Rebuilding Thailand from Within-พลิกฟื้นจากภายใน เชื่อมไทยสู่โลก(1) : เมื่อโลกเปลี่ยน ชนชั้นนำต้องปรับ

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

“ชนชั้นนำ” เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่ควบคุมทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร (C. Wright Mills) ในบริบทของสังคมไทย มีการขยายเพิ่มเติมโดยครอบคลุม “กลุ่มที่ควบคุมระบบรัฐ ระบบทุน และระบบวาทกรรม” ซึ่งมีความซ้อนทับกันเป็นเครือข่ายพันธมิตรแห่งอำนาจ (Power Alliance)

ชนชั้นนำกับ Extractive Institutions

ชนชั้นนำในประเทศไทยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับแนวคิด Extractive Politics และ Extractive Economy ซึ่งสอดรับกับแนวคิดสำคัญจากหนังสือ “Why Nations Fail” โดย Daron Acemoglu และ James A. Robinson ที่กล่าวว่า สาเหตุหลักของความล้มเหลวของประเทศ ไม่ใช่เพราะขาดทรัพยากรธรรมชาติหรือวัฒนธรรม แต่เพราะมีสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจแบบเอารัดเอาเปรียบ (Extractive Institutions) ที่ชนชั้นนำใช้ในการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตน

1. การเมืองแบบเอารัดเอาเปรียบ (Extractive Politics) คือการที่กลุ่มคนเล็ก ๆ ผูกขาดอำนาจรัฐ ใช้กลไกทางการเมืองเพื่อคงอำนาจ และกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงอำนาจ ในบริบทของประเทศไทย ชนชั้นนำ

  • ใช้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และองค์กรอิสระ เป็นเครื่องมือผูกขาดอำนาจการปกครอง (เช่น วุฒิสภาแต่งตั้ง หรือศาลรัฐธรรมนูญ)
  • สนับสนุนรัฐประหาร หรืออำนาจนอกระบบ เพื่อควบคุมเกมการเมือง
  • ควบคุมกระบวนการเลือกตั้ง ผ่านการแทรกแซง กำกับพรรคการเมือง หรือใช้กฎหมายจำกัดสิทธิปวงชน
  • ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: ประชาชนไม่มีสิทธิ์กำหนดอนาคตของตนเอง การเมืองไม่มีการหมุนเวียนผู้นำหรือพัฒนาเชิงโครงสร้าง และความเหลื่อมล้ำทางอำนาจสูงสุดขีด

    2. เศรษฐกิจแบบเอารัดเอาเปรียบ (Extractive Economy) คือระบบเศรษฐกิจที่กลุ่มชนชั้นนำผูกขาดผลประโยชน์จากทรัพยากรและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยกีดกันคนอื่นจากโอกาส กลุ่มทุนใหญ่-รัฐวิสาหกิจ-ราชการระดับสูง ทำงานร่วมกันโดย

  • ผูกขาดตลาด โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายเล็ก
  • แปรรูปผลประโยชน์สาธารณะเป็นส่วนตัว (เช่น สัมปทาน, ที่ดินรัฐ, งบประมาณแฝง)
  • สนับสนุนทุนสามานย์ ที่ไม่สร้างมูลค่า แต่ใช้ความสัมพันธ์กับรัฐเพื่อรับสิทธิประโยชน์
  • ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงสุดในเอเชีย เกิดระบบเศรษฐกิจที่ไม่สร้างนวัตกรรม เพราะเน้นการรักษาสถานะผูกขาด การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่ Inclusive และไม่ยั่งยืน

    ผลกระทบของชนชั้นนำ และ Extractive System ต่อสังคมไทย

  • การเมืองระบบปิด: ขาดการมีส่วนร่วม ประชาธิปไตยเทียม
  • เศรษฐกิจ: เหลื่อมล้ำสูง ช่องว่างรายได้ขยาย SME รอดยาก
  • การศึกษา: ผลิตแรงงานรับใช้ทุน ผูกติดกับระบบอุปถัมภ์
  • สังคม: ชนชั้นกลางล่มสลาย ความไม่มั่นคงทางสังคม
  • วัฒนธรรม: จารีตนิยมแบบแข็งตัว
  • ความมั่นคง: การต่อต้านรัฐเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อความขัดแย้ง
  • เมื่อโลกเปลี่ยน ชนชั้นนำต้องปรับ

    พลวัตโลกและการเผชิญวิกฤติเชิงซ้อนระลอกแล้วระลอกเล่า “บีบเร่ง” ให้ชนชั้นนำ/ชนชั้นปกครองต้อง “ลดทอน” และ “ปรับตัว” ออกจากระบบคุณค่าเก่าและจารีตนิยม โดยขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ:

      1. ระดับแรงกดดันจากภายนอก (External Shocks)
      2. ระดับการรับรู้และความสามารถในการปรับตัวของชนชั้นนำ (Reflexivity & Adaptability)
      3. ระดับแรงต้านและการเปลี่ยนผ่านจากภายในสังคม (Internal Forces)

    -พลวัตโลกบีบเร่งการเปลี่ยนผ่าน ส่งผลกระทบต่อจารีตนิยม/ระบบคุณค่าเก่า

    • วิกฤติสิ่งแวดล้อม:ทำลายตรรกะของบริโภคนิยม-ทุนนิยมแบบสุดโต่ง บีบให้ต้องเปลี่ยนค่านิยมเรื่อง “การพัฒนา”
    • ปัญญาประดิษฐ์ / เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก: ทำให้โครงสร้างอำนาจดั้งเดิมไร้เสถียรภาพ และต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะ ไม่ใช่แค่ชาติกำเนิด
    • การล่มสลายของระเบียบโลกเดิม: ระบบอุปถัมภ์หรือราชการรวมศูนย์ ไม่สามารถจัดการความไม่แน่นอนได้อีกต่อไป
    • ความเหลื่อมล้ำเชิงระบบที่ปะทุทั่วโลก: จุดชนวนให้เกิดขบวนการภาคพลเมือง ต่อต้านอภิสิทธิ์นิยม และอำนาจนิยม
      โลกกำลังบีบให้ “ชนชั้นนำ” ต้องนิยามความชอบธรรมของตนเองใหม่ อาทิ จาก “ฉันคือผู้รักษาจารีต“ เป็น “ฉันคือผู้นำการปรับตัว”

    —ชนชั้นนำพร้อมเปลี่ยน เมื่อเห็นโอกาสใหม่ในการดำรงอยู่

    ชนชั้นนำจะเปลี่ยนระบบคุณค่าเก่าได้ ต่อเมื่อเกิดการเปลี่ยนผ่านจาก “ความกลัวการสูญเสีย” สู่ “การเห็นโอกาสใหม่ในการดำรงอยู่” ชนชั้นนำมี 3 ทางเลือก

    • ปฏิเสธ (Denial): รักษาจารีตแบบเคร่งครัด กรณีนี้สถานภาพของชนชั้นนำจะยิ่งถดถอย
    • ประนีประนอม (Accommodation): แตะแบบผิวเผิน เช่น “modernize” รูปแบบ แต่ยังคงเนื้อหาของอำนาจ
    • ปรับโครงสร้าง (Reconfiguration) : ปฏิรูปทั้งระบบคุณค่า ระบบคิด ความชอบธรรมของอำนาจ

    กรณีศึกษา:

    • ซาอุดีอาระเบีย เริ่มปรับระบบจารีตอย่างรุนแรงในช่วงหลัง เพื่อรองรับยุคหลังน้ำมัน
    • เกาหลีใต้ เคยมีการเปลี่ยนผ่านหลังยุคเผด็จการ โดยมีแรงกดจากภาคประชาชนและวิกฤตเศรษฐกิจ

    —วิกฤติจากภายนอกเพียงอย่างเดียวไม่พอ ถ้าไม่มีแรงขับภายใน

    หากไม่มีการสร้างขบวนการภาคประชาชนแบบเปลี่ยนระบบคุณค่า – ปรับระบบความคิด พลวัตโลกก็อาจกลายเป็นแค่ “ข้ออ้างในการยึดอำนาจมากขึ้น” (เช่น ใช้วิกฤตเพื่อออกกฎหมายควบคุม)

    บทสรุป

    พลวัตโลกซึ่งเป็นแรงบีบจากภายนอก จะทำให้ชนชั้นนำไทยยอมลดทอนระบบคุณค่าเก่าได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องมี แรงผลักจากภายใน และ แรงปะทะทางความคิด เสริมเข้าไปด้วย ดังนั้นจะต้องช่วยกัน

      1) ค้นหา “ความชอบธรรมชุดใหม่“ (New Legitimacy) ให้ชนชั้นนำที่พร้อมจะปรับเปลี่ยน
      2) การปรับเปลี่ยนจารีตนิยม (Traditionalism Transformation)ให้สอดรับกับพลวัตและบริบทที่เปลี่ยนไปของสังคม
      3) การสร้างพลังพลเมืองที่มี Narrative ใหม่ให้ประเทศ อาทิ Changemaker Citizen