท่องเที่ยวชายแดน เส้นทาง R3A (ไทย-ลาว-เมียนมา) รวมทั้งการพัฒนากว๊านพะเยาซึ่งเป็นแหล่งนำ้ ทรัพยากรประมง ครอบคลุมระบบบำบัดนำ้เสีย เขื่อนป้องกันตลิ่งและไฟส่องสว่างอย่างยั่งยืนตลอดจนปรับปรุงสนามกีฬาจังหวัดพะเยา ให้ได้มาตรฐานสามารถรองรับการแข่งขันกีฬาระดับชาติแบบ sport complex ได้

ด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมักกระจุกตัวที่จังหวัดเชียงรายกว่า 60% การเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวจะช่วยกระจายนักท่องเที่ยวไปยังจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งทำให้รายได้กระจายตัวไปสู่จังหวัดอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ในปัจจุบัน จังหวัดเชียงรายนับเป็นจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงที่สุดในบรรดาเมืองรอง ขณะที่มีนักท่องเที่ยวที่มายังกลุ่มจังหวัดนี้มีประมาณ 5.8 ล้านคน คิดเป็น 17% ของภาคเหนือ และ 2% ของประเทศ โดย 90% เป็นคนไทย ส่วนคนต่างชาติจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งขณะนี้ได้มีการเปิดด่านชายแดนหลายแห่งและมีพิธีการเข้าออกที่สะดวกมากขึ้น ส่วนรายได้รวมจากการท่องเที่ยว อยู่ที่ 31,000ล้านบาท คิดเป็น 18% ของภาคเหนือ และ 1% ของประเทศ

  • ด้านการค้า การลงทุน ได้เห็นชอบในหลักการตามที่เอกชนเสนอในการยกระดับจุดผ่อนปรน บ้านฮวก จังหวัดพะเยา เป็นด่านถาวร เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของด่านบ้านฮวก โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร และเกษตรแปรรูป ด้วยนวัตกรรม SMEs 4.0 เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป ประกอบด้วย ยกระบบคุณภาพและมาตรฐานการผลิต เชื่อมโยงการตลาดและธุรกิจออนไลน์ นายกรัฐมนตรียังกำชับให้นำงานวิจัยมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการผลิตอทหารเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ได้
  • ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมต่อทั้งระบบ (บกและราง) ทั้งการพัฒนาสายทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและภายในกลุ่มจังหวัด รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งทางราง (Transit Oriented-Development) จังหวัดพะเยา ออกแบบแผนแม่บทโลจิสติกส์เพื่อรองรับรถไฟทางคู่เชื่อมโยงเด่นชัย-พะเยา-เชียงของ และศึกษาเพื่อกำหนดตำแหน่งจุดพักกระจายสินค้าและจุดพักรถ (Rest Area) ที่เหมาะสมจังหวัดพะเยา ซึ่งการขนส่งทางรางนี้จะเชื่อมโยงโลจิสติกส์จากประเทศเพื่อนบ้านมาสู่ประเทศไทย และเชื่อมต่อไปยังมาบตาพุด
  • ด้านการเกษตร การพัฒนาเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ การพัฒนาสารกำจัดศัตรูพืชแทนสารเคมี ขยายพื้นที่เกษตรปลอดภัย และเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพร พัฒนาและส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมถึงพัฒนาระบบการกระจายผลผลิตและการตลาด ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมถึงการส่งเสริมการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการใหม่ (startup) เพื่อให้เกิดสินค้าเกษตรที่แปลกใหม่
  • การพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็น “เมืองต้นแบบสุขภาวะในผู้สูงวัย” (Health Aging Smart Cities) พัฒนาบริการชุมชนและบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการการแพทย์อุบัติเหตุฉุกเฉินรองรับผู้สูงอายุ พัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พัฒนาอาชีพผู้สูงอายุ ดูแลรวมทั้งการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้สมุนไพรครบวงจรสู่เชิงพาณิชย์ ศึกษาวิจัยโภชนาการสมุนไพรพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งศูนย์ที่พักอาศัยสาหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ศึกษาออกแบบรายละเอียดอารยสถาปัตย์สิ่งอำนวยความสะดวกผู้สูงอายุ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การปฏิรูปสาธารณะสุขภาครัฐ คือ การเริ่มตั้งแต่การป้องกัน การรักษา และการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการดูแลสุขภาพ
  • ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ จึงมีการขอรับการสนับสนุนในการก่อสร้างประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ การเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำ ทั้งสิ้น 9 รายการ อาทิ ก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านสันต้นธงพร้อมระบบส่งนำ้ เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำถ้ำหลวงฯ การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำอ่างเก็บน้ำแม่ตำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ประกอบด้วย การปรับปรุงทางระบายน้ำล้น (ฝายพับได้) และงานปรับปรุงอาคารท่อระบายน้ำลงน้ำเดิม เป็นต้น

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกลุ่มจังหวัด ให้กลับมาติดตามการดำเนินงาน ที่เป็นผลจากการประชุมในวันนี้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ทั้งยังกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกชนท้องถิ่น จะต้องคำนึงถึงการพัฒนาต้องสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐบาลด้วย เพราะรัฐบาลต้องสร้างความเจริญให้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทยด้วย

ด้านนายวิโรจน์ จิรัฐิติกาลโชติ รองประธานหอกรรมการค้าไทยและประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ ระบุว่า ภาคเอกชนได้ขอให้เร่งรัดดำเนินการก่อสร้างถนนศึกษา ออกแบบแผนแม่บทโลจิสติกส์เพื่อรองรับรถไฟทางคู่เชื่อมโยงเด่นชัย-พะเยา-เชียงของ ซึ่งเป็นโครงการที่พูดถึงมาหลายรัฐบาลแต่ไม่มีความคืบหน้า แต่เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้กลับมีความคืบหน้าและเห็นผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ นายกฯ ยังเร่งรัดโครงการต่างๆ ให้แล้วเสร็จเร็วขึ้น เช่น เดิมกำหนดให้เสร็จปี 2564 ก็เร่งให้เสร็จปี 2563 เป็นต้น

ไฟเขียวลงทุน “อีอีซี” เพิ่ม 4 โครงการ วงเงิน 4.7 แสนล้าน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 4 โครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประกอบด้วยโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก, โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา, โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 มูลค่าเงินลงทุนทั้ง 4 โครงการรวม 470,035 ล้านบาท

  • โครงการโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) อู่ตะเภา วงเงินลงทุนรวม 10,588 ล้านบาท ในส่วนของภาครัฐได้มอบหมายให้กองทัพเรือเป็นผู้ก่อสร้างอาคารศูนย์ซ่อมอากาศยานหลังใหม่ ได้แก่ โรงซ่อมอากาศยาน โรงพ่นสีอากาศยาน อาคารซ่อมบริภัณฑ์ อาคารสาธารณูปโภค และอาคารสนับสนุนอื่นๆ และให้ทางบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนกับเอกชนเพื่อออกแบบและจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับใช้ในศูนย์ซ่อมบำรุง มีระยะเวลาดำนินการไม่เกิน 50 ปี โดยภาครัฐลงทุน 6,333 ล้านบาท และเอกชน 4,255 ล้านบาท ผลตอบแทนโครงการ 38,872 ล้านบาท แบ่งเป็นภาครัฐ 36,000 ล้านบาทและภาคเอกชน 2,872 ล้านบาท
  • โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าเงินลงทุนรวม 290,000 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินลงทุนในส่วนของภาครัฐจำนวน 17,768 ล้านบาท ภาคเอกชน 272,232 ล้านบาท โดยภาครัฐมีหน้าที่จัดเตรียมพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคกลาง โดยกองทัพเรือดำเนินการก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 ทางขับและระบบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพัฒนาระบบไฟฟ้า ประปา และบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น และให้บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยรับผิดชอบเรื่องการเดินอากาศ ส่วนภาคเอกชนจะลงทุนก่อในงานพัฒนาโครงการได้แก่ อาคารผู้โดยสาร 3 ศูนย์การขนส่งภาคพื้นดิน ศูนย์ธุรกิจการค้า ศูนย์ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ เขตประกอบการค้าเสรีและเขตพื้นที่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และเอกชนมีหน้าที่จ่ายค่าเช่าและส่วนแบ่งรายได้ให้ภาครัฐ โดยระยะเวลาร่วมลงทุน 50 ปี โดยมีหน้าที่จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ
  • โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 วงเงินลงทุนรวมในการก่อสร้างท่าเรือเอฟ และท่าเรืออี 114,047 ล้านบาท ทั้งนี้จะเริ่มดำเนินการในส่วนของท่าเรือเอฟก่อน วงเงินลงทุนรวม 84,361 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนภาครัฐ 53,490 ล้านบาท ภาคเอกชน 30,871 ล้านบาท โดยภาครัฐจะลงทุนผ่านการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่จะเป็นผู้ออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน และบำรุงรักษาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ส่วนภาคเอกชนจะดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ ให้เอกชนดำเนินการ 35 ปีเป็นผู้จัดเบรายได้และรับความเสี่ยง
  • โครงการท่าเรือมาบตาพุด รวมเงินลงทุนทั้งหมดทั้งท่าเรือก๊าซ ท่าเรือสินค้าเหลว และพื้นที่คลังสินค้าจำนวน 55,400 ล้านบาท เบื้องต้นจะดำเนินการในส่วนของท่าเรือก๊าซวงเงินลงทุน 47,900 ล้านบาท โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นผู้ดูแล แบ่งการลงทุนเป็น 2 ช่วง คือ ระยะ 35 ปี กนอ.จัดหาพื้นที่และร่วมทุนกับเอกชน ส่วนระยะต่อไปอีก 32 ปีต่อไป กนอ.จะดำเนินงานก่อสร้างท่าเรือและงานท่าเรือสินค้าเหลว

อนึ่งก่อนหน้านี้ ครม. ได้เห็นชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และได้ออกเอกสารคัดเลือกเอกชนร่วมทุนกับรัฐไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งกำหนดรับข้อเสนอเอกชนในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561

“หลังจาก 4 โครงการได้ผ่านการเห็นชอบจาก ครม. ในครั้งนี้ จะทำให้โครงการลงทุนหลักในอีอีซีครบถ้วน เพราะเดิมรถไฟความเร็วสูง ได้เปิดทีโออาร์ไปแล้ว ซึ่งจากนี้ไปแต่ละโครงการจะทยอยเปิดทีโออาร์ต่อ และคาดว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะได้ตัวผู้ร่วมลงทุนครบ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการอีอีซีได้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว และจากนี้ไปไม่ว่าจะมีรัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็ต้องทำโครงการนี้ต่อ เพราะโครงการได้เริ่มตั้งต้นแล้ว และหากโครงการดำเนินการเสร็จจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจรวม 819,662 ล้านบาท” นายณัฐพรกล่าว

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาะ :www.thaigov.go.th

กำหนด “มะพร้าวผลแก่” เป็นสินค้าควบคุม

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้มะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าควบคุมเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนออีก 1 ชนิด ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เนื่องจากมีการลักลอบนำเข้าและราคาตกต่ำ ทำให้ปัจจุบันมีสินค้าควบคุมรวม 54 ชนิด จากปัจจุบันมี 52 ชนิด แบ่งเป็น สินค้า 48 ชนิด และบริการ 5 ชนิด

อนึ่งประเด็นดังกล่าวเกิดจาก การประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน ซึ่งจะทำหน้าที่ในการบริหารจัดการการนำเข้ามะพร้าวให้เกิดความสมดุลทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งที่ผ่านมาการนำเข้ามะพร้าวมีปัญหาโรคพืชบางอย่างติดเข้ามาและไม่ค่อยมีความเข้มงวดมากนัก ทำให้เกิดผลเสียต่ออุตสาหกรรมมะพร้าวโดยรวม ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าวก็จะกำหนดมาตรการดูแลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการกำหนดมาตรการใหม่คือให้ผู้นำเข้ากะเทาะเปลือกมะพร้าวเฉพาะในโรงงานที่นำเข้าเท่านั้น ห้ามนำออกไปนอกโรงงาน เพราะที่ผ่านมาผู้นำเข้าจะนำมะพร้าวออกไปนอกโรงงานเพื่อกะเทาะเปลือก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มะพร้าวที่นำเข้ามารั่วไหลออกไปสู่ตลาดจนส่งผลให้ราคาผลผลิตในประเทศตกต่ำ

เห็นชอบแผนบริหารจัดการน้ำ 6 โครงการ 3.1 หมื่นล้าน

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการข้อเสนอการก่อสร้างโครงการบริหารจัดการน้ำ 6 โครงการ โดยใช้ระยะเวลาในการดำเนินการก่อสร้าง 4-6 ปีในช่วงปีงบประมาณ 2562-2567 วงเงินรวม 31,474.2 ล้านบาท โดยโครงการทั้งหมดได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับโครงการที่ ครม. เห็นชอบให้ดำเนินการประกอบไปด้วยโครงการที่เสนอโดยกรุงเทพมหานคร 2 โครงการ ได้แก่

  • โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองทวีวัฒนา บริเวณคอขวดเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม บรรเทาน้ำหลากในพื้นที่ กทม. พื้นที่ใกล้เคียง วงเงิน 2,274.2 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบ วงเงิน 1,751 ล้านบาท โดยก่อสร้างจากอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าวบริเวณซอยลาดพร้าว 130 เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการระบายน้ำ

ส่วนโครงการที่เสนอโดยกรมชลประทาน 4 โครงการ ได้แก่

  • โครงการคลองระบายน้ำ บางบาล-บางไทร พร้อมอาคารประกอบ จ.พระนครศรีอยุธยา วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท
  • โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร วงเงิน 2,100 ล้านบาท
  • โครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อ พร้อมระบบส่งน้ำ จ.สกลนคร วงเงิน 1,249 ล้านบาท และ
  • โครงการโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ วงเงิน 3,100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่เงาฝนทำให้ขาดแคลนน้ำสำหรับเพาะปลูก และสำหรับอุปโภคบริโปคในช่วงฤดูแล้ง ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลหนองแวง ตำบลหนองบัวแดง และตำบลนางแดด

นายกฯกำชับรมต. ดูแลขรก.ใต้สังกัด ยื่นบัญชีทรัพย์สินตามกฏใหม่ ป.ป.ช.

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มีความกังวลถึงการปฏิบัติของข้าราชการ กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แก้ไขและดำเนินการออกข้อบังคับใหม่ในการแสดงบัญชีทรัพย์สินของผู้รับราชการและผู้ที่อยู่ในตำแหน่งข้าราชการการเมือง 300 ตำแหน่ง ซึ่งจะมีการประกาศราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 นี้ ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งตามบังคับจะต้องดำเนินการชี้แจงภายหลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 30 วัน

“กรณีนี้อาจจะทำให้ได้รับผลกระทบในการยื่นบัญชี อาทิ คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดีและรองอธิการบดีมหาวิทยาลัย อธิบดีและรองอธิบดีกรมต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้รัฐมนตรีไปกำกับหน่วยงานที่อยู่ในสังกัดได้เตรียมตัวและปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของ ป.ป.ช.” นายพุทธิพงษ์กล่าว

ผ่านร่าง กม.สถานประกอบการ หนุนคนพ้นโทษหางานทำ

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ฉบับที่…) พ.ศ. ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญในการแก้ไขคุณสมบัติผู้ประกอบการ จากเดิมที่กำหนดให้ต้องเป็นผู้พ้นโทษมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยตัดคุณสมบัติดังกล่าวออก เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้พ้นโทษหวนคืนสู่สังคมสามารถสร้างงานสร้างอาชีพได้ทันที

อ่านมติ ครม.วันที่ 30 ตุลาคม 2561เพิ่มเติม