ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตประจำปี พ.ศ. 2561: “ทั่วโลกร่วมใจช่วย 13 หมูป่าติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน” และ “ชื่นมื่น ผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้ รับปาก จะไม่มีสงครามระหว่างสองชาติอีกต่อไป“

ประเด็นฮอตประจำปี พ.ศ. 2561: “ทั่วโลกร่วมใจช่วย 13 หมูป่าติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน” และ “ชื่นมื่น ผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้ รับปาก จะไม่มีสงครามระหว่างสองชาติอีกต่อไป“

5 มกราคม 2019


ประเด็นฮอตประจำปี พ.ศ. 2561

  • ทั่วโลกร่วมใจช่วย 13 หมูป่าติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน
  • จับ-ฟ้อง พระชั้นผู้ใหญ่ คดีเงินทอนวัด
  • ทุ่งใหญ่ 2018 — “เปรมชัย” บิ๊กอิตาเลี่ยนไทยกับคดีล่าเสือดำ
  • ” วิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของคิงเพาเวอร์และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ตี้ ฮ.ตกเสียชีวิต
  • ชื่นมื่น ผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้ รับปาก จะไม่มีสงครามระหว่างสองชาติอีกต่อไป
  • ทั่วโลกร่วมใจช่วย 13 หมูป่าติดถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน


    วินาทีเจอทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 ชีวิต ที่มา: ช่องยูทูบ เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร (https://www.youtube.com/watch?v=f89dSnwL8Vw)

    วันที่ 23 มิ.ย. 2561 นักฟุตบอลเด็กทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย อายุตั้งแต่ 11-16 ปี จำนวน 12 สิบคน และโค้ช 1 คน อายุ 25 ปี รวม 13 คน หายเข้าไปถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย โดยเจ้าหน้าที่วนอุทยานพบเพียงจักรยาน 11 คันจอดอยู่บริเวณทางเข้าถ้ำ

    นั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (หน่วยซีล) ของประเทศไทย กับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งของไทยและหลากหลายประเทศทั่วโลก ในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในครั้งนี้

    หลังจากเริ่มทำการค้นหาไปเป็นเวลากว่า 10 วัน ในที่สุดการค้นหาก็ประสบผลสำเร็จ โดยในช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันดังกล่าว โดยในช่วงเวลาห้าทุ่มของวันที่ 2 ก.ค. 2561 นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้ควบคุมสั่งการปฏิการ ได้เปิดเผยว่า ทีมกู้ภัยค้นพบทั้ง 13 ชีวิตแล้ว โดยจุดที่เจอนั้นอยู่เลยจากพื้นที่ “พัทยาบีช” ภายในถ้ำไป 400 เมตร

    อนึ่ง ผู้ที่พบทั้ง 13 ชีวิตนั้นคือ ริชาร์ด สแตนตัน และจอห์น โวลันเทน นักดำน้ำในถ้ำชาวอังกฤษ และก่อนจะพบทั้ง 13 ชีวิตนั้น น.ต. สมาน กุนัน หรือจ่าแซม อดีตหน่วยซีลที่อาสาร่วมทีมค้นหา ได้หมดสติขณะดำน้ำและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

    ทว่า แม้จะพบตัวแล้ว แต่การจะพาทั้ง 13 ชีวิตออกมาจากถ้ำก็ยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากระดับน้ำในถ้ำยังลดลงไม่มากเพียงพอ และหากจะรอให้ระดับน้ำลดลงเพียงพอก็อาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือน นอกจากนี้ หากจะพาดำน้ำออกมา ในความเห็นชองผู้เชี่ยวชาญนั้น การจะฝึกฝนให้ทั้ง 13 ชีวิตดำน้ำแล้วพากันดำน้ำออกมาเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะปรกติการดำน้ำในถ้ำก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์อย่างสูงอยู่แล้ว

    อย่างไรก็ดี ในทีแรกนั้นมีกระแสข่าวว่าการค้นพบทีมหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ เนื่องจากหน้าที่หลักของสแตนตันและโวลันเทนนั้นไม่ใช่การค้นหา แต่เป็นการลำเลียงเชือกเข้าไปปักในถ้ำเพื่อเป็นการนำทางให้แก่หน่วยที่ทำหน้าที่ค้นหา ซึ่งในขณะนั้น เชือกที่โวลันเทนนำมาหมดพอดี เขาจึงเงยหน้าขึ้นเหนือน้ำแล้วพบกับทั้ง 13 ชีวิตที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ โวลันเทนบอกว่า หากเชือกที่เขานำมาสั้นหรือยาวกว่านั้นไป 15 ฟุต เขาก็คงจะขึ้นเหนือน้ำในจุดอื่น และคงไม่ได้พบกับทุกคนอย่างแน่นอน

    ทว่า ต่อมา โวลันเทนเปิดเผยว่า การพบกับทั้ง 13 ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องของความโชคดีดังที่มีการนำเสนอกันไปก่อนหน้านี้ แต่เกิดจากการทำงานอย่างหนัก โดยพวกเขาจะขึ้นเหนือน้ำในทุกที่ที่มีที่ว่าง โวลันเทนบอกว่าพวกเขาไม่เพียงตะโกนเรียกแต่ยังใช้วิธีตามหาด้วยการดมกลิ่นด้วย และพวกเขาได้กลิ่นของทั้ง 13 คนก่อนจะเจอตัวหรือได้ยินเสียงเสียอีก

    สำหรับการพาตัวนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมีออกมาจากถ้ำนั้น โวลันเทนบอกว่ากลุ่มผู้ประสบภัยจะสวมหน้ากากดำน้ำแบบเต็มหน้าเพื่อให้หายใจสะดวกกว่าอุปกรณ์ช่วยหายใจแบบสวมไว้ที่ปาก ทุกคนจะสวมเสื้อที่เป็นทุ่นลอยโดยให้ถังออกซิเจนอยู่ที่หน้าอก มีการทำที่จับติดไว้ที่ส่วนหลังของเสื้อเพื่อง่ายต่อการพาแต่ละคนออกมา (โวลันเทนบอกว่าเหมือนหิ้วถุงช็อปปิ้ง) และผู้ที่ได้รับการพาตัวออกมาจะถูกผูกเชือกโยงไว้กับตัวผู้ที่นำออกมาด้วย

    หลังจากสามารถช่วยทุกคนออกมาได้แล้ว ได้มีการจัดการแถลงข่าว ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของเหตุการณ์ได้ดังนี้

    • สาเหตุที่เข้าไปในถ้ำเป็นการเข้าไปเพราะมีสมาชิกในทีมหลายคนยังไม่เคยไป ไม่ใช่เข้าไปเพื่อจัดงานวันเกิดกันแต่อย่างใด และกำหนดกันว่าจะเข้าไปเพียงหนึ่งชั่วโมง โดยจะต้องออกกันมาก่อนเวลาห้าโมงเย็น เพราะมีสมาชิกในทีมที่ต้องออกมาฉลองวันเกิดกับครอบครัว แต่สุดท้ายก็เจอน้ำขึ้นปิดทางจนไม่สามารถออกมาได้
    • ทุกคนเข้าไปโดยไม่ได้มีอาหารหรือเครื่องดื่มใดๆ ติดตัวไป การเอาชีวิตรอดในช่วงที่ติดอยู่ในถ้ำนั้นทำโดยการดื่มน้ำจากหินย้อยภายในบริเวณที่ทุกคนติดอยู่ และพยายามอยู่นิ่งๆ
    • มีความคิดที่จะมุดไปออกปลายถ้ำที่อยู่ไกลออกไป โดยความเสี่ยงคือหากมุดไปแล้วไม่เจอทางออกก็จะถูกปิดตายสองชั้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพราะน้ำขึ้นสูงมาก และมีความพยายามขุดผนังถ้ำเพื่อหาทางออก
    • ทุกคนเสียใจเรื่อง น.ต. สมาน กุนัน หรือจ่าแซม ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในการพาทั้ง 13 คนออกมา และมีความตั้งใจจะบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้
    • ลำดับการออกมาจากถ้ำนั้นเลือกเอาคนบ้านไกลออกก่อน โดยเหล่าสมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมีเลือกกันเองโดยสมัครใจ

    สำหรับ น.ต. สมาน นั้น ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานยศนาวาตรีเป็นกรณีพิเศษ และพระราชทานเพลิงศพอย่างสมเกียรติ ขณะเดียวกัน อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้ออกแบบภาพวาดและหล่อรูปปั้น “จ่าแซม” ไปตั้งเป็นอนุสรณ์รำลึกที่บริเวณปากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนด้วย

    จับ-ฟ้อง พระชั้นผู้ใหญ่ คดีเงินทอนวัด

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

    เมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 พ.ค. 2561 พล.ต.ต. ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังตำรวจกว่า 100 นาย พร้อมหมายศาล บุกค้นวัดดัง 3 แห่งในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย, วัดสัมพัธวงศารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ และวัดสามพระยาวรวิหาร จากกรณีพัวพันเกี่ยวกับเรื่องเงินทอนวัด

    สำหรับการตรวจค้นวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้นำหมายจับจากศาลอาญารัชดา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน เนื่องจากกระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม เข้าจับกุม พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และเจ้าคณะภาค 10 พระศรีคุณาภรณ์ (พระมหาบุญทวี คำมา) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระครูสิริวิหารการ (สมจิตร จิตฺตธมฺโม) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เจ้าคุณเทอด) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และฆราวาสอีก 4 ราย คือ น.ส.นุชรา สิทธินอก หญิงแม่บ้านที่รับเงินโอนจากวัด, น.ส.ฆัมม์พร นิพนธ์พิทยา, นายธีระพงษ์ (ไม่ทราบนามสกุล) และนายทวิช สังข์อยู่ โดยทั้งสี่คนนั้นเกี่ยวข้องกับบริษัทดีดีทวีคูณ ไปจ้างผลิตสื่อให้วัดสระเกศ โดยในการเข้าจับกุมนั้น ไม่พบตัวพระพรหมสิทธิแต่อย่างใด ส่วนพระวิจิตรธรรมาภรณ์นั้นรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช จึงนิมนต์ไปได้เพียงพระศรีคุณาภรณ์และพระครูสิริวิหารการ ส่วนพระวิจิตรธรรมาภรณ์นั้นเจ้าหน้าที่ได้นิมนต์ไปตามหมายจับในภายหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ขณะที่วัดสามพระยาวรวิหาร เจ้าหน้าที่นำหมายจับศาลอาญารัชดา จับกุม พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน พร้อมตรวจค้นหาเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี

    และ ณ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร นำหมายจับศาลอาญารัชดา เข้าตรวจค้นหาตัวพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 4-7 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน แต่ไม่พบตัว จึงได้ตรวจค้นหาเอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการฟอกเงินเพื่อดำเนินคดีต่อไป โดยสรุปแล้ว ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่พบตัว พระพรหมสิทธิและพระพรหมเมธี

    ต่อมา วันที่ 24 พ.ค. 2561 ที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ยื่นคำร้องขอฝากขังไม่อนุญาตพระภิกษุ 5 รูป คือ พระครูวิจิตรธรรมาภรณ์  พระศรีคุณาภรณ์    พระครูสิริวิหารการ  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสระเกศ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พร้อมพระอรรถกิจโสภณ เลขานุการ  ผู้ต้องหาคดีทุจริต เป็นเวลา 12 วัน จนถึงวันที่ 4 มิ.ย. 2561 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน จากกรณีที่ผู้ต้องหาทุจริตงบประมาณอุดหนุนโรงเรียนปริยัติธรรมและงบประมาณเผยแผ่ศาสนา ตั้งแต่ปี 2557 เป็นเงินรวมกันกว่า 150 ล้านบาท    ซึ่งทนายความของพระสงฆ์ทั้ง 5 รูป ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว   แต่ศาลพิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงและทำเป็นขบวนการ เกรงว่าหากปล่อยไปจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัวยกคำร้อง เจ้าหน้าที่จึงได้นิมนต์พระผู้ใหญ่มาทำพิธีลาสิขาบทให้กับพระสงฆ์ทั้ง 5 รูป ก่อนเปลี่ยนใส่ชุดสีขาว และให้เจ้าหน้าราชทัณฑ์ควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

    และในเวลาต่อมา สมเด็จพระอริยาวงศาคตาญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงมีพระบัญชาให้ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา, พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม และพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พ้นจากการเป็นกรรมการของมหาเถรสมาคม โดยเป็นการให้พ้นจากตำแหน่งไปก่อน หากสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมายแล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่มีความผิด ก็สามารถกลับมารับตำแหน่งได้

    ปัจจุบันนี้ พระชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดที่ถูกจับกุมได้นั้นถูกจับสึกดำเนินคดี โดยล้วนอยู่ในเรือนจำเนื่องจากถูกคัดค้านการประกันตัว ขณะที่พระพรหมเมธีนั้น ขณะนี้ยังคงหลบหนีและทำเรื่องติดต่อขอลี้ภัยกับประเทศเยอรมัน

    ทุ่งใหญ่ 2018 — “เปรมชัย” บิ๊กอิตาเลี่ยนไทยกับคดีล่าเสือดำ

    ที่มาภาพ: หน้าเฟซบุ๊ก คนอนุรักษ์ (http://bit.ly/2BNBVrC)

    กลายเป็นข่าวใหญ่ที่กลบทุกข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อหน้าเฟซบุ๊ก คนอนุรักษ์ ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความในวันที่ 6 ก.พ. โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. เวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก รับแจ้งว่าพบนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งตั้งแคมป์พักในบริเวณจุดห้ามตั้ง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีนักท่องเที่ยว 4 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือนายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการก่อสร้างที่มีงานขนาดใหญ่จำนวนมากทั้งจากภาครัฐและเอกชน

    ยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อตรวจสอบบริเวณเต็นท์ที่พัก เจ้าหน้าที่พบซากสัตว์ป่าคุ้มครอง คือ เสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง จึงได้ทำการขยายพื้นที่ตรวจสอบพบอาวุธปืนลูกกรดติดลำกล้อง 1 กระบอก ปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 1 กระบอก และปืนลูกซองแฝด 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนอีกมากใกล้กับที่พบอาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ จึงทำการจับกุมตัวนายเปรมชัยและพวกเพื่อส่งไปยังสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ และเมื่อเข้าตรวจสอบพื้นที่เพิ่มเติมในวันที่ 5 ก.พ. 2561 ก็พบซากเสือดำถูกชำแหละและถลกหนัง รวมทั้งพบเครื่องกระสุนปืนเพิ่มอีกมากบริเวณใกล้เคียง

    ตั้ง 6 ข้อหา “รุก-ล่า-ครอบครอง” – จ่อแจ้งติดสินบนเพิ่ม

    ทั้งนี้ ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหานายเปรมชัยกับพวก 6 ข้อหา ดังนี้

    1. ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 36 และมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    2. ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 16 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    3. ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 19 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    4. ฐานนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ 1 (1) ของกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
    5. ฐานรวมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
    6. สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490

    อนึ่ง เมื่อนำตัวไปฝากขัง ศาลจังหวัดทองผาภูมิได้ให้ประกันตัวนายเปรมชัยและพวกในวงเงินคนละ 150,000 บาท แต่ในเวลาต่อมา วันที่ 9 ก.พ. 2561 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำนายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดจับกุมในครั้งนี้ นายวิเชียรยืนยันว่ามีการพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ จึงได้แนะนำให้นายวิเชียรกับพวกร้องทุกข์กับตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อกล่าวโทษนายเปรมชัยกับพวกในข้อหาติดสินบนเจ้าพนักงานเพิ่มเติมอีกข้อหาหนึ่งด้วย

    ทนายแจง ขออนุญาตเข้าแล้ว-ไม่ได้ล่า – จนท. ลุยค้นบ้าน ไร้เงาเปรมชัย-ซากสัตว์ พบปืน-งาช้าง ระบุมีทะเบียน

    อย่างไรก็ดี ด้านนายเปรมชัยนั้น หลังจากได้รับการประกันตัวก็ยังไม่พบการปรากฏตัวในที่ใดๆ และยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ในขณะนี้ แต่ในช่วงเวลาหลังจากได้รับการประกันตัวและเดินทางกลับมาให้ปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิในวันเดียวกันนั้น ทนายความของนายเปรมชัยบอกกับผู้สื่อข่าวว่านายเปรมชัยแค่เดินทางไปพักผ่อน รวมทั้งมีการขอเข้าพื้นที่และได้รับอนุญาตแล้ว แต่การไปอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นเพราะหลงทางไป ส่วนเรื่องล่าสัตว์นั้นปฏิเสธว่าไม่ทราบ และนายเปรมชัยก็ไม่ได้เป็นคนยิง ส่วนเรื่องปืนเป็นของใครขอให้การกับพนักงานสอบสวนและในชั้นศาล

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยพีบีเอส (https://goo.gl/1cwort)

    ทั้งนี้ ในวันที่ 7 ก.พ. 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของนายเปรมชัย ในกรุงเทพฯ แต่ไม่พบตัวนายเปรมชัยและซากสัตว์ป่าคุ้มครองอื่นๆ แต่อย่างใด รวมทั้งไม่พบร่องรอยการเคลื่อนย้ายของออกจากบ้าน แต่พบอาวุธปืนถึง 43 กระบอก โดยในจำนวนนี้เป็นฟืนไรเฟิล 28 กระบอก อีกทั้งยังพบงาช้าง 2 คู่ ซึ่งจากรายงานของเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ ในส่วนของงาช้างนั้นพบว่ามีการจดทะเบียนครอบครองอย่างถูกกฎหมาย

    อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้ว นายเปรมชัยถูกฟ้องใน 6 ข้อหา คือ 1. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในตัวหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาที่ 2. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 4. ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 5. ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น นำพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายและ 6. ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

    ทั้งนี้ ได้มีการขึ้นศาลสืบพยานโจทย์นัดแรกไปเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2561 และปัจจุบันคดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด

    “วิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของคิงเพาเวอร์และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ตี้ ฮ.ตกเสียชีวิต

    นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้

    วันที่ 29 ต.ค. 2561 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า จากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ของนายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ตก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2561 ที่บริเวณตกที่ลานจอดรถสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดียม เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้ โดยยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการ

    ล่าสุด สโมสรเลสเตอร์ซิตี้ ออกแถลงการณ์เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 29 ตุลาคม 2561 (ตามเวลาประเทศไทย) ยืนยันการเสียชีวิตของนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของสโมสร จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกข้างสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียมแล้ว

    แถลงการณ์ระบุว่า “นับเป็นความโศกเศร้าอย่างที่สุดและเป็นความรู้สึกของหัวใจที่แตกสลาย เมื่อเราต้องยืนยันว่า วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรของพวกเราเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกนอกสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม โดยผู้โดยสารและนักบินรวม 5 รายบนเครื่องไม่มีใครรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้

    “ทุกๆ คนที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวศรีวัฒนประภา และผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้

    “การจากไปของคุณวิชัย หมายถึงการสูญเสียบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้ซึ่งอุทิศความรักให้ครอบครัวและผู้ใต้บังคับบัญชา สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เปรียบเหมือนครอบครัวภายใต้การนำของเขา และการสูญเสียครั้งนี้ก็นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสมือนหนึ่งการสูญเสียบุคคลในครอบครัว ทุกๆ คนจะพยายามรักษาวิสัยทัศน์การบริหารงานสโมสรในทิศทางที่เป็นอยู่ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสมบัติตกทอดจากคุณวิชัยแล้ว

    “หลังจากนี้ สโมสรจะเปิดให้แฟนบอลที่ต้องการร่วมแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิตได้ลงนามในหนังสือไว้อาลัยที่สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ของวันอังคารที่ 30 ตุลาคม

    “สำหรับแฟนบอลที่ไม่สามารถเดินทางไปยังสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ได้ แต่ต้องการร่วมส่งข้อความไว้อาลัย สามารถลงนามผ่านหนังสือไว้อาลัยออนไลน์ซึ่งจะเปิดให้บริการทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสร lcfc.com ต่อไป

    “สำหรับเกมการแข่งขันฟุตบอลคาราบาวคัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งเลสเตอร์จะพบกับเซาแธมป์ตันในวันที่ 30 ตุลาคม รวมทั้งแมตช์เตะทีมสำรองพบฟายนอร์ดในฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อินเตอร์เนชั่นแนล คัพ วันเดียวกัน ต่างจะเลื่อนโปรแกรมแข่งขัน

    “ทุกๆ คนที่สโมสรแห่งนี้ต่างรู้สึกซาบซึ้งในความห่วงใยและกำลังใจจากครอบครัวลูกหนังทั่วโลกที่ร่วมส่งข้อความแทนกำลังใจ และแสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้เป็นอย่างยิ่ง”

    อ่านข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้ที่นี่

    ชื่นมื่น ผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้ รับปาก จะไม่มีสงครามระหว่างสองชาติอีกต่อไป

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊กบีบีซีไทย (http://bit.ly/2w26yrp)

    27 เม.ย. 2561 ทั่วโลกต่างจับตาดูการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระกว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งก็ได้สร้างความฮือฮากันตั้งแต่การพบกันระหว่าง คิม จองอึน ประธานาธิบดีของเกาหลีเหนือ และ มุน แจอิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดย มุน แจอิน นั้นมายืนรอ คิม จองอึน อยู่ที่เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งเมื่อพบกันแล้วนั้น คิม จองอึน ที่ข้ามเส้นแบ่งเขตแดนมาจับมือกับ มุน แจอิน ก็ได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ มุน แจอิน ข้ามเส้นแบ่งเขตแดนไปถ่ายรูปร่วมกันในฝั่งเกาหลีเหนือบ้าง ก่อนที่ทั้งสองจะจูงมือกันเดินข้ามเส้นแบ่งเขตแดนมายังฝั่งเกาหลีใต้เพื่อดำเนินการประชุมร่วมกันต่อไป

    สำหรับผลของการประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้นั้น เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างราบรื่น รัฐบาลทั้งสองประเทศเห็นชอบร่วมกันว่าจะจัดให้มีการตั้งสำนักงานร่วมเพื่อประสานงานระหว่างกันในเขตแกซอง ของเกาหลีเหนือ โดยสำนักงานดังกล่าวจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ทางการของสองประเทศและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างราบรื่น

    นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ร่วมยังมีพันธสัญญาร่วมกันอย่างอื่น เช่น

    • ยุติพฤติกรรมความรุนแรงทั้งปวงระหว่างเกาหลีเหนือและใต้
    • เปลี่ยนเขตปลอดทหารเป็นเขตแห่งสันติภาพ โดยการยุติการออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อนับแต่วันที่ 1 พ.ค. 2561 เป็นต้นไป
    • จัดงานรวมญาติสำหรับชาวเกาหลีที่พลัดพรากในบริเวณเขตชายแดน
    • เชื่อมต่อและปรับปรุงรางรถไฟและถนนข้ามเขตแดน
    • ให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬาอย่างต่อเนื่อง เช่น เอเชียน เกมส์ ในปีนี้

    อย่างไรก็ดี เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานด้วยว่า คิม จองอึน ไม่ได้กล่าวถึงการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือในแถลงการณ์ของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ในปฏิญญาปันมุนจอมที่ทั้ง 2 ฝ่ายลงนามร่วมกัน ได้ยืนยันว่าทั้ง 2 ชาติมีเป้าหมายร่วมกันต่อการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์

    ปฏิญญาดังกล่าวระบุด้วยว่า:

    “เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือมีมุมมองตรงกันว่า มาตรการที่เกาหลีเหนือได้เริ่มต้นนั้นมีความหมายและสำคัญต่อการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งตกลงที่จะทำตามหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายเพื่อสิ่งนี้”

    “เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือตกลงว่าจะแสวงหาการสนับสนุนและความร่วมมือจากชุมชนนานาชาติ สำหรับการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี”