รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว รัฐบาลสหรัฐอเมริกา 3 สมัยประธานาธิบดี อาศัยการควบคุมการส่งออก เพื่อชะลอความสามารถของจีน ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุด โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่จะนำไปใช้ทางทหาร เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ ขณะเดียวกัน การควบคุมการส่งออกก็เป็นประเด็น ที่สร้างรอยร้าวมาตลอด ระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯและจีน เจรจาการค้าที่กรุงลอนดอน เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ประเด็นเรื่องการควบคุมการส่งออก ก็เป็นเรื่องสำคัญของเจรจาครั้งนี้ Jamieson Greer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯกล่าวว่า การเจรจากับจีนใน 8 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการประชุมครั้งไหน ที่จีนไม่พูดถึงเรื่องการที่สหรัฐฯควบคุมการส่งออก
รัฐบาล บารัก โอบามา รัฐบาลทรัมป์สมัยแรก การควบคุมการส่งออกสหรัฐฯไปจีน โดยมุ่งที่จะขัดขวางการพัฒนาบริษัทไฮเทคของจีน เช่น ห้ามบริษัทอเมริกันไม่ให้ขายชิ้นส่วนการผลิตแก่บริษัทอิเล็กทรอนิกส์จีน อย่างเช่น ZTE และ Huawei
สมัยรัฐบาลไบเดน ได้ขยายการควบคุมการส่งออกให้กว้างมากขึ้น เปลี่ยนจากการพุ่งเป้าที่บริษัทของจีน มาเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน ที่เกี่ยวข้องกับทางทหาร รวมทั้งกดดันประเทศพัฒนามิตร ไม่ให้ขายอุปกรณ์การผลิตตัวชิปคอมพิวเตอร์แก่จีน เช่นบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ บริษัทรายเดียวของโลก ที่ทำเครื่องผลิตตัวชิป
การแข่งขันด้าน AI
ผู้บริหารและวงการไฮเทคสหรัฐฯตระหนักเป็นอย่างดีว่า สหรัฐฯจะต้องเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขันเรื่อง AI กับจีน รัฐบาลไบเดนมองว่า สหรัฐฯจะสูญเสียการเป็นผู้นำเรื่อง AI หากสหรัฐฯไม่นำ AI มาใช้อย่างรวดเร็ว และครอบคลุมด้านต่างๆอย่างกว้างขวาง รัฐบาลทรัมป์สมัยที่สองก็ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศว่าสหรัฐฯมีเป้าหมายที่จะรักษาฐานะการเป็นนำด้าน AI ของโลก
รัฐบาลสหรัฐฯมียุทธศาสตร์ 2 อย่าง ที่จะรักษาฐานะนำด้าน AI ประการแรก ควบคุมและจำกัดการพัฒนา AI ของจีน ผ่านการควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่สำคัญ และประการที่ 2 เร่งพัฒนานวัตกรรมด้านโมเดล AI ต่างๆภายในสหรัฐฯ
การบรรลุเป้าหมายที่ 2 รัฐบาลสหรัฐฯมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนแบบมีเป้าหมาย คือด้านเซมิคอนดักเตอร์ ด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน และส่งเสริมให้มีการใช้ AI ในหน่วยงานรัฐบาลกลางอย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ AI เป็นเครื่องมือสอบสวนและค้นหาโรคที่มาจากอาหาร และค้นหาการฉ้อโกงทางการเงิน เป็นต้น
แม้ในปัจจุบัน นโยบายการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ และนวัตกรรมของบริษัท AI ในสหรับฯ ยังทำให้สหรัฐฯมีฐานะเป็นผู้นำด้าน AI Model ต่างๆอยู่ แต่จีนก็สามารถลดช่องว่างความก้าวหน้าของ AI ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพัฒนาของ DeepSeek Alibaba Cloud Baidu และ Tencent
จีนยังเป็นผู้นำในด้านการบูรณาการ AI เข้ากับการประกอบการผลิตแบบไฮเทค Xiaomi ที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟน แต่โรงงานผลิตรถยนต์ EV ของ Xiaomi ที่ปักกิ่ง ใช้หุ่นยนต์กว่า 700 ตัวที่ทำงานจาก AI ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ EV เฉลี่ย 1 คันใน 76 วินาที เมืองต่างๆในจีนก็ใช้ AI อย่างกว้างขวาง เช่น การควบคุมจราจร การสอดแนม และการบังคับใช้กฎหมาย รัฐบาลท้องถิ่นกำลังทดลองเขตที่ดำเนินงานโดย AI ในเรื่องสาธารณสุข การศึกษา และการบริการของท้องถิ่น

จีนเริ่มก้าวไปข้างหน้า ทิ้งสหรัฐฯไว้ข้างหลัง
บทความของ The New York Times เรื่อง In the Future, China Will Be Dominant. The US Wil Be Irrelevant เขียนไว้ว่า เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว นักวิเคราะห์ได้คาดหมายจุดเริ่มต้นของ “ศตวรรษจีน” ที่จีนสามารถใช้ศักยภาพด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี จนก้าวล้ำหน้าสหรัฐฯ และปรับเปลี่ยนดุลอำนาจของโลก ที่อาศัยการดำเนินที่มางานจากรัฐบาลจีน
แต่ศตวรรษของจีนที่ว่านี้ อาจมาถึงแล้ว ในอนาคต เมื่อนักประวัติศาสตร์มองย้อนกลับมา อาจจะชี้ชัดได้ว่า ช่วงต้นรัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 คือจุดหักเหที่จีนได้ก้าวรุดไปก้าวหน้า และทิ้งสหรัฐฯไว้ข้างหลัง
ดังนั้น ไม่สำคัญว่าในสงครามการค้า จีนกับสหรัฐฯจะบรรลุข้อตกลงกันได้หรือไม่ เพราะปัญหาพื้นฐานของสหรัฐฯอยู่ที่การเน้นหนักการเผชิญหน้ากับจีนในสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไร ขณะที่สงครามใหญ่กับจีนนั้น สหรัฐฯกำลังพ่ายแพ้
ทรัมป์ทำลายสิ่งที่เป็นเสาหลักของอำนาจและนวัตกรรมสหรัฐฯ ภาษีทรัมป์ทำลายบริษัทอเมริกัน ที่จะเข้าถึงตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทาน ตัดงบการวิจัย ทำลายความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัย ผลักดันให้นักวิจัยที่มีความสามารถ ต้องหาทางไปทำงานประเทศอื่นแทน ทรัมป์ต้องการย้อนกลับมาสู่แบบเก่าของโครงการด้านเทคโนโลยี เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และได้ทำลายซอฟต์เพาเวอร์ของอเมริกาในโลกลงไป
แต่เส้นทางการพัฒนาในอนาคตของจีนแตกต่างออกไปจากสหรัฐฯ จีนเป็นผู้นำการผลิตด้านอุตสาหกรรมของโลกในหลายด้าน เช่น เหล็ก การต่อเรือ แบตเตอรี่ พลังงานแสงแดด รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม อากาศยานแบบโดน อุปกรณ์ 5G เครื่องใช้ไฟฟ้า สารด้านเภสัชกรรม และรถไฟความเร็วสูง
มีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2030 จีนจะมีสัดส่วน 45% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของการประกอบอุตสาหกรรมการผลิตของโลก เดือนมีนาคม จีนประกาศตั้งกองทุน Venture Capital มูลค่า 138 พันล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการคำนวณควอนตัม (quantum computing) และหุ่นยนต์ รวมทั้งเพิ่งงบประมาณเพื่อการวิจัยพัฒนา
ที่ผ่านมา ยุทธศาสตร์ไฮเทคของจีนสร้างผลสั่นสะเทือนอย่างมาก เดือนมกราคม เมื่อ DeepSeek เปิดตัวโปรแกรม AI ที่สามารถสนทนากับมนุษย์ หรือ chatbot ตะวันตกตระหนักทันทีว่า จีนสามารถแข่งขันได้ในเรื่อง AI
แต่เหตุการณ์ที่สร้างผลสะเทือนของจีน มีมากกว่านี้อีก BYD ผู้ผลิตรถยนต์ EV ของจีน ที่อีลอน มัสก์เคยมองเป็นเรื่องตลก แต่ปี 2024 BYD มียอดขายทั่วโลกมากกว่า Tesla นอกจากนี้ BYD ยังไปสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ทั่วโลก เดือนมีนาคม มูลค่าตลาดของ BYD มากกว่ามูลค่ารวมกันของ Ford GM และ Volkswagen

ทรัมป์ยังมองจีนเป็นโรงงานผลิตของเด็กเล่น
ส่วนทรัมป์ยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการเก็บภาษี โดยมองไม่เห็นภัยท้าทายที่ใหญ่หลวงจากจีน เมื่อมีเสียงวิจารณ์ว่า ภาษีสูงจะทำให้สินค้าขาดตลาดในสหรัฐฯ ทรัมป์บอกว่า คนอเมริกันก็ซื้อของเด็กเล่นให้ลูกน้อยลง คล้ายกับจะสื่อสารว่า จีนก็เป็นแค่โรงงานผลิตของเด็กเล่น และสินค้าราคาถูกอื่นๆ
บทความของ The New York Tims บอกว่า สหรัฐฯต้องตระหนักแล้วว่า ทั้งภาษีและแรงกดดันทางการค้าอื่นๆ ไม่สามารถทำให้จีนล้มเลิกวิธีการเศรษฐกิจ ที่มีรัฐเป็นตัวขับเคลื่อน (state-driven economic playbook) แล้วหันมาใช้วิธีการเศรษฐกิจ ในแบบที่ตะวันตกบอกว่ายุติธรรม วิธีการเศรษฐกิจของจีนในการพัฒนาเป็นผู้นำด้านไฮเทค ก็คล้ายกับโครงการผลิตระเบิดปรมาณูของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “โครงการแมนฮัตตัน”
หากเส้นทางพัฒนาไปข้างหน้าของจีนเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จีนจะจบลงโดยการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตมูลค่าสูง ตั้งแต่รถยนต์ ชิปคอมพิวเตอร์ เครื่องตรวจ MRI จนถึงเครื่องบินพาณิชย์ การแข่งขัน AI ไม่ใช่ระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่ระหว่างเมืองไฮเทคของจีนอย่างเสิ่นเจิ้นกับหางโจ่ว โรงงานอุตสาหกรรมจีนในประเทศต่างๆในโลก จะปรับตัวเรื่องห่วงโซ่อุปทานโดยมีจีนเป็นศูนย์กลาง
ส่วนสหรัฐฯจะค่อยๆกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความสำคัญอะไร การมีกำแพงภาษีช่วยปกป้อง บริษัทอเมริกันจะผลิตเพื่อขายเฉพาผู้บริโภคในประเทศ การไม่มียอดขายจากต่างประเทศ จะทำให้ผลกำไรบริษัทอเมริกันลดลง บริษัทมีเงินทุนน้อยลงที่จะลงทุนในธุรกิจตัวเอง อุตสาหกรรมมูลค่าสูงดั้งเดิมก็สูญเสียไปแล้วแก่จีน เช่น รถยนต์และยา อุตสาหกรรมที่สำคัญในอนาคต คงจะเดินตามรอยทางเดียวกัน
การหลีกเลี่ยงภาพจำลองที่น่าเศร้านี้ หมายถึงสหรัฐฯจะต้องตัดสินใจเลือกทางนโยบาย คือการลงทุนในการวิจัยกับการพัฒนา สนับสนุนนวัตกรรมทางวิชาการ ทางวิทยาศาสตร์และทางธุรกิจ กระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศทั่วโลก และสร้างบรรยากาศที่จะดึงเงินทุน และคนมีความสามารถจากทั่วโลก
แต่สิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ทำลงไป คือตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
เอกสารประกอบ
What If China Wins AI Race? June 13, 2025, foreignaffairs.com
In the Future, China Will Be Dominant. The US Will Be Irrelevant, May 19, 2025, nytimes.com