ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯผุดไอเดีย “เที่ยววันธรรมดา” – มติ ครม.เปิดลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกัน” 15 ก.ค.นี้

นายกฯผุดไอเดีย “เที่ยววันธรรมดา” – มติ ครม.เปิดลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกัน” 15 ก.ค.นี้

30 มิถุนายน 2020


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

นายกฯผุดไอเดีย “เที่ยววันธรรมดา” แจงองค์การค้า สกสค. เลิกจ้าง 961 คน เป็นเรื่องปรับโครงสร้างภายใน มติ ครม.เปิดลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกัน” 15 ก.ค.นี้ กสทช. จัดสรรกล่องทีวีดิจิทัลกว่า 1 ล้านกล่อง รับเปิดเทอม

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

ชี้ ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อิงสถานการณ์โควิดฯ – ยันไม่ปิดกั้น ปชช.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 5 ที่อนุญาตให้เปิดกิจการอาบอบนวดได้แต่ห้ามค้าประเวณี มีการตั้งข้อสังเกตว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตรงนี้ต้องคำนึงถึงว่าจะสร้างความสมดุลได้อย่างไรกับภาคเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการ ผู้รับบริการ และผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อาชีพเหล่านี้ ส่วนเรื่องการห้ามค้าประเวณี ที่สังคมมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะปฏิบัติได้จริงหรือไม่นั้นคงต้องไปตรวจบ้าง ในสถานที่ก็ขอให้ระมัดระวังก็แล้วกัน ถ้าถูกจับได้ก็ต้องถูกลงโทษ เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติตามมาตรการ

ทั้งนี้ กฎหมายการห้ามค้าประเวณีมีอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่คนปฏิบัติทั้งสิ้น กฎหมายมีทุกตัวแล้วทำไมต้องเพิ่มภาระเจ้าหน้าที่ให้ไปตรวจอีก ถ้าเรารู้จักว่าจะต้องทำตัวอย่างไรในช่วงนี้ก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้มากที่สุด เพราะการผ่อนคลายระยะที่ 5 เป็นความเสี่ยงสูง รัฐบาลยอมรับความเสี่ยงเหล่านี้ ซึ่งเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมในการรับสถานการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการสาธารณสุข ด้านการบริการ ตรวจโรค รักษาโรค ทั้งหมดได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว เราถึงกล้าที่จะผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 5

“อยู่ที่คนเราทุกคน รู้อยู่แล้วว่าอะไรคือความเสี่ยง อะไรคืออันตราย อย่าไปเผลอลืมตัว เมื่อดื่มสุราไปแล้วก็มักจะไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายของพวกเรา เป็นห่วงทุกคน มาตรการอาจจะเยอะไปบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้ามันดีก็จะสามารถผ่อนคลายอย่างอื่นได้อีก แต่กฎหมายปกติยังคงต้องใช้อยู่ เหมือนกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งสามารถให้เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกันได้ เพราะบางทีเป็นกฎหมายเฉพาะกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เจ้าหน้าที่ส่วนที่ทำไม่พอ ก็ต้องบูรณาการคนเข้าไปทำงาน ซึ่งต้องใช้กฎหมายรวม นั่นคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน หลายพื้นที่อาจมองว่าตรงจุดนี้ไม่ติดเชื้อ แพร่ระบาดน้อย ไม่เห็นควรต้องใช้ พ.รกก.ฉุกเฉินฯ แต่โอกาสจะแพร่ไปที่อื่นมันมีหรือไม่ ที่จะไปรับมาจากพื้นที่อื่น จึงต้องมีมาตรการกลางเอาไว้  ไม้ให้ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน”

เมื่อถามว่า มองว่าการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะเป็นการแช่แข็งเศรษฐกิจประเทศ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เอาอะไรมาพูดว่าเป็นการแช่แข็ง พูดอย่างนั้นคงไม่ถูกต้องมากนัก เพราะวันนี้ มีสถานการณ์โควิด-19 เป็นหลักอยู่แล้วเสริมเพิ่มเติมจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งตนได้ดูในต่างประเทศว่ามีมาตรการอะไรรองรับบ้างกับสถานการณ์โควิด ที่เกิดขึ้นทั้งการปรับลดดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ยธนาคารกลาง เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน ตนก็ทำแบบที่เขาทำ ไม่ได้ผิดแบบไปจากเขาเลย มีแต่รายละเอียดยิบย่อยที่เราต้องทำเพิ่มเติม หลักการสำคัญ เราทำเหมือนกันคนอื่นเขาหมด ทั้งนี้ ต้องดูพื้นฐานของเราว่าเข้มแข็งพอหรือยัง ซึ่งต้องมาจากรวมไทยสร้างชาติ ทุกคนต้องร่วมมือกัน ช่วยกันแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์

“ผมตำหนิใครไม่ได้อยู่แล้ว ต้องรับฟังจากทุกคน ขอบคุณหลายคนตั้งใจดีอยู่แล้ว แต่บางทีไม่เข้าใจกัน ก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป จนทำให้ ประเด็นสำคัญหายไปหมด หลายเรื่องด้วยความไม่เข้าใจแล้วไปพูดกันต่อ เลยทำให้วุ่นวายไปหมด” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

พร้อมกันนี้ยังกล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศว่า ยังคงมีรุนแรงอยู่ ซึ่งตนได้รับรายงานตัวเลขติดเชื้อสูงถึง 10 ล้านคน ตายกว่า 500,000 คน ดังนั้นต้องไม่ประมาท ประเทศไทยแม้ว่าจะติดเชื้อยอดรวม 3,000 กว่า ดูมันน้อย แต่หากมีการแพร่ระบาดจะทำอย่างไร ซึ่งวันนี้การตรวจสอบที่พบอยู่ในสถานที่กักกันของรัฐ แต่ก่อน 3 วัน 7 วันเจอ ตอนนี้เข้าไปเจอในวันที่ 11 อะไรทำนองนี้ ทุกอย่างประมาทไม่ได้ ทั้งการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง การมั่วสุม ใกล้ชิดกัน หรือใช้แก้วน้ำเดียวกัน

นายกกรัฐมนตรีระบุว่า สำหรับมาตรการที่จะออกมาหลังต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในรอบนี้นั้น จะเป็นข้อกำหนดที่สอดคล้องกับกิจกรรม กิจการที่ผ่อนคลาย ข้อกำหนดบางอันยกเลิกไปและมีการเพิ่มบางส่วนเข้ามา เพื่อสุขภาพของพวกเราเองทุกคน ไม่ใช่เพื่ออำนาจตน ทุกคนมองแต่อำนาจ อำนาจ อำนาจ อำนาจมันอยู่กับเราไม่นาน ถ้าเราไม่มีวิธีการทำอย่างโปร่งใส เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งตนพยายามทำตามกฎหมาย ไม่ใช้วิธีนอกกฎหมายอยู่แล้ว

ต่อคำถามถึงการออกมาคัดค้าน กรณีที่รัฐบาลขยายเวลาการประกาศใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อคุมสถานการณ์โควิด-19 พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบประเด็นดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า กรณีดังกล่าวมีเหตุผลความจำเป็นอยู่แล้ว แต่ยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้นประชาชนเลย ประชาชนจะชุมนุมก็ไปขออนุญาตชุมนุมตาม พ.ร.บ.การชุมนุม ในส่วนตรงนี้ไม่ต้องการให้คนไปรวมกลุ่มกันจำนวนมาก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด ซึ่งก็แล้วแต่พวกท่าน จะกลัวหรือไม่กลัวก็ไม่รู้ ตนไม่ได้ไปขู่อะไรอยู่แล้ว ขอให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของการใช้กฎหมายด้วย ตนพร้อมรับฟังทุกเรื่อง

ย้ำไม่ยุ่งเรื่องในพปชร. ชม “อุตตม-สนธิรัตน์” ทำงานดีตลอด

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตหัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อดีตเลขาธิการพรรค หลุดจากรายชื่อไป ได้มีการพูดคุยกับทั้งสองคนหรือไม่ โดยย้อนถามกลับว่า “คุยเรื่องอะไร ท่านก็ทำงานอยู่กับผมดีมาตลอดและก็มีการสั่งงานในห้องประชุม แล้วทำไมต้องคุย เป็นเรื่องของพรรค”

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่ามีข้าราชการในหน่วยงานใส่เกียร์ว่าง เพราะจะเปลี่ยนนายใหม่แล้ว พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ใครว่าง ถ้าใครว่างก็ต้องลงโทษไป เพราะทุกคนต้องทำงานจนถึงวันสุดท้าย ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีหรือเป็นอะไรก็ตามก็ต้องทำงานเพราะเป็นข้าราชการของรัฐไม่เกี่ยวกัน

ต่อคำถามมีการเปลี่ยนม้ากลางศึกแบบนี้จะดีหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักอย่างเลย คุณก็พยายามถามนำอยู่นั่นแหละ ไม่ตอบแล้ว พอแล้ว ถามเป็นอยู่อย่างเดียว”

เมื่อถามว่า มีการปั่นกระแสเรื่องการให้นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า เรื่องในพรรคไม่เกี่ยวกับตน

ปัดข่าวลือ ดึง “ฌอน” โปรโมตรัฐบาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีสังคมตั้งข้อสังเกตถึงกระแสข่าวการใช้งบประมาณเพื่อประชาสัมพันธ์ของรัฐไปจ้างนายฌอน บูรณะหิรัญ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจหรือไลฟ์โค้ชชื่อดัง มาประชาสัมพันธ์เพื่อปรับภาพลักษณ์ของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานยุทธศาสตร์และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพียงสั้นๆ ว่า “ผมให้ตรวจสอบแล้วไม่มี”

ผุดไอเดีย เที่ยววันธรรมดา

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถาม ครม. อนุมัติโครงการท่องเที่ยวและแพ็กเกจ ”กำลังใจ” เป็นการตอบแทนบุคลากรที่ปฏิบัติงานแนวหน้าในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพส่วนตำบล (รพ.สต.) ที่ต้องการให้เกิดการท่องเที่ยวขึ้นมา

ทั้งนี้ ตนได้สั่งการไปแล้วให้มีการจัดประชุมสัมมนาที่ต่างจังหวัด ทุกกระทรวงต้องมีการรายงานผล ซึ่งงบประมาณบางส่วนยังมีอยู่เพื่อส่งเสริมรายได้ของโรงแรม การจัดสรรที่พักต่างๆ แต่ก็ต้องมีมาตรการป้องกันโควิด-19 ด้วย

“ก็ให้ไปดูว่าในวันข้างหน้าจะมีการปรับการท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้บ้างหรือไม่ โดยให้ไปทำงานช่วงอื่นทดแทน ไม่เช่นนั้นวันเสาร์-อาทิตย์ อย่างที่หัวหิน เต็มไปหมด นี่คือการคิดแนวใหม่ของเรา”

แจงองค์การค้าฯ เลิกจ้าง 961 คน เป็นเรื่องปรับโครงสร้างภายใน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่องค์การค้า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ จำนวน 961 คน ว่า ตนได้รับทราบแล้ว เป็นการปรับโครงสร้างภายในของ สกสค. ถ้าประเมินแล้วมีอะไรก็เป็นแผนงานปรับปรุงภายในกระทรวงศึกษาธิการไปว่ากันไป โดยต้องมีการดูแลเยียวยาให้เหมาะสม รวมถึงต้องดูเหตุดูผลของกันและกัน

“หลายอย่างต้องปรับ ถ้าไม่ปรับก็อุ้ยอ้ายอยู่อย่างนี้ เราต้องพยายามปรับลดงบประมาณ บุคลากรภาครัฐ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูความพร้อมในส่วนไหนที่ทำได้ก็ทำก่อน จะได้เหลืองบฯไปทำอย่างอื่นบ้าง ก็ต้องเห็นใจรัฐบาล ทำทุกอย่างก็ต้องมีข้อขัดแย้งแน่นอน ซึ่งรัฐบาลก็มีมาตรการเยียวยา ไม่ว่าจะการบินไทย ขสมก. หรือต่างๆ ทั้งหมด เพราะบุคลากรเยอะพอสมควร ขอร้องให้ช่วยกัน รัฐบาลจะดูแลให้ดีที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานเสนอมา”

  • พิษโควิดฯ องค์การค้า สกสค. เลิกจ้างพนักงาน 961 คน
  • สั่ง ศธ.เตรียมมาตรการรับเปิดเทอม 1 ก.ค.นี้

    พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ในที่ประชุม ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ชี้แจงมาตรการต่างๆ มาแล้ว โดยเฉพาะนักเรียนชายขอบ ยังไม่อนุญาตให้เข้ามาจนกว่าจะมีมาตรการที่รัดกุมในการเปิดโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่มีความพร้อมแล้ว 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนโรงเรียนที่ยังไม่พร้อมก็ยังไม่เปิดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้

    พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เราจะมีระบบการศึกษาของเราอย่างไร อย่างเช่นการเรียนที่บ้าน การศึกษาออนไลน์ และการปรับเวลาเรียน เหลื่อมเวลาโรงเรียน หรือเหลื่อมเวลาเรียน ซึ่งมีสูตรสำเร็จออกมาว่าเรียน 5 วันพัก 9 วัน เขามีสูตรอยู่ ตอนนี้ต้องทดลองแนวใหม่ในเรื่องการศึกษาของเรา ระบบของเราให้ได้และการศึกษาระบบเดิมๆ ก็ต้องทำให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นทั้งเรื่องการปรับองค์กร บุคคลากรต่างๆ ให้มีความตื่นตัวในเรื่องระบบการศึกษาของเราเพื่อปรับปรุงมาตรฐาน ยกระดับให้มากยิ่งขึ้น ที่ยังไม่พร้อม ยังต้องมาปรับปรุงก็ยังอีกเยอะเหมือนกัน อยู่ที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกัน

    “วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดทุกโรงเรียนต้องมีมาตรการโดยครู ผู้ปกครอง ต้องใช้หน้ากาก ที่เป็นห่วงก็คือเด็กเล็กๆ ที่ยังซนๆ อยู่ ครูและผู้ปกครองต้องย้ำเตือนกับเด็กเสมอว่าต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นในช่วงที่ต้องถอด ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าช่วงไหน ดุลยพินิจของโรงเรียนต่างๆ ก็ต้องดูแล คือจะต้องเป็นโรงเรียนที่ปลอดโควิด เหมือนกับโรงเรียนต่างๆ”

    เตรียมพร้อมรับศึกอภิปรายงบฯ 64 ชี้ “โปร่งใส ตรวจสอบได้”

    พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการเตรียมความพร้อมในการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี 2564 ว่า เรามีการเตรียมความพร้อมไว้ให้มากที่สุด และตนก็พร้อมรับฟังสาระ ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ แต่ทุกคนจะต้องเข้าใจระบบของประมาณด้วย การพูดจาอะไรก็ขอให้เกียรติซึ่งกันและกัน เหมือนที่ตนให้เกียรติทุกคน

    การทำงานวันนี้รัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่อย่าลืมว่าวันนี้ประเทศไทยอยู่ด้วยอำนาจ 3 อำนาจ คือ อำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ใช้ อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเป็นเรื่องของสภา และอำนาจตุลาการก็เป็นเรื่องของศาลและกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นหน้าที่ของใครก็ถือเป็นหน้าที่ของมันวันนี้ก็ได้สั่งการให้มีการทบทวนกฎหมายที่เสนอผ่าน ครม. ไปแล้ว

    “ช่วงปีที่ผ่านมาจำนวน 48 ฉบับเพิ่งสามารถประกาศใช้ได้เพียง 9 ฉบับ จึงอยากให้ความสำคัญในเรื่องกฎหมายทั้งเรื่องกฎหมายความเป็นธรรม กฎหมายการค้าการอำนวยความสะดวก ถ้าไม่สามารถทำกฎหมายเหล่านี้ออกมาได้การเดินหน้าธุรกิจก็ไปไม่ได้ ก็จะมีผลกระทบต่อรายได้ของประเทศ รายได้ของประชาชน ดังนั้นทุกคนต้องให้ความสำคัญในส่วนงานของตนที่รับผิดชอบรัฐบาลก็พยายามทำหน้าที่ของรัฐบาลให้ดีที่สุด”

    พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องการใช้จ่ายงบประมาณที่ผ่านมาก็พูดกันเยอะว่าต้องใช้อย่างคุ้มค่า ประหยัด มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมรับการตรวจสอบ หลักการที่ตนได้มอบนโยบายไปเสมอคือทุกอย่างจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ ทั้งองค์กรตรวจสอบภายในภาครัฐและองค์กรอิสระ จะเห็นได้ว่าวันนี้มีหลายคดีที่เข้าสู่การตัดสินคดีไปแล้ว ตนก็เห็นใจแต่กฎหมายต้องเป็นกฎหมายทุกคนต้องยอมรับ

    “ผมเองในฐานะผู้นำรัฐบาลไม่เคยปฏิเสธความรับผิดชอบ ทำดีก็มี ทำแล้วยังไม่ดีก็มี แต่ยืนยันว่าผมทำทุกอย่างทุกเรื่องที่ได้รับผลกระทบ ได้รับคำร้องเรียนจากประชาชนให้มีการตรวจสอบทุกอย่าง ซึ่งก็ต้องเคารพกติกากัน บ้านเมืองก็จะไม่มีปัญหา เราอย่าไปเอาแบบอย่างที่อื่นเลยเพราะความเป็นมามันคนละอย่างกัน ในส่วนของประเทศไทยเราต้องดูประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของเรา แล้วไปเปรียบเทียบกับประเทศมหาอำนาจว่าประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์การก่อกำเนิดประเทศเป็นมาอย่างไร มันต่างกันทั้งหมด หลายอย่างเรานำมาเป็นแบบอย่างได้ บางอย่างเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ แต่เอายังไม่ได้ทั้งหมดทุกอันเพราะมันต่างกัน สภาพลักษณะภูมิประเทศ คน วัฒนธรรมประเพณี อัตลักษณ์ มันไม่เหมือนกันทั้งหมด ถ้าเหมือนกันทั้งหมด สูตรเดียวก็ทำได้หมด วันนี้เราจึงต้องใช้คำว่าเทเลเมตรคือทำงานให้ตรงกับความต้องการทำงานให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย”

    ทยอยอนุมัติงบฯฟื้นฟู 4 แสนล้าน ย้ำใช้ทีเดียวหมดไม่ได้

    พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. มีการหารือถึงงบประมาณ และเงินทุนต่างๆ ที่ให้เอสเอ็มอีเพื่อที่ประชาชนจะได้เข้าถึง เพราะบางธุรกิจหลายคนบอกว่าเข้าไม่ถึง สาเหตุก็เพราะบางคนไม่ได้ขึ้นทะเบียนอะไรเลย ดังนั้นก็เสี่ยงกับที่จะให้กู้ เพราะเป็นเงินฝากของประชาชนทั้งสิ้น ทุกคนต้องเข้าใจในเหตุผล ดังนั้นถ้าพูดโดยไม่มีหลักเกณฑ์หรือหลักการก็จะไปกันใหญ่ กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่พยายามดูแล ทั้งหมดต้องเคารพกติกาโดยรวม

    “จะมาบอกเพียงว่าธนาคารร่ำรวย แต่อย่าลืมว่าธนาคารก็ต้องทำงานหนักและมีความเสี่ยงสูงเรื่องนี้ตนไม่ได้เข้าข้างใคร วันนี้เราต้องรวมไทยสร้างชาติ จะต้องมีความร่วมมือกันระหว่างเอกชนภาครัฐ และที่ตนขอความร่วมมือกับบรรดาสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่นั้นไม่ได้ไปขอเงิน เพียงแต่ขอความร่วมมือให้ไปช่วยเหลือประชาชน วันนี้หลายอย่างมีความก้าวหน้า ซึ่งเป็นเรื่องของการรวมไทยสร้างชาติ ถ้ามัวแต่ไปโวยวาย โทษกันไปมาก็จะไม่ได้อะไร วันนี้เราต้องคิดแบบสร้างสรรค์ รัฐบาลก็ทยอยดำเนินการเพื่อไปสู่เป้าหมายอาจต้องใช้เวลาบ้าง”

    พร้อมกล่าวย้ำว่า ในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงงบฟื้นฟู ได้มอบนโยบายไปแล้วว่าให้มีการเสนอโครงการมาทีละเดือน เพื่อจะได้มีการพิจารณาและประเมินผล ไม่ได้ใช้ทีเดียวให้หมดทั้ง 4 แสนล้านบาท การทยอยเสนอโครงการเข้ามาก็เพื่อประเมินว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี จะได้แก้ไขได้ทันเวลา รวมทั้งได้ย้ำเตือนเรื่องการตรวจสอบการทุจริต ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย ทุกโครงการต้องมีรายละเอียดของแผนงานไม่ใช่เสนอเพียงกระดาษแผ่นเดียว อีกทั้งในบางโครงการก็ต้องใช้งบประมาณต่อเนื่องหลายคนอาจไม่เข้าใจระบุว่าเป็นโครงการที่เสนอซ้ำ เราต้องใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องไม่ว่าจะเป็นเงินกู้หรือเงินที่รับโอนงบประมาณ

    “ผมยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่มีนโยบายในเรื่องการสนับสนุนการทุจริตอะไรทั้งสิ้น ถ้ามีก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามอยากจะขอให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่บ้าง ทั้งข้าราชการ ข้าราชการการเมือง จะเอาแต่เรื่องไม่ดีมาติติงทุกคนก็จะหมดกำลังใจไม่อยากทำงาน ดังนั้นต้องส่งเสริมขวัญกำลังใจคนทำงานที่ดีๆ ให้มีกำลังใจทำงานให้กับทุกคน ไม่ใช่เพื่อรัฐบาลอย่างเดียว เพราะประเทศไทยคือคนไทยทุกคน”

    มติ ครม. มีดังนี้

    ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
    ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

    ลดเงินนำส่งกองทุนแบงก์รัฐ 4 แห่ง เหลือ 0.125%

    ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างประกาศเรื่องอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยให้ปรับลดอัตราการนำส่งของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) จากเดิมที่กำหนดให้นำส่งไว้ที่ 0.25% ของยอดเงินฝากจากประชาชน เหลือ 0.125% ของยอดเงินฝากจากประชาชนในงวดปี 2563-2563 ที่ต้องนำส่ง

    ต่ออายุส่งเกษตรกรไทยไปทำงานอิสราเอล

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยทำงานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล  มีระยะเวลา 2 ปี และจะมีการต่ออายุอัตโนมัติ ยกเว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกยกเลิกความตกลงฯ ซึ่งบุคคลซึ่งได้รับการตรวจลงตราที่ออกภายใต้กรอบของความตกลงฉบับนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการบอกเลิก

    ทั้งนี้ กรมการจัดหางานจะเป็นจัดส่งแรงงานไทยเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอล ซึ่งแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอลจะได้รับการอำนวยความสะดวก คุ้มครองสิทธิ  และบริหารจัดการให้เดินทางกลับประเทศเมื่อครบกำหนดระยะเวลาจ้างงาน  เป็นการช่วยป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ สนองตอบต่อนโยบายการไปทำงานที่มีคุณค่า (decent work) ด้วย

    “ที่ผ่านมาแรงงานไทยสามารถสร้างรายได้จุนเจือครอบครัว สามารถนำความรู้และทักษะด้านการเกษตรกลับมาประกอบอาชีพ  ตั้งแต่ปี 2555- 2563 ได้ส่งแรงงานไทยไปทำงานภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อการจัดหางาน แล้วทั้งสิ้น  40,082 คน” ศ. ดร.นฤมล กล่าว

    กสทช.แจกกล่องทีวีดิจิทัลกว่า 1 ล้านกล่อง รับเปิดเทอม

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม. รับทราบแนวทางการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้ปรับระบบการจัดการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งรวมถึงการจัดการเรียนการสอนทางไกล โดยสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายสนับสนุนกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล เพื่อการศึกษา 1,158,931 กล่อง จัดสรรให้สถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 1,030,798 กล่อง กระทรวงมหาดไทย จำนวน 127,867 กล่อง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 266 กล่อง เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการสอนทางไกลตั้งแต่การเปิดภาคเรียนการศึกษา 1 กรกฏาคม นี้

    ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขผลการเรียน และอนุมัติการจบการศึกษาปี 2562 หลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563 ให้ถือเป็นการอนุมัติให้จบการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โดยไม่ขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา 2549 โดยให้ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยด้วย

    “กรณีนักเรียนเรียนจากที่บ้านให้โรงเรียนจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ปกครอง และนักเรียน สำหรับค่าอาหาร รวมทั้งให้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ที่จัดการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ทั้ง 12 แห่ง สามารถกำหนดรูปแบบวิธีการและจ่ายค่าอาหาร ค่าอาหารเสริมสำหรับนักเรียนที่เรียนผ่านระบบออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป รวมทั้งให้อุดหนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดสำหรับการเรียนการสอนแบบผสมผสาน เช่น ค่าอุปกรณ์การเรียนการสอนออนไลน์ ค่าเช่าสัญญาณอินเตอร์เน็ต อุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดสำหรับนักเรียน ทั้งนี้ โรงเรียนสามารถเลือกรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ทั้งการเรียนในชั้นเรียน การเรียนผ่านโทรทัศน์ และการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลรวมทั้งการสอนทางไกล ตามความเหมาะสมและบริบทของโรงเรียน”

    เคาะจ่ายเยียวกลุ่มเปราะบางครั้งเดียว 3,000 บาท

    ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบสืบเนื่องจากเคยอนุมัติเงินช่วยเหลือในสถานการณ์โควิด-19 แก่กลุ่มผู้เปราะบาง ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้พิการที่ยังไม่เคยได้รับการเยียวยา 5,000 บาท โดยอนุมัติให้เดือนละ 1,000 บาท 3 เดือนตั้งแต่พฤษภาคมถึงกรกฎาคม รวมเป็นเงิน 3,000 บาท แต่ด้วยระเบียบการเบิกจ่ายของกรมบัญชีกลางทำให้ไม่สามารถโอนเงินไปได้ตามเป้าหมาย จึงเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินเป็นครั้งเดียว 3,000 บาทในเดือนกรกฎาคม 2563 แทน

    เห็นชอบกคช. สร้างบ้านเช่า 100,000 หลัง ใน 5 ปี

    ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. เห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยมาเสนอ โดยเป็นโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย 20 ปี ครอบคลุมทั้งราชการที่มีรายได้น้อย คนมีรายได้น้อย บุคคลทั่วไป ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ราชการเกษียณ โดยมีเป้าหมายสร้าง 100,000 หลังทั่วประเทศและใช้พื้นที่ของการเคหะที่มีอยู่แล้ว ระยะเวลา 5 ปี 2564-2568 โดยตั้งเป้าหมายว่าในเดือนก.ค.ของทุกปีจะมีผู้มีบ้านเพิ่มขึ้นปีละ 20,000 ครอบครัว หรือจะเสร็จปีละ 20,000 หลัง และคาดว่าจะประหยัดค่าเช่าได้ประมาณครอบครัวละ 1,500 บาทต่อเดือ

    “โครงการนี้เป็นโครงการตามแผนแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัย 20 ปีตั้งแต่ 2560-2579 ภายใต้วิสัยทัศน์คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 และช่วยเหลือประชาชนที่ต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากในช่วงโควิดนี้ โดยโครงการนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่ใช้รายได้หรือการกู้เงินของการเคหะแห่งชาติเอง และทำให้เกิดการจ้างงานในชุมชนต่างๆด้วย เพราะต้องใช้แรงงานในท้องถิ่น เป็นบ้านแบบที่สร้างง่ายและเสร็จเร็ว นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาศวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี”

    เพิ่มขนส่งสินค้าผ่าน “แกรป-เคอร์รี่” เป็นบริการควบคุม

    ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. เห็นชอบสินค้าและบริการควบคุมในปี 2563 รวมทั้งหมด 51 รายการ แบ่งเป็น 46 สินค้า และ 5 บริการ เทียบจากในปีที่แล้วที่ได้กำหนดสินค้าและบริการควบคุมไว้ 52 รายการ โดยมีการปรับเพิ่มเข้ามา 1 รายการ ปรับออก 2 รายการ และปรับรายละเอียดอีก 2 รายการ

    นอกจากนี้ ยังมีการปรับรายละเอียดอีก 2 รายงาน ได้แก่ 1) จากรถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง และรถบรรทุก โดยปรับรถยนต์นั่งออก เพราะมีหลากหลายและไม่กระทบกับคนทั่วไป 2) จากบริการขนส่งสำหรับธุรกิจออนไลน์ เป็นบริการซื้อขายและหรือบริการขนส่งสำหรับธุรกิจออนไลน์ โดยทำให้การบริการแบบ Grab /Line man/ Kerry  ต่างๆอยู่ภายใต้การควบคุม เนื่องจากโควิดทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทำให้บริการแบบนี้มีความาสำคัญต่อประชาชนมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มกาก DDGS ซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ใช้ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ให้เป็นสินค้าควบคุมเพิ่มเติม เนื่องจากมีการนำเข้ามากขึ้นจนอาจจะกระทบต่อเกษตรกรทั้งปศุสัตว์และข้าวโพดเลี้ยงสัตว

    ขณะเดียวกันได้ยกเลิกสินค้า 2 ประเภทออกจากสินค้าควบคุม ได้แก่ น้ำยาปรับผ้านุ่มออกจากสินค้าควบคุม เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ในทุกครัวเรือนและมีการแข่งขันสูง มีทางเลือกขึ้นอยู่พฤติกรรมของผู้บริโภค อีกประเภทคือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า เนื่องจากมีการแข่งขันสูงและมีมากกว่าความต้องการ ทำให้ราคาไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

    “ส่วนประกาศสินค้าควบคุมพวกหน้ากากและเจลล้างมือเป็นประกาศเพิ่มเติมและมีอายุ 1 ปีอยู่แล้ว ปัจจุบันก็เป็นสินค้าควบคุมอยู่ และในอนาคตถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือจำเป็นอย่างไรต้องเข้า ครม. พิจารณาอีกครั้ง”

    เร่งรัดโครงการลงทุนด้านพลังงานกว่า 2 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ

    ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. ได้รับทราบมาตรการช่วยเศรษฐกิจ “พลังงานสร้างไทย” ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนที่จะเร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบด้วยหลายมาตรการ

    เช่น การเร่งรัดการลงทุนด้านพลังงาน รวมกว่า 200,000 ล้านบาท ผ่านโครงการที่สำคัญ เช่น การลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียม การรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียม การลงทุนพัฒนาและปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้าให้พร้อมรองรับพลังงานหมุนเวียน (Grid Modernization) และศึกษาความเป็นไปได้ของการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการขายไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งจะเกิดการจ้างงานกว่า 10,000 คน

    ทั้งนี้ การกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โดยมุ่งดำเนินการใน 3 ด้าน คือ

    1. การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ที่คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในปี 2563-2564 มูลค่ากว่า 3,700 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานกว่า 1,000 คน
    2. ด้านพลังงานทดแทน โครงการไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ที่จะเริ่มประกาศชวนชวนผู้สนใจภายในปี 2563 และคาดว่าจะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ภายในปี 2564 คาดว่าจะทำให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและเกิดรายได้หมุนเวียนในปี 2563 -2564 กว่า 30,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานกว่า 8,000 คน และ
    3. ด้านนวัตกรรม คาดว่าจะก่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน ที่สร้างมูลค่าการลงทุนในปี 2563-2564 รวมกกว่า 470 ล้านบาท เกิดการจ้างงงานกว่า 350

    “กระทรวงพลังงานจะเร่งรัดการลงทุนด้านพลังงาน รวมกว่า 200,000 ล้านบาท ผ่านโครงการที่สำคัญ เช่น การลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียม การรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียม การลงทุนพัฒนาและปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้าให้พร้อมรองรับพลังงานหมุนเวียน (Grid Modernization) และศึกษาความเป็นไปได้ของการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการขายไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งจะเกิดการจ้างงานกว่า 10,000 คน”

    เปิดลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกัน” 15 ก.ค.นี้

    นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณจำนวน 22,400 ล้านบาท สำหรับโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยใช้เงินจากพ.ร.ก.กู้เงินฟื้นฟูฯ 4 แสนล้านบาท ประกอบด้วยโครงการกำลังใจ กรอบวงเงิน  2,400 ล้านบาท และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2563

    โดยโครงการเราเที่ยวด้วยกันเป็นการผนวกรวม โครงการเที่ยวปันสุข และเราไปเที่ยวกัน เข้าด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่ารัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรมที่พัก จำนวน 5 ล้าน (คืน) ,สนับสนุนค่าใช้จ่ายร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยว 5 ล้าน (สิทธิ์) และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 2 ล้านใบ ทั้งนี้ไม่รวมการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะอื่นๆ

    • ธนาคารกรุงไทยจะจัดทำแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร โฮมสเตย์ สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจตามกฎหมาย ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563
    • ส่วนประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะสามารถชำระค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียน ผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2563

    “เนื่องจากรถโดยสารมีจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบการเดินทางข้ามจังหวัดได้ และจัดทำแพล็ตฟอร์มเพื่อรองรับได้ทันภายในกำหนดเวลา จึงเหลือการสนับสนุนเพียงตั๋วเครื่องบินเพียงอย่างเดียว ในจำนวน 2 ล้านใบ โดยจะได้รับสิทธิไม่เกิน 1,000 บาทต่อที่นั่ง และในการจองห้องพัก 1 ห้องจะได้รับสิทธิบัตรโดยสารจำนวนไม่เกิน 2 ใบ โดยต้องสำรองจ่ายไปก่อนและรัฐจะคืนเงินให้ในภายหลัง”

    โดยคาดว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกันจะสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวและสารการบินโดยประมาณไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท และรายได้สู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมไม่น้อยกว่า 26,127 ล้านบาทตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อยกว่า 726,127 แสนล้านบาท

    สำหรับโครงการกำลังใจ ที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเดินทางอบรม ดูงานคนละ 2,000 บาท ให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 1.2 ล้านคน โดยมีเงื่อนไขต้องซื้อแพ็คเกจทัวร์จากผู้ประกอบธุรกิจในประเทศ ซึ่งจะช่วยเหลือและเยียวยา ผู้ประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ และเป็นการฟื้นฟูภาคธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่ซบเซาอันเนื่องมาจากการระบาดไวรัสโควิด-19 ด้วย

    ไฟเขียวขึ้นค่ารถไฟฟ้า “สายสีน้ำเงิน” – BEM ตรึงราคาถึงสิ้นปี

    นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ เห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารฯ สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) และอัตราค่าโดยสารร่วม รวม 3 ฉบับ โดยค่าโดยสารใหม่จะเริ่มต้นที่ 17 บาท สูงสุด 42 บาท จากเดิมมีอัตราเริ่มต้นที่ 16 บาทถึง 42 บาท โดยสถานทีที่ 1,4,7 และ10 จะมีอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 1 บาท และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2565

    เนื่องจากครบกำหนดตามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่ได้กำหนดให้มีการปรับอัตราค่าโดยสารทุกๆ 24 เดือน ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 นี้ โดยราคาดังกล่าวคำนวณบนพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งได้รับแจ้งจากกองดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์

    อย่างไรก็ตาม บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม ได้แจ้งว่า เพื่อเป็นการเยียวยาและแบ่งเบาภาระประชาชนในช่วงสถานการณ์วิกฤตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงยินดีสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลโดยจะคงอัตราค่าโดยสารไว้เท่ากับอัตราเดิม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และจะใช้ค่าโดยสารใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จากเดิมที่ต้องเริ่มตั้งแต่ วันที่ 3 กรกฎาคม 2563 และในการคงอัตราค่าโดยสารตลอดระยะเวลาดังกล่าว เป็นการสนับสนุนของบริษัทฯที่จะดำเนินการในรูปแปปโปรโมชันแก่ผู้โดยสาร โดยไม่ต้องรับบาลชดเชยจากรัฐบาล

    สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารประเภทเด็ก อายุไม่เกิน 14 ปี (วันเกิดครบรอบ 14 ปี) และมีความสูงระหว่าง 91 – 120 เซ็นติเมตร และผู้สูงอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป จะได้รับส่วนลด 50% สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารประเภทนักเรียน/นักศึกษา ที่มีอายุเกินวันเกิดครบอายุ 14 ปี แต่ไม่เกินวันเกิดครบ 23 ปี จะได้รับส่วนลด 10% จากอัตราค่าโดยสารดังกล่าว

    ในส่วนโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม ไม่มีการปรับอัตราค่าโดยสาร แต่มีการปรับถ้อยคำในร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสารและการกำหนดประเภทบุคคลยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสาร เพื่อให้สอดคล้องกับสายสีน้ำเงิน

    เคาะวันหยุดชดเชยสงกรานต์ 27 ก.ค.นี้

    นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบประกาศกฎกระทรวง ยกเว้นค่าผ่านทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 และหมายเลข 9 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ในวันที่ 4- 7 กรกฎาคม 2563 เนื่องจากเป็นวันหยุดต่อเนื่องครั้งแรกหลังจากผ่านสถานการณ์โควิด-19 โดยคาดว่าจะมีประชาชนมีการเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จึงยกเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทาง ตั้งแต่ เวลา 00.01 น. ของวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ถึง เวลา 24.00 น. ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2563

    นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังมีมีมติให้วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563 เป็นวันหยุดราชการพิเศษเพื่อชดเชยวันหยุดสงกรานต์ 1 วัน ซึ่งจะส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง 4 วันในช่วงเวลาดังกล่าว คือ วันที่ 25-28 กรกฎาคม 2563

    เห็นชอบแผนสิทธิมนุษยชนฉบับใหม่

    ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. เห็นชอบและประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2562 – 2565) เนื่องจากแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2557-2561) ได้หมดวาระแล้ว ทางกระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงได้จัดทำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2562 – 2565) ขึ้น ตามแนวทางคู่มือแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Human Right: OHCHR) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาพรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียมระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “สังคมรู้หน้าที่ เคารพสิทธิมนุษยชน และได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรม” โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วยแผนรายด้าน 10 ด้าน และแผนรายกลุ่ม 12 กลุ่ม ดังนี้

    แผนสิทธิมนุษยชนรายด้าน ประกอบด้วย

    1. ด้านกระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมธรรมาภิบาลเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมในหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับกลุ่มเปราะบาง ส่งเสริมองค์กรวิชาชีพล่ามในกระบวนการยุติธรรม
    2. ด้านการศึกษา ส่งเสริมให้เยาวชนที่ด้อยโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม
    3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความสมดุลระหว่างการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสม ควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
    4. ด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจพร้อมกับกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม
    5. ด้านการขนส่ง พิจารณาการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ที่จัดไว้ให้คนเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ
    6. ด้านสาธารณสุข พัฒนาแนวทางการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นระบบ
    7. ด้านข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี จัดทำมาตรการเพื่อแก้ปัญหาการก่ออาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นรูปธรรม
    8. ด้านการเมืองการปกครองและความมั่นคง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้นจากที่รัฐกำหนด เพิ่มบทเรียนด้านสิทธิมนุษยชนในระดับการศึกษาภาคบังคับ
    9. ด้านที่อยู่อาศัย กำหนดแนวทางที่ชัดเจนเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ และมาตรการเยียวยาต่างๆ แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
    10. สิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม และศาสนา ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแนวปฏิบัติของแต่ละศาสนา รวมทั้งส่งเสริมสิทธิชุมชนในการจัดการ บำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์อย่างสมดุล

    ส่วนแผนสิทธิมนุษยชนรายกลุ่ม เช่น 1)กลุ่มเด็กและเยาวชน เน้นการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของเด็ก เร่งปราบปรามปัญหาการใช้แรงงานเด็ก กลุ่มนักป้องกันสิทธิมนุษยชน เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. …. และร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. 3)กลุ่มผู้สูงอายุ พัฒนาคิดค้นนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ จัดมาตรการจูงใจในการดูแลผู้สูงอายุ 4)กลุ่มคนพิการ รัฐจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นสาธารณะสำหรับคนพิการ 5)กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และผู้แสวงหาที่พักพิงในเขตเมือง จัดหน่วยงานเคลื่อนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้การขอสัญชาติ 6)กลุ่มความหลากหลายทางเพศ เร่งดำเนินการให้ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับใช้ เช่น ร่าง พ.ร.บ.ชีวิตคู่ 7)กลุ่มสตรี พัฒนากลไกจัดการปัญหาความรุนแรงต่อสตรี และแนวทางการแจ้งปัญหาความรุนแรงผ่านระบบดิจิทัล

    “นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน ย้ำว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และเชื่อมโยงกันในทุกสังคม จำเป็นที่ประชาชนจะต้องตระหนักในสิทธิและหน้าที่ไปพร้อมๆกัน รวมถึงทุกกระทรวงต้องขับเคลื่อนงานด้านนี้ให้เต็มที่และร่วมกัน มากไปกว่านั้น ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตามที่กำหนดไว้ในแผนฯ จัดทำแผนปฏิบัติการด้านสิทธิมนุษยชนของหน่วยงานสำหรับงบประมาณ พร้อมทั้งให้กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบกำหนดแนวทาง วิธีการรายงานผล และแบบรายงานผลการดำเนินงาน รวมถึงการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับทราบและปฏิบัติตามด้วย”

    เสนอ “เขาสก-ถ้ำหลวง” เป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน

    ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. เห็นชอบเสนอพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Park (AHP)) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

    อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เป็นพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศหลายแบบ เช่น ป่าดิบชื้น ป่าเขาหินปูน และป่าพรุ เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์หลากหลายชนิด มีพืชเฉพาะถิ่นและพืชหายาก เช่น บัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คือ เขาหินปูนขนาดใหญ่ 3 ลูก ตั้งอยู่ผืนน้ำสีเขียวมรกตของเขื่อนรัชชประภา ล้อมรอบด้วยภูเขาหินปูนจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่เชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับระบบนิเวศ โดยเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และมีวิถีชีวิตชุมชนแบบดั้งเดิม

    อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศหลากหลายเฉพาะตัว เช่น ป่าเบญจพรรณ สังคมพืชริมน้ำ ฯลฯ เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์หลากหลายชนิด มีลักษณะภูมิประเทศทั้งเทือกเขาสูง เขาหินปูน และตะลักพักน้ำ ซึ่งเป็นที่ราบแคบ มีระดับลดหลั่นกันลงมาเหมือนขั้นบันได มีระบบนิเวศถ้ำที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณะ โดยเฉพาะถ้ำหลวง ซึ่งเป็นถ้ำหินปูนกึ่งแห้งขนาดใหญ่ มีความยาวเป็นอันดับ 4 ของไทย (ระยะ 10,316 เมตร) และมีลักษณะของภูเขาเรียงตัวกันคล้ายกับรูปผู้หญิงนอน มีปล่องโพรงเป็นจำนวนมาก มีแหล่งน้ำที่สำคัญ คือ สระมรกต มีลักษณะเป็นน้ำสีเขียวแกมฟ้ามรกตที่ไหลออกมาจากถ้ำทรายทองและรอยแตกของภูเขาบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่เชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับระบบนิเวศ มีชุมชนและชนเผ่าชาติพันธุ์อยู่บริเวณโดยรอบพื้นที่ ถึง 10 ชาติพันธุ์ เช่น อาข่า ไทใหญ่ เป็นต้น ทำให้เป็นพื้นที่หลากหลายทางวัฒนธรรม

    ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ที่ได้รับการรับรองเป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ 1)อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ประกาศเมื่อ พ.ศ.2527 2)อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ประกาศเมื่อ พ.ศ.2527 3)กลุ่มอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลันและอ่าวพังงา ประกาศเมื่อปี พ.ศ.2546 4)กลุ่มป่าแก่งกระจาน (อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี) ประกาศเมื่อปี พ.ศ.2546 5)อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ประกาศเมื่อปี พ.ศ.2562 6)อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ประกาศเมื่อปี พ.ศ.2562

    ทั้งนี้ อุทยานมรดกแห่งอาเซียน มาจากการเสนอชื่อโดยรัฐบาลของประเทศนั้นๆ และได้รับการประเมินจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือของประชาสังคมและวัฒนธรรมแห่งอาเซียน โดยต้องมีลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียว มีความหลากหลาย มีคุณค่าโดดเด่นคู่ควรแก่การอนุรักษ์ มีคุณสมบัติที่แสดงถึงความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศ ความเป็นธรรมชาติ ความเป็นเอกลักษณ์ ความสำคัญทางชีววิทยาเชิงวัฒนธรรม มีความสำคัญต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และมีขอบเขตทางกฎหมายที่ชัดเจน

    “ขั้นตอนต่อไปหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานผู้ประสาน จะจัดส่งเอกสารการนำเสนอพื้นที่ให้กับศูนย์อาเซียนว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีฐานะเป็นเลขานุการคณะกรรมการอุทยานมรดกแห่งอาเซียน เพื่อนำเสนอเอกสารให้กับคณะผู้เชี่ยวชาญ ดำเนินการตรวจสอบ ประเมินพื้นที่ และเสนอคณะทำงานอาเซียนด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพพิจารณา ก่อนนำเข้าที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การรับรองการขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกแห่งอาเซียนต่อไป”

    นายกฯ เชิญชวนใส่เสื้อเหลืองตลอดเดือน ก.ค.นี้

    นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เลขาฯ ครม. แจ้งในที่ประชุมว่า เนื่องจากในวันที่ 28 กรกฎาคม เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563 จึงขอให้ ครม. แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขอความร่วมมือ ครม. ข้าราชการ หน่วยงานรัฐ และหน่วยงานเอกชน สวมใส่เสื้อสีเหลืองตลอดทั้งเดือนนี้ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป
    อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2563เพิ่มเติม