
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุม ครม. ณ ห้องโถงชั้นล่าง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
- นายกฯส่งชื่อ ครม.แพทองธาร 2 ตรวจคุณสมบัติ ก่อนทูลเกล้าฯ
- พร้อมแจงศาล รธน.ปมคลิปเสียง ‘ลุงฮุน’ หลุด
- สั่ง สธ.แก้ กม. นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
- มอบ ‘ภูมิธรรม’ คุม มท. – ‘สุริยะ’ รักษาการ รมว.แรงงาน
- มติ ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 8,939 รายการ 115,375 ล้านบาท
- ซื้อโปรแกรมคอมฯ-Ai หักภาษี 2 เท่า ไม่เกิน 3 แสน
- ติดตั้ง ‘Solar rooftop’ หักภาษีไม่เกิน 2 แสน
- ขยายเวลาคืนหนี้ ‘ซอฟต์โลน’ ถึงสินปี’70 ช่วยผู้ประกอบการ 3 จว.ใต้
- กันงบข้ามปีจ้างที่ปรึกษาทำ EIA ด่าน ‘บ้านฮวก – กิ่วหก’
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
นัดเจรจา USTR ถกกำแพงภาษีสหรัฐต้น ก.ค.นี้
นางสาวแพทองธาร รายงานว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งที่อิหร่านและอิสราเอล ซึ่งมีผลในวงกว้าง ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม อีกทั้งท่าที และกรอบระยะเวลาที่เกิดขึ้นมีความไม่แน่นอนว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ซึ่งส่งผลต่อการเจรจาของหลายประเทศต่อนโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกา
“ตอนแรกที่กำหนดไว้ 90 วัน ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งฝ่ายไทยเริ่มเจรจาแล้ว 1 รอบกับคณะทำงานของ USTR เดี๋ยวมีการแถลงเพิ่มเติมต่อไป” นางสาวแพทองธาร กล่าว
นางสาวแพทองธารกล่าวต่อว่า สถานการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน คมนาคม การท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน
สั่ง รมต.ติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ย้ำเสถียรภาพรัฐบาลสำคัญมาก
นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนกัมพูชาว่า ตนได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีทุกคนร่วมกันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมหามาตรการรองรับ เพื่อให้กระทบกระเทือนประชาชนน้อยที่สุด
“ขอยืนยันอีกครั้งว่าสถานการณ์เช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลสำคัญมากๆ และความสามัคคีของคนในประเทศสำคัญมาก ดังนั้น ขอให้รัฐมนตรีทุกท่านทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อจะสร้างความมั่นใจและแก้ไขปัญหาอย่างทันการ” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ไม่มีนโยบายเปิดปิดด่าน ตอบโต้กัมพูชา
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเรื่องต่างๆ โดยเรื่องแรก คือ ภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามประเทศ (National Crime) ตามรายงานของ UNODC
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ตนได้สั่งการให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ และขอย้ำว่า “รัฐบาลไม่มีนโยบายในการตอบโต้การเปิดปิดด่านชายแดน เพื่อที่จะหวังผลทางการเมือง แต่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยได้เตรียมมาตการต่างๆ ในการช่วยเหลือประชาชนบริเวณชายแดนอย่างครบถ้วน”
“สั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง จริงๆ แล้วมีมาตรการรองรับอยู่แล้วจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ แต่ก็จะย้ำอีกทีว่า สิ่งที่มารายงานถึงพี่น้องประชาชนจริงหรือไม่ ก็ได้ย้ำอีกที เพราะไม่อยากให้เกิดผลกระทบ” นางสาวแพทองธาร กล่าว
สั่ง ‘พีระพันธ์’ เตรียมรับมือราคาพลังงานพุ่ง
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงด้านความมั่นคงและพลังงานว่า ตนสั่งการให้กระทรวงพลังงานกำหนดมาตรการรับมือพลังงานสำรอง และมาตรการช่วยเหลือประชาชน หากมีภาวะขาดแคลน หรือ ราคาพลังงานสูงขึ้น
ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร ได้มอบหมายให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รับผิดชอบในการกำหนดมาตรการเตรียมพร้อมดังกล่าว
มอบ ‘พิชัย’ เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจทุกระดับ
ด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน นางสาวแพทองธารกล่าวว่า ตนสั่งการให้กระทรวงการคลัง โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดมาตรการและเป้าหมายที่ชัดเจนที่จะช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจทุกระดับ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของประเทศ
กำชับคลัง-เกษตร-พาณิชย์ สกัดของเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนราคาพืชผล นางสาวแพทองธารกล่าวว่า ตนสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาโดยด่วน โดยเฉพาะราคาข้าวที่ต้องเร่งสนับสนุน และสรุปมาตรการเยียวยาให้เกษตรกรแล้วเสร็จโดยเร็ว
นางสาวแพทองธารกล่าวต่อว่า ตนกำชับเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ราคาพืชผล และราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศตกต่ำ ทั้งนี้ ได้มีการมอบให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ
ขยายผล ‘Seal Stop Safe’ ปราบยาเสพติด
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงปัญหายาเสพติดว่า ตนสั่งการให้กระทรวงกลาโหมบูรณาการการทำงานระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด เพื่อกำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรมให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และขยายผลต่อเนื่องจากมาตรการ ‘Seal Stop Safe’
เร่งมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวชง ครม.สัปดาห์หน้า
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงปัญหาการท่องเที่ยวว่า ตนสั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งปรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมที่จะเน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวๆ เร่งปรับมาตรการกระตุ้น ท่องเที่ยว ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ มาเสนอภายในสัปดาห์หน้า โดยขอให้เน้นย้ำการเสนอมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่เป็นรูปธรรมและเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว
จี้แรงงานขึ้นค่าแรงขั้นต่ำใน กค.นี้
นอกจากนี้ นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวถึงประเด็นค่าแรงขั้นต่ำว่า ตนสั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งนำมาตรการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำพิจารณาเร่งด่วน เพื่อให้ทันการขึ้นค่าแรงในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568
ส่งชื่อ ครม.แพทองธาร 2 ตรวจคุณสมบัติ ก่อนทูลเกล้าฯ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ลงตัวค่ะ ลงตัวดี ก็ไม่มีอะไร ได้คุยกับหัวหน้าพรรคทุกๆ คนแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องการส่งชื่อเข้าตรวจสอบคุณสมบัติ เมื่อเรียบร้อยแล้วค่อยมีการทูลเกล้าฯ ต่อไป”
ถามต่อว่า นายกฯ คาดว่าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อไร นางสาวแพทองธาร กล่าวอย่างติดขัด “เอ่อ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” จากนั้นพูดต่อว่า “ต้องรอก่อนว่าส่งกลับมาเมื่อไร เพราะเราส่งไปบ้างแล้วด้วยเรื่องการส่งชื่อไปตรวจคุณสมบัติ”
ถามต่อว่า (เคลียร์) ปัญหาของพรรครวมไทยสร้างชาติจบหรือยัง นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “จบแล้ว ไม่มีอะไร”
เมื่อถามถึงกระแสข่าวลือที่นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กดดันให้นายกฯ ลาออก นางสาวแพทองธาร ปฏิเสธว่า “ไม่จริงค่ะ ไม่จริงเลย ไม่มีการกดดันใดๆ เกิดขึ้นเลย” และกล่าวต่อว่า “ได้มีการคุยกันปกติ วันนี้ที่มีรูปออกไปที่ Rosewood (โรงแรมโรสวูด) ได้คุยกันเรียบร้อย พรรคร่วมให้การสนับสนุนอย่างมากและให้กำลังใจด้วย ผ่านไปได้ด้วยดีเลย”
ถามต่อว่ามีเสียงมาเติมให้รัฐบาลอีกหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ตอนนี้เสียงของพรรคร่วมเราโอเคอยู่ ยังแข็งแรงอยู่”
ย้ำไม่ควบกลาโหม
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า กระทรวงกลาโหมจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือไม่ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เดี๋ยวไว้ไฟนอลแล้วบอกอีกที ขออนุญาตยังไม่เปิดเผยชื่อใดๆ ทั้งสิ้น”
เมื่อถามย้ำว่า นายกฯ จะควบตำแหน่งกระทรวงกลาโหมหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ไม่ควบแน่นอน”
ถามต่อว่า จากสถานการณ์ในวันนี้ ทำให้นายกฯ เลือกวางคนสำหรับกระทรวงกลาโหมอย่างไร โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ทุกกระทรวงเราต้องรับให้พร้อม ไม่ใช่เกิดขึ้นกับกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ทุกอันต้องช่วยกันบูรณาการ เพราะฉะนั้น แน่นอนต้องเป็นคนที่สามารถดูแลเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว”
“ทุกวันนี้มีรัฐมนตรีช่วยและรัฐมนตรีกลาโหมอยู่ตรงนี้ข้างๆ ทำงานกันอย่างแข็งขันมากๆ บวกกับกองทัพด้วย เช่น ตรงชายแดนเราก็มอบอำนาจให้กองทัพเพื่อจะดูหน้างานในการบริหารจัดการและให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทุกอย่างก็ราบรื่นดี” นางสาวแพทองธาร ตอบ จากนั้นผู้สื่อข่าวกำลังถามคำถามที่เกี่ยวกับกระทรวงกลาโหม แต่ไม่ทันกล่าวจบ นางสาวแพทองธาร พูดว่า “ทำไมวันนี้ทุกคนสนใจกระทรวงกลาโหมเป็นพิเศษ” ผู้สื่อข่าวจึงบอกว่าเพราะสถานการณ์ชายแดนขณะนี้ จากนั้นนางสาวแพทองธาร จึงตอบว่า “ค่ะ”
พร้อมแจงศาล รธน.ปมคลิปเสียง ‘ลุงฮุน’ หลุด
ผู้สื่อข่าว ถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญอาจพิจารณารับเรื่องผู้ร้องขอให้ศาลสั่งให้นายก ฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีคลิปเสียง นายกฯ ประเมินอย่างไร โดยนางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราก็ประเมินเรื่องนี้ ถ้าต้องสนับสนุนเรื่องข้อมูลหรืออย่างไร ก็พร้อมในการให้ข้อมูลและชี้แจง”
“คลิปเสียงที่หลุดออกมา ก็ขอยืนยันว่า จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ผู้นำแต่ละประเทศ ก็ใช้เจรจากันอยู่แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่าในคลิปเสียงตัวดิฉันเองก็ไม่ได้ ได้อะไร และตัวดิฉันก็ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียอะไร จุดนี้คือจุดที่เป็นการคุยกัน ซึ่งก็ทราบอยู่แล้วว่าไม่ควรจะเปิดเผยคลิปที่เป็นการสนทนาแบบส่วนตัว ซึ่งดิฉันก็พร้อมที่จะยืนยันและอธิบาย เล่าทุกเหตุการณ์อยู่แล้วถ้าต้องอธิบาย” นางสาวแพทองธาร ตอบ
จากนั้นนางสาวแพทองธาร กล่าวขอบคุณและยุติการให้สัมภาษณ์ ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวยังถามต่อว่า นายกฯ จะชี้แจงอย่างไรกับประชาชนกับกลุ่มที่ไม่เข้าใจและเรียกร้องให้ลาออกอย่างเดียว แต่นางสาวแพทองธาร ไม่ตอบคำถามดังกล่าว
กำชับทุกหน่วยใช้งบ 1.57 แสนล้าน ให้คุ้มค่า
ด้านนายจิรายุ รายงานว่า หลังจากที่ ครม. มีมติเห็นชอบแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท นายกฯ จึงสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ รับข้อสังเกตและไปดำเนินการโดยใช้งบกลางค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจในปีนี้อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอ ไปจนถึงการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งการติดตามประเมินผลในทุกขั้นตอน โดยให้หน่วยงานต้นสังกัดไปตรวจสอบ และรายงานกับ ครม. ต่อไป
“นายกฯ กำชับให้ใช้เม็ดเงินให้คุ้มค่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด” นายจิรายุ รายงาน
สั่ง สธ.แก้ กม. นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
นายจิรายุกล่าวต่อว่า นายกฯ ได้มีข้อสั่งการเรื่องการแก้ปัญหากัญชาเสรี จากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการปราบปรามปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดมาอย่างต่อเนื่องที่ส่งกระทบต่อประชาชนในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่า มีการนำเอากัญชาออกจากบัญชีสารเสพติด ทำให้มีการเปิดร้านค้าหลายประเภท ที่มีวัตถุประสงค์ทั้งการสันทนาการ และเพื่อการแพทย์ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด ทำให้เด็กและเยาวชนประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย
“การเอากัญชาออกจากบัญชีสารเสพติด ทำให้มีการเปิดร้านขายกัญชา อย่างที่เราเห็นริมสองข้างทางทุกจังหวัด เห็นรูปใบกัญชา ซึ่งเป็นเรื่องการสันทนาการเป็นหลัก เรื่องการแพทย์ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยว” นายจิรายุ กล่าว
ดังนั้น จึงสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งศึกษาถึงมาตรการในการควบคุม กัญชาให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยขอให้เน้นการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนและเยาวชนในสังคมต้องมัวเมาติดสารเสพติดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นอกจากนี้ ให้พิจารณาว่าจะปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาอย่างไร ที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด
มอบ ‘ภูมิธรรม’ คุม มท. – ‘สุริยะ’ รักษาการ รมว.แรงงาน
นายจิรายุ รายงานว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบรายงานในการลงนามและคำสั่ง นร ที่ 184 /68 เรื่องการแก้ไขคำสั่งเพิ่มเติม ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 โดยมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นการแก้ไขคำสั่งเดิมเมื่อ 24 มีนาคม 2568 โดยมอบหมาย ให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม สภาความมั่นคงแห่งชาติ สขช. สนง.ปปง. สนง.ป.ป.ท. ศอ.บต. นั้น ให้เพิ่มเติมในการรับผิดชอบดูแล กระทรวงมหาดไทยเพิ่มเติม
ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แต่เดิมดูแลกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม สนง.ก.พ. สนง.ก.พ.ร. ในคำสั่งใหม่นี้ มอบหมายให้ ดูแลกระทรวงแรงงาน และรักษาราชการแทนเพิ่มเติมด้วย
ส่วน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีดีอี ซึ่งเดิมดูแล ท.ส. ด.ส. สธ. สทนช. สคทช. ให้กำกับดูแลเพิ่มเติม ดังนี้ กระทรวง อว. ศึกษาธิการ และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงศึกษาธิการ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาราชการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอว. แทนในช่วงนี้ด้วย ส่วนรัฐมนตรีอื่นๆ ไม่มีการแก้ไขให้ใช้คำสั่งเดิม
มติ ครม.มีดังนี้

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษก ฯ และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกฯร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 8,939 รายการ 115,375 ล้าน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้วงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เสนอต่อ ครม.
นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการดังนี้ ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ ดำเนินการติดตาม อย่างใกล้ชิด โดยโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ ที่ผ่านการพิจารณาของ คณะกรรมการ จำนวน 50 หน่วยรับงบฯ 481 โครงการ 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงิน 115,375.27 ล้านบาท โดยให้หน่วยรับงบฯ ดำเนินการขอรับ จัดสรรงบฯ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ตามระเบียบต่อไปและให้กระทรวง/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบฯ ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รอบคอบและเกิดความคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจ
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง / กระทรวงการคลัง และ สภาพัฒน์ ฯ ว่ามีความเห็นอย่างไร ว่าการดำเนินการเรื่องนี้นั้น จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ตามวัตถุประสงค์อย่างไร ซึ่งกระทรวงการคลังยืนยันว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน
ขณะที่ สำนักงบฯ ได้ชี้แจงว่า ในแง่ขั้นตอนการเสนอโครงการ และการดำเนินโครงการได้ตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้วว่า เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รายงานว่า ได้พิจารณาในประเด็น ข้อกฎหมายรวมทั้ง หนังสือจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สตง. / ปปช. ได้มีการหารือกันในขั้นตอนการกลั่นกรองโครงการแล้ว นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า หลังจากรับฟังรายงาน ที่ประชุม ครม. มีมติ รับทราบและเห็นชอบตามที่ ก.คลัง เสนอ โดยนายกรัฐมนตรี ให้รับความเห็นหน่วยงานต่างๆ ไปดำเนินการและให้หน่วยรับงบฯ ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบฯ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำของบฯ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้หน่วยงานเจ้าสังกัดกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินการในทุกขั้นตอนให้สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตลอดจนประเด็นเรื่อง Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้การกำกับการปฏิบัติตามโครงการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีกล่าว
ซื้อโปรแกรมคอมฯ-Ai หักภาษี 2 เท่า ไม่เกิน 3 แสน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs)] ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า (ไม่เกิน 3 แสนบาท) สำหรับค่าซื้อ หรือ ค่าจ้างทำ หรือ ค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ หรือ บริการด้านดิจิทัลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ไม่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ร่วมขับคลื่อนและสร้างการรับรู้และความเข้าใจมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการแปลงเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) ของ SMEs รวมทั้งร่วมติดตามและประเมินประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการนี้ และนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลัง เป็นรายปีจนสิ้นสุดมาตรการเพื่อประกอบการจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่จะต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) โดยจะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการภายในประเทศนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การแข่งขันกับผู้ประกอบการภายนอกประเทศกำลังมีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยให้ธุรกิจของ SMEs มีศักยภาพในการดำเนินกิจการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ตลอดจนช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยมีการพัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพและเติบโตเพิ่มมากขึ้น
ติดตั้ง ‘Solar rooftop’ หักภาษีไม่เกิน 2 แสน
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และมอบหมายให้ พน. โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และกระทรวงการคลัง (กค.) ร่วมกันพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป รวมทั้งมอบหมายให้ กระทรวงพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการและติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าว เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์โดยเร็วต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่ 1) การส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี และ 2) การส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ซึ่งมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคสนใจลงทุนในอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และผลักดันให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่
1.1 ประชาชนผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ
1.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในส่วนสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะหักทำใช้จ่าย/รายจ่ายในการซื้อหรือการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ จำนวน 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง
สำหรับเงื่อนไขการดำเนินการ ได้แก่
- การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในทรัพย์สินประเภทวัสดุ เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ ต้องได้รับการรับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง หรือฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานระดับ 5 ดาว จากกระทรวงพลังงาน
- ทรัพย์สินประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักร ต้องมีลักษณะ เช่น
(1) อยู่ในราชอาณาจักรและไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
(2) ได้มาและพร้อมใช้งานตามวัตถุประสงค์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2571
(3) ไม่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวร้องกับทรัพย์สินนั้น
(4) ไม่เป็นทรัพย์สินที่นำไปใช้ในกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือ กฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
- ต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบผ่านระบบใบกำกับกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ของกรมสรรพากร
2) มาตรการส่งเสริมการติดตั้ง Solar rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี เพื่อกระตุ้นให้ประขาชนลงทุนติดตั้ง Solar rooftop เพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนและลดภาระค่าไฟฟ้าในครัวเรือน โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการติดตั้ง Solar rooftop ในภาคครัวเรือนทั่วประเทศ และเพิ่มสัดส่วนของมาตรการการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนกลุ่มบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้ง Solar rooftop ในส่วนสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะสามารถนำเงินลงทุนในการติดตั้งระบบ Solar rooftop มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมตา ในวงเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สำหรับเงื่อนไขการดำเนินการ ได้แก่
- เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 (เฉพาะบ้านอยู่อาศัย)
- เป็นผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40 (1) – (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
- ชื่อผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 1 บุคคล ต้องตรงกับชื่อเจ้าของมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านอยู่อาศัย
- สิทธิการลดหย่อนภาษี 1 บุคคล ต่อ 1 มิเตอร์ ต่อ 1 ระบบ
- ระบบ Solar rooftop ที่ติดตั้งต้องเป็นระบบ On-grid และมีกำลังการผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 กิโลวัตต์สูงสุด (KWp) ต่อหลัง
- ต้องเป็นระบบที่มีการจัดซื้อ ติดตั้ง และยื่นขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
- มีหลักฐานใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ (Tax Invoice) ของการจัดซื้อและติดตั้งระบบ Solar rooftop และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารขออนุญาตเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้า
คง 59 รายการสินค้า-บริการควบคุม
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติการกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จำนวน 59 รายการ (54 สินค้า 5 บริการ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยเป็นสินค้าและบริการควบคุมตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.)
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่าย หรือ การกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม กกร. ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าหรือบริการควบคุมได้ ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการควบคุม รวมทั้งสิ้น 59 รายการ (54 สินค้า 5 บริการ) จำแนกเป็น 11 หมวดสินค้า 1 หมวดบริการ และต่อมา กกร. ได้ออกประกาศเรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม รวม 2 ฉบับ ทั้งนี้ เนื่องจากประกาศ กกร. ฉบับที่ 9 พ.ศ. 2567 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2567 กำลังจะสิ้นสุดผลบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และประกาศ กกร. ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2568 เรื่อง การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติม ลงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568 จะสิ้นสุดผลบังคับใช้ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ประกอบกับเพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่กำหนดให้การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมในคราวต่อไป ให้ กกร. พิจารณารวบรวมรายการสินค้าและบริการที่จำเป็นต้องควบคุมทั้งหมดให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถพิจารณากำหนดระยะเวลาการควบคุมสินค้า และบริการทั้งหมดให้สิ้นสุดผลบังคับใช้พร้อมกัน และนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนวันสิ้นสุดผลบังคับใช้ที่ได้กำหนดไว้ กกร. ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ) จึงได้มีมติเห็นชอบให้คงรายการสินค้าและบริการควบคุม 59 รายการดังกล่าวต่อไป เพื่อให้ กกร. กำหนดมาตรการกำกับดูแลสินค้าและบริการให้มีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง รายการสินค้าและบริการควบคุม จำนวน 59 รายการ มีดังนี้
รายการสินค้า
1.) หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ (1) กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว (2) กระดาษพิมพ์และเขียน (3) เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก
2.) เครื่องใช้ไฟฟ้า (4) เครื่องฟอกอากาศ (5) ตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น)
3.) หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง (6) ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ (7) รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก
4.) หมวดปัจจัยทางการเกษตร (8) กากดีดีจีเอส (9) เครื่องสูบน้ำ (10) ปุ๋ย (11) ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูหรือโรคพืช (12) รถเกี่ยวข้าว (13) รถไถนา (14) หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์
5.) หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (15) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (16) น้ำมันเชื้อเพลิง
6.) หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ (17) ยารักษาโรค (18) เวชภัณฑ์ เกี่ยวกับการรักษาโรค (19) หน้ากากอนามัย (20) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ
7.) หมวดวัสดุก่อสร้าง (21) ท่อพีวีซี (22) ปูนซีเมนต์ (23) สายไฟฟ้า (24) เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น
8.) หมวดสินค้าเกษตรที่สำคัญ (25) ข้าวเปลือก ข้าวสาร (26) ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ (27) ข้าวโพด (28) ต้นพันธุ์ท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ (29) ผลปาล์มน้ำมัน (30) มะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์ (31) ยางพารา ได้แก่ น้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ
9.) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค (32) กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า (33) แชมพู (34) ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก (35) ผลิตภัณฑ์ล้างจาน (36) ผ้าอนามัย (37) ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ (38) สบู่ก้อน สบู่เหลว
10.) หมวดอาหาร (39) กระเทียม (40) ไข่ไก่ (41) ทุเรียน (42) นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว (43) น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ (44) แป้งสาลี (45) มังคุด (46) ลำไย (47) สุกร เนื้อสุกร (48) หอมหัวใหญ่ (49) อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก (50) อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท (51) ไก่ เนื้อไก่ (52) น้ำตาลทราย
11.) หมวดอื่น ๆ (53) เครื่องแบบนักเรียน (54) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย
รายการบริการ
(55) การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า (56) บริการซื้อขายและหรือบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์ (57) บริการทางการเกษตร (58) บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค และ (59) บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ
ยืดหนี้ ‘ซอฟต์โลน’ ถึงสิ้นปี’70 ช่วยผู้ประกอบการ 3 จว.ใต้
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) (โครงการฯ) (ตามข้อ 2) และอนุมัติวงเงินรวมไม่เกิน 750 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ กค. ดำเนินโครงการฯ (ตามข้อ 2) โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการฯ ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 มียอดอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวน 2,980 ราย (แบ่งเป็นผู้ประกอบการรายเดิม 2,772 ราย และผู้ประกอบการรายใหม่ 208 ราย) วงเงินรวม 17,017 ล้านบาท (กรอบวงเงินโครงการฯ 25,000 ล้านบาท) โดยมีสินเชื่อคงค้าง จำนวน 2,568 ราย วงเงินรวม 10,261 ล้านบาท และไม่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non – Performing Loans : NPLs)
2. โครงการฯ จะสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งหากไม่ได้รับการเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องชำระคืนเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 และหากไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระดอกเบี้ยในอัตราปกติของธนาคาร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมตามโครงการฯ ที่กำหนดไว้อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี (โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่จะเป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่แท้จริงของธนาคารพาณิชย์ หรือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ให้สินเชื่อ) ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ เกิดความมั่นใจในการประกอบกิจการ และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง กค. จึงมีความจำเป็นต้องขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (20 ธันวาคม 2565 และ 14 มีนาคม 2566) เพื่อขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ
โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลจดทะเบียนในประเทศซึ่งมีบุคคล สัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกิจการการผลิตการให้บริการ ค้าส่ง และค้าปลีกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีสถานประกอบการอยู่ในเขตจังหวัดยะลา ปัตตานีนราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอเทพา จะนะ นาทวี และสะบ้าย้อย) โดยอาจเป็นผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมหรือผู้ประกอบการรายใหม่ และรวมถึงการรับซื้อหรือรับโอนกิจการเพื่อดำเนินธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าว
2. วัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระดอกเบี้ยของยอดสินเชื่อคงค้าง และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการฟื้นฟูกิจการในรูปของการกู้ยืมเงินประเภทวงเงินหมุนเวียนแบบมีกำหนดระยะเวลาเป็นลำดับแรก และสามารถให้เป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนขยายกิจการได้ เช่น ขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร เป็นต้น
3. วงเงินโครงการฯ วงเงินรวมทั้งโครงการฯ 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
3.1) วงเงิน 12,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ
3.2) วงเงิน 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ มาก่อน
ทั้งนี้ ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ความสำคัญกับ ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อมาก่อนเป็นลำดับแรก โดยธนาคารออมสินสามารถบริหาร จัดการวงเงินโครงการฯ ได้ตามความเหมาะสม
4. วงเงินกู้ต่อรายและระยะเวลาชำระเงินกู้
4.1) ผู้ประกอบการที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการฯ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท และไม่เกินวงเงินที่เคยได้รับ
4.2) ผู้ประกอบการรายใหม่ วงเงินกู้สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องชำระคืนเงินกู้ให้คงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2570 หลังจากนั้นต้องชำระเงินกู้ส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2570 โดยให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ร่วมกับผู้ประกอบการ จัดทำแผนการชำระหนี้และกำหนดหลักเกณฑ์การชำระคืนสินเชื่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถชำระคืนสินเชื่อให้แล้วเสร็จได้ตามระยะเวลาที่กำหนดภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2570
5. วิธีการให้ความช่วยเหลือ
5.1) ธนาคารออมสินจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ โดยการให้กู้ยืมเงิน ผ่านสถาบันการเงิน ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
5.2) ธนาคารออมสินสามารถใช้วงเงินโครงการเพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการได้เช่นเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ
6. อัตราดอกเบี้ย
6.1) ธนาคารออมสินคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี
6.2) สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ 1.99 ต่อปี
7. จำนวนเงินและอายุของตั๋วสัญญาใช้เงิน ธนาคารออมสินจะให้กู้ยืมเงินผ่านสถาบันการเงินในอัตราเต็มตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยผู้ประกอบการหรือตามรายงานสรุปยอดสินเชื่อของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทและไม่มีเศษของหลักพัน โดย (1) กรณีเป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการการผลิตไม่เกิน 360 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และกิจการอื่น ๆ ไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และ (2) กรณีเป็นสินเชื่อระยะยาว (L/T) ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน นับแต่วันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
8. ระยะเวลาโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2570 (2 ปี 6 เดือน) โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 หรือจนกว่าวงเงินที่กำหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
9. การชดเชยจากรัฐบาล รัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 750 ล้านบาท (คิดจากวงเงิน 15,000 ล้านบาท x ร้อยละ 2 ต่อปี x ระยะเวลา 2.5 ปี) โดยให้ธนาคารออมสินเบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริงและทำความตกลงกับ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป
10. เงื่อนไขอื่น ๆ ของธนาคารออมสิน
10.1) ขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA)
10.2) ขอนำผลการดำเนินงานของโครงการฯ นับรวมเป็นผลงานของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามภารกิจเชิงสังคม รวมถึงนำผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ มาปรับผลงานของตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ ค่าใช้จ่าย และการบริหาร คุณภาพหนี้ สำหรับการประเมินผลการดำเนินงานตามบันทึกข้อตกลงของธนาคารออมสิน
10.3) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการในการให้สินเชื่อกับสถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำข้อมูลรายละเอียดและวัตถุประสงค์การใช้วงเงิน สินเชื่อของลูกหนี้ ตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารออมสินกำหนด เพื่อประกอบการเบิกจ่ายสินเชื่อกับธนาคารออมสิน
10.4) ธนาคารออมสินสามารถใช้วงเงินโครงการฯ เพื่อให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการได้และสามารถกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรวงเงินให้แก่สถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ตามความเหมาะสม
10.5) สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อและสุ่มสอบทานสินเชื่อรายลูกหนี้ในโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ พร้อมทั้งจัดทำรายงานสรุปผลการสอบทานดังกล่าวเป็นการเฉพาะแยกจากธุรกรรมสินเชื่อประเภทอื่น ๆ เป็นประจำ ทุกไตรมาส และรวบรวมรายงานดังกล่าวไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการสอบทานสินเชื่อสำหรับการเข้าตรวจสอบสถาบันการเงินประจำปีของ ธปท.
10.6) สำหรับหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการฯ อื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 และวันที่ 14 มีนาคม 2566
กค. โดยธนาคารออมสินได้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการตามมาตรา 27 และมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อประกอบการเสนอเรื่อง ต่อคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยในส่วนของการดำเนินการตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กค. แจ้งว่า ณ สิ้นวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ภาระที่รัฐต้องรับชดเชย ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมียอดคงค้างจำนวน 1,077,913 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการอนุมัติโครงการฯ จำนวน 750 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว จะส่งผลให้ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,088,115 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 29 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 32 ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดไว้และเพื่อให้เป็นไป ตามมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินโครงการดังกล่าว ธนาคารออมสินจะจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรมมาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อไป
ทุ่ม 2,055 ล้าน จัดกีฬาซีเกมส์ – อาเซียนพาราเกมส์
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณจำนวน 2,055 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) (กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสงขลา และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) (กีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 26 มกราคม 2569 ณ จังหวัดนครราชสีมาและกรุงเทพมหานคร
2. อนุมัติหลักการให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขัน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่นที่เป็นการสนับสนุนการจัดการแข่งขันตามที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ) เสนอ
ทั้งนี้ กก. ได้ขออนุมัติหลักการให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันโดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่น ที่เป็นการสนับสนุนการจัดการแข่งขันตามที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 เสนอ
3. กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วเห็นควรรับทราบ/ไม่ขัดข้อง/เห็นชอบตามที่ กก. เสนอ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ สงป. เห็นควรให้ใช้จ่ายจาก
(1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 157.584 ล้านบาท
(2) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 1,343.056 ล้านบาท
(3) เงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ จำนวน 400 ล้านบาท
(4) เงินรายได้จากแหล่งอื่น เช่น ค่าจำหน่ายบัตรเข้าชม จำนวน 154.60 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่ยังขาดให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ เห็นควรให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือ จำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำหรับการให้จังหวัดและ อปท. มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขัน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายหรือดำเนินกิจกรรมอื่นที่เป็นการสนับสนุนการจัดการแข่งขัน เห็นควรให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ กำหนด โดยไม่ควรซ้ำซ้อนกับรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
เห็นชอบแผนพัฒนาสุขภาพจิต ฯ ฉบับที่ 1 ระยะที่ 2
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) (ร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570)
2. เห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาสุขภาพจิต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
นายอนุกูล กล่าวว่า แผนสุขภาพจิตแห่งชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) เป็นแผนระยะยาว 20 ปี จึงมีความจำเป็นต้องทบทวนเป็นระยะทุก 5 ปี เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดรับกับสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ผ่านมากรมสุขภาพจิตได้จัดทำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2580) (แผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2565) แต่ปัจจุบันสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินงานแล้ว กรมสุขภาพจิตจึงได้จัดทำ (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตฯระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) มาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
สำหรับร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 -2570) มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตและจิตเวชให้มีประสิทธิภาพประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ เช่นเดียวกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2561 – 2565) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต ยุทธศาสตร์ที่ 2พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ยุทธศาสตร์ที่ 3 ขับเคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย สังคม และสวัสดิการ และยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต แต่มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานในบางประเด็น เช่น ปรับกลุ่มเป้าหมายจาก คนไทย เป็น คนทุกช่วงวัย เพื่อบให้ครอบคลุมประชากรทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย และปรับเพิ่มกลยุทธ์ในแต่ละยุทธศาสตร์ (เดิมในแผนระยะที่ 1 ไม่ได้มีการกำหนดกลยุทธ์) เพื่อให้มีแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2566 และคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตฯ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) ด้วยแล้ว
กันงบข้ามปีจ้างที่ปรึกษาทำ EIA ด่าน ‘บ้านฮวก – กิ่วหก’
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลง รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน งบรายจ่ายอื่น กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินจากเดิมรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข 1136 แยกทางหลวงหมายเลข 11 (ลำพูน) – บรรจบ ทางหลวงหมายเลข 106 (เหมืองง่า) จังหวัดลำพูน (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข 1136) วงเงิน 9.50 ล้านบาท เป็น รายการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดนบ้านฮวก – กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวง สนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดนบ้านฮวก – กิ่วหก) วงเงิน 9.37 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 6.65 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ จำนวน 2.72 ล้านบาท กรมทางหลวง (ทล.) จะปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับต่อไป รวมทั้งอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568 เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2569
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณ พิจารณาแล้วเห็นชอบให้ กรมทางหลวง (ทล.) เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ภายใต้แผนงานบูรณาการโครงการงบรายจ่าย และรายการดังกล่าว เพื่อเป็นรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดน บ้านฮวก – กิ่วหก ภายในกรอบวงเงิน 9.37 ล้านบาทโดยมีระยะเวลาดำเนินการ 450 วัน แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ทล. จึงต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ประกอบกับรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดนบ้านฮวก – กิ่วหก มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่าหนึ่งปีงบประมาณ จึงเป็นการดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทล. จึงต้องขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยมาตรา 42 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ ขอให้ ทล. ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และขอทำความตกลงกับ สงป. อีกครั้งตามขั้นตอนตอนต่อไป
ตั้ง ‘สุเมธ ตั้งประเสริฐ’ ผู้ว่า กนอ. – ‘ณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์’ นั่งเลขา ครม.ต่อ 1 ปี
นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้
1. การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ แต่งตั้งนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ เป็นผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 และครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
2. การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ รับโอน นายณฐพงศ์ วรรณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
3. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เสนอ แต่งตั้ง นายวัธนชัย ทองประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
4. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะครบวาระการดำรงตำแหน่งสองปี ดังนี้
1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์
2. นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์
3. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์
4. นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์
5. นายเพชร เจียรนัยศิลาวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์
6. นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์ (ภาคเอกชน)
7. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์ (ภาคเอกชน)
8. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม (ภาคเอกชน)
9. นายชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์ (ภาคเอกชน)
10. นายเกรียงศักดิ์ ขาวเนียม สาขาวิทยาศาสตร์ (ภาคเอกชน)
11. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ภาคเอกชน)
12. นางสาวโอภา วัชระคุปต์ สาขาเภสัชศาสตร์ (ภาคเอกชน) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
5. การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์ ศิรินิล) สั่งและปฏิบัติราชการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
6. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 184/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 184/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 7/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 6 มกราคม 2568 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 24 มีนาคม 2568 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2568 ดังนี้
1. ให้ยกเลิกส่วนที่ 4 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
– ให้ยกเลิกความในข้อ 1.1 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“1.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.1.1 กระทรวงกลาโหม
1.1.2 กระทรวงมหาดไทย
1.1.3 กระทรวงยุติธรรม
1.1.4 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
1.1.5 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
1.1.6 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา)”
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)
– ให้ยกเลิกความในข้อ 2.1 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“2.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
2.1.1 กระทรวงการต่างประเทศ
2.1.2 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
2.1.3 กระทรวงคมนาคม
2.1.4 กระทรวงแรงงาน
2.1.5 กระทรวงวัฒนธรรม
2.1.6 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี”
4. รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)
4.1 ให้ยกเลิกความในข้อ 6.1 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“6.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
6.1.1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
6.1.2 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
6.1.3 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
6.1.4 กระทรวงศึกษาธิการ
6.1.5 กระทรวงสาธารณสุข
6.1.6 กรมประชาสัมพันธ์
6.1.7 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
6.1.8 สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง”
4.2 ให้ยกเลิกความในข้อ 6.3 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2568 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“6.3 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
6.3.1 สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
6.3.2 สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
6.3.3 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
6.3.4 สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
6.3.5 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
6.3.6 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
6.3.7 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
6.3.8 สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)” ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป