ASEAN Roundup มาเลเซียเปิดตัวแพลตฟอร์ม Startup ASEAN เต็มรูปแบบ 

ASEAN Roundup ประจำวันที่ 22-28 มิถุนายน 2568

  • มาเลเซียเปิดตัวแพลตฟอร์ม Startup ASEAN เต็มรูปแบบ
  • มาเลเซียเผยสิทธิประโยชน์ภาษีจูงใจ VC ลงทุนในสตาร์ทอัพ
  • สมัชขาแห่งชาติเวียดนามอนุมัติตั้งศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ
  • เวียดนามอนุมัติเอกชนลงทุนรถไฟความเร็วสูง
  • อินโดนีเซียเล็งยกเลิกกฏระเบียบคุมภาคเศรษฐกิจจริง

    มาเลเซียเปิดตัวแพลตฟอร์ม Startup ASEAN เต็มรูปแบบ

    ที่มาภาพ: https://theedgemalaysia.com/node/760435

    วันที่ 27 มิถุนายน 2568 รัฐบาลมาเลเซีย เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Startup ASEAN” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเปิดใช้งานแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบเพื่อเป็นศูนย์กลางดิจิทัลเกทเวย์ที่เชื่อมโยงและส่งเสริมให้กับสตาร์ทอัพทั่วภูมิภาคอาเซียน โครงการนี้ริเริ่มโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (MOSTI) และดำเนินการโดยบริษัท Cradle Fund Sdn Bhd (Cradle) การเปิดตัวในระดับภูมิภาคครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมาเลเซียภายใต้บทบาทประธานอาเซียนประจำปี 2568 ที่จะส่งเสริมนวัตกรรมที่ครอบคลุมและพลวัตทางเศรษฐกิจทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    โครงการ ASEAN Startup Initiative (ASI) ได้รับการรับรองจากการประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ครั้งที่ 85 (COSTI-85) และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ครั้งที่ 20 (AMMSTI-20) ในเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา เมื่อเร็ว ๆ นี้

    โครงการริเริ่มสตาร์ทอัพอาเซียนซึ่งนำโดยมาเลเซีย มุ่งเน้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

  • เพิ่มนโยบาย “เป็นมิตรต่อสตาร์ทอัพ” เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้สตาร์ทอัพเติบโต
  • เพิ่มความพร้อมของระบบนิเวศในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อให้แน่ใจว่ามีโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ และ
  • ขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิผลภายในภูมิภาค

    การเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ซึ่งต่างจากช่วงเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้า ถือเป็นการเริ่มเดินหน้าดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ โดยมาพร้อมขีดความสามารถสำคัญในการรองรับและส่งเสริมระบบนิเวศด้านนวัตกรรมของอาเซียนอย่างครอบคลุม แพลตฟอร์ม Startup ASEAN ได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางแบบครบวงจรสำหรับสตาร์ทอัพ โดยเปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดระดับภูมิภาค แหล่งเงินทุน เครือข่ายนักลงทุน การพัฒนาบุคลากร และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับระบบนิเวศสตาร์ทอัพ

    นายชาง ลี่ห์ คัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมาเลเซีย (MOSTI) กล่าวว่า “มาเลเซียรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 และมีบทบาทนำในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพระดับภูมิภาคแบบบูรณาการและได้รับการส่งเสริมอย่างแท้จริง แพลตฟอร์ม Startup ASEAN ไม่ได้เป็นเพียงดิจิทัลเกทเวย์ แต่ยังเป็นกลไกเชิงกลยุทธ์ที่เกิดจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าถึงตลาด แหล่งทุน บุคลากร และข้อมูลที่ยังขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบในภูมิภาคนี้”

    นายคังกล่าวอีกว่า “การเปิดตัวแพลตฟอร์มครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จสำคัญครั้งแรกภายใต้กรอบความร่วมมือ ‘ASEAN Startup Technology Ignite 2025’ และผมขอชื่นชม Cradle ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการนี้ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ เราไม่ได้เพียงแค่เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค แต่ยังสร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพของมาเลเซียสามารถขยายธุรกิจ เติบโต และประสบความสำเร็จทั้งในอาเซียนและระดับโลกผ่านแพลตฟอร์มแห่งนี้”

    ดร. เกา กึมฮวนเลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า “วันนี้ เราได้เป็นสักขีพยานในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Startup ASEAN ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่จะพลิกโฉมวงการ และถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางสำหรับสตาร์ทอัพทั่วทั้งภูมิภาคของเรา แพลตฟอร์มนี้จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการ นักลงทุน สถาบันภาครัฐ และผู้สร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพจากทุกประเทศสมาชิกเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ โดยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของอาเซียนในการเสริมสร้างการบูรณาการในระดับภูมิภาค พร้อมทั้งปลดล็อกโอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ผ่านพลังของเทคโนโลยีและนวัตกรรม”

    Norman Matthieu Vanhaecke ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Cradle กล่าวว่า “Cradle รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีบทบาทในการเป็นผู้นำเพื่อขับเคลื่อนโครงการนี้ และมีส่วนร่วมในการผลักดันการเติบโตของอาเซียนผ่านพลังแห่งนวัตกรรม แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ภายในระบบนิเวศสตาร์ทอัพ เสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และปลดล็อกศักยภาพของผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในอาเซียนให้เติบโตอย่างแท้จริง”

    Norman กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากฐานข้อมูลระดับภูมิภาคแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังจะเป็นพื้นที่จัดโครงการระดับภูมิภาคที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด รวมถึงประเทศคู่เจรจา เช่น เกาหลีใต้และจีนอีกด้วย”

    แนวคิดแพลตฟอร์ม ASEAN Startup ได้รับความเห็นชอบเมื่อปี 2566 ซึ่งได้มอบหมายให้บริษัท Cradle ทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานภายใต้กรอบนโยบายของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมาเลเซีย (MOSTI) โครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนานโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ การยกระดับความพร้อมของระบบนิเวศในภูมิภาค และการผลักดันโครงการและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระดับภูมิภาคที่สร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม

    ในฐานะประธานอาเซียนประจำปี 2568 บทบาทผู้นำของมาเลเซียภายใต้กรอบ ASEAN Technology Startup Ignite Programme สะท้อนให้เห็นถึงการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างบทบาทของประเทศให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค

    การดำเนินงานภายใต้โครงการนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

    ระยะที่ 1 (ปี 2567): การพัฒนาและเปิดตัวแพลตฟอร์ม Startup ASEAN ในช่วงก่อนเปิดใช้งานจริง

    ระยะที่ 2 (ปี 2568): การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแพลตฟอร์ม Startup ASEAN พร้อมด้วยโครงการระดับภูมิภาค การพัฒนาศักยภาพ และการจัดประชุมสุดยอด Startup ASEAN Summit

    ระยะที่ 3 (ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป): การจัดตั้ง ศูนย์ความเป็นเลิศอาเซียน (ASEAN Centre of Excellence) เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น

    Startup ASEAN ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำคัญที่รวมสตาร์ทอัพกว่า 4,000 แห่ง นักลงทุน 1,087 ราย และผู้เล่นในระบบนิเวศจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และมีมูลค่าระบบนิเวศกว่า 131,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

    ความคิดริเริ่มที่สำคัญนี้เป็นหนึ่งในผลงานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของมาเลเซียภายใต้การเป็นประธานอาเซียนในปี 2025 จัดทำโดยคณะกรรมการอาเซียนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (COSTI)

    Startup ASEAN เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับความร่วมมือ การระดมทุน และการขยายขนาดข้ามพรมแดน

    มาเลเซียเผยสิทธิประโยชน์ภาษีจูงใจ VC ลงทุนในสตาร์ทอัพ

    ที่มาภาพ: https://www.businesstoday.com.my/2023/06/16/dosm-malaysias-fdi-recorded-rm74-6-billion-while-dia-registered-rm58-6billion-the-highest-since-2021/

    มาเลเซียได้ออก มาตรการจูงใจทางภาษีใหม่ เพื่อดึงดูดการลงทุนในภาคส่วนเงินร่วมลงทุน (Venture Capital:VC) ให้มากขึ้น และหุ้นนอกตลาด(Private Equity) เพื่อเพิ่มแหล่งเงินทุนสำหรับสตาร์ทอัพในประเทษ รัฐมนตรีคนที่สองของกระทรวงการคลังอามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน ประกาศมาตรการดังกล่าวเมื่อวันอังคาร(24 มิ.ย.)

    ภายใต้โครงการใหม่นี้ กองทุนการลงทุนที่เข้าเงื่อนไขจะได้รับอัตราภาษีที่ลดลงเหลือ 5% นานถึง 10 ปี โดยต้องจัดสรรเงินทุนอย่างน้อย 20% ให้กับบริษัทสตาร์ทอัพของมาเลเซีย โครงการนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความมุ่งมั่นในระยะยาวต่อภูมิทัศน์นวัตกรรมในท้องถิ่น

    นอกจากนี้ บริษัทจัดการ VC และ PE ที่จดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์มาเลเซียจะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษี 10% สิทธิประโยชน์นี้ยังใช้ได้กับหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในประเทศด้วย ทำให้กลุ่มนักลงทุนและโครงสร้างกองทุนมีการเข้าถึงที่กว้างขึ้น

    นายอามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน ยอมรับว่าระบบนิเวศของเงินทุนเสี่ยงของมาเลเซียยังคงมีขนาดค่อนข้างเล็ก โดยมีเงินทุนทั้งหมดเพียง 429 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ได้ย้ำว่าความมุ่งหวังของรัฐบาลนั้นไกลกว่าตัวเลขเหล่านี้มาก โดยตั้งเป้าที่จะวางตำแหน่งมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับการลงทุนและนวัตกรรมสตาร์ทอัพ

    เพื่อเป็นการเสริมมาตรการภาษีใหม่ ธนาคารกลางมาเลเซียได้ดำเนินการปฏิรูปนโยบายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้การระดมทุนข้ามพรมแดนง่ายขึ้น บริษัทเงินร่วมลงทุนและบริษัททุนเอกชนสามารถยื่นได้ตามขนาดกองทุนที่จัดสรรไว้แทนที่จะใช้ธุรกรรมแต่ละรายการ การปรับเปลี่ยนนี้คาดว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานและดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศมากขึ้น

    นายอามีร์ชี้ว่า นอกเหนือจากทุนแล้ว การปฏิรูปนโยบายยังมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรม ก่อนหน้านี้ มาเลเซียพึ่งการยกเว้นภาษีภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด แนวทางที่ปรับปรุงใหม่ซึ่งให้อัตราภาษีลดหย่อนพร้อมสิทธิ์ที่กว้างขึ้น มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงระบบให้ทันสมัยและทำให้เข้าถึงนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนได้มากขึ้น

    ในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะเสริมสร้างระบบนิเวศให้เข้มแข็งขึ้น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Khazanah Nasional และหน่วยงานกองทุนรวมกองทุน Jelawang Capital ได้แต่งตั้งบริษัทเงินร่วมลงทุน 5 แห่งแรกภายใต้โครงการเรือธง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการริเริ่มผู้จัดการกองทุนระดับภูมิภาค (Regional Fund Managers’ Initiative: RMI) และโครงการผู้จัดการกองทุนรุ่นใหม่ (Emerging Fund Managers’ Programme: EMP) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนบุคลากรในท้องถิ่นและดึงดูดผู้เล่นระดับโลก

    ภายใต้โครงการ Emerging Fund Managers’ Programme (EMP) บริษัทเงินทุนเสี่ยงในท้องถิ่น 3 แห่งที่ได้รับการคัดเลือก ได้แก่ First Move, Kairous Capital และ Vynn Capital First Move ลงทุนตั้งแต่ระยะก่อนการระดมทุน โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ก่อตั้งและผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องเพื่อเปลี่ยนแนวคิดในช่วงเริ่มต้นให้เป็นบริษัทที่ปรับขนาดได้ Kairous Capital สนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่มุ่งหวังจะเติบโตนอกประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม ในขณะเดียวกัน Vynn Capital มุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนการเคลื่อนย้ายและห่วงโซ่อุปทาน โดยลงทุนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงระยะ Series A

    บริษัทระดับภูมิภาคสองแห่ง ได้แก่ AppWorks และ Granite Asia ได้รับเลือกภายใต้ RMI บริษัท AppWorks ซึ่งตั้งอยู่ในไต้หวันมีแผนจะเปิดตัวกลุ่มสตาร์ทอัพ Web 2.0 และ Web 3.0 เฉพาะในมาเลเซีย ในขณะที่ Granite Asia ซึ่งเป็นนักลงทุนหลายระยะที่มีผลงานระดับโลกที่แข็งแกร่ง จะให้การสนับสนุนภาคส่วนต่างๆ เช่น ซอฟต์แวร์องค์กร เทคโนโลยีด้านสุขภาพ และระบบอัตโนมัติ ทั้งสองบริษัทมีเป้าหมายที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพของมาเลเซียขยายขนาดในระดับภูมิภาคและเข้าถึงเครือข่ายระดับนานาชาติ

    สมัชขาแห่งชาติเวียดนามอนุมัติตั้งศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ

    ที่มาภาพ: https://en.baochinhphu.vn/lawmakers-approve-resolution-on-international-financial-center-111250627134022424.htm

    เมื่อวันศุกร์(27 มิ.ย.)ที่ผ่านมา สมัชชาแห่งชาติเวียดนามได้อนุมัติมติจัดตั้งศูนย์การเงินระหว่างประเทศ (IFC) ในประเทศ

    มติดังกล่าวซึ่งประกอบด้วย 6 บทและ 35 มาตรา จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน 2568 และให้กรอบทางกฎหมายที่ครอบคลุมสำหรับการจัดตั้ง การดำเนินการ การกำกับดูแล การกำกับดูแล และการดำเนินการตามกลไกและนโยบายพิเศษสำหรับ IFC ของเวียดนาม

    IFC จะจัดตั้งทั้งในนครโฮจิมินห์และดานัง โดยใช้รูปแบบการดำเนินงาน การกำกับดูแล และการกำกับดูแลแบบรวมศูนย์

    แต่ละเมืองจะพัฒนาแผนงานผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เหมาะสมกับจุดแข็งของตนเอง โดยคำนึงถึงความสมดุล ความเป็นธรรม และการเสริมซึ่งกันและกัน IFC มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมบทบาทของเวียดนามในเครือข่ายการเงินระดับโลกและทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    นอกจากนี้ ศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการระดมทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและโครงการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะดำเนินการตามมาตรฐานสากลขั้นสูง เชื่อมโยงกับตลาดการเงินระดับโลกที่สำคัญ และเพิ่มการบูรณาการระหว่างการแลกเปลี่ยนในประเทศและต่างประเทศ คาดว่า IFC จะดึงดูดกระแสเงินทุนและส่งเสริมนวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีทางการเงิน

    นอกจากนี้ IFC ยังมุ่งเน้นการสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงโดยดึงดูดผู้เชี่ยวชาญทางการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้ง IFC ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อธุรกิจและน่าอยู่อาศัยสำหรับนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอีกด้วย

    การพัฒนาของ IFC จะต้องมีความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของรัฐ นักลงทุน และประชาชน ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความมั่นคงทางการเงิน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความสงบเรียบร้อยทางการเมือง และความปลอดภัยทางสังคม

    มติได้กำหนดกลไกและนโยบายพิเศษต่างๆ ในด้านสำคัญๆ เช่น การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการดำเนินการด้านธนาคาร ตลาดทุนและแรงจูงใจทางภาษี การประกันสังคมและการจ้างงาน การใช้ที่ดิน การก่อสร้าง และการจัดการสิ่งแวดล้อม กรอบนำร่องควบคุมสำหรับเทคโนโลยีทางการเงินและนวัตกรรม สิทธิประโยชน์สำหรับนักลงทุนเชิงกลยุทธ์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบการค้าและบริการ รวมถึงการนำเข้า/ส่งออก การจัดจำหน่าย และค่าบริการ การแก้ไขข้อพิพาทในกิจกรรมการลงทุนและทางธุรกิจ

    ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาทางการในการทำงานสำหรับ IFC โดยจะใช้เฉพาะหรือมาพร้อมกับคำแปลภาษาเวียดนาม กฎระเบียบและกฎภายในทั้งหมดจะเผยแพร่เป็นทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเวียดนาม

    เวียดนามกำลังวางรากฐานทางกฎหมาย สถาบัน และกายภาพเพื่อสร้างศูนย์กลางทางการเงินที่สามารถเปรียบเทียบได้ทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับการไหลเวียนของเงินทุน นวัตกรรม การเงินสีเขียว เทคโนโลยีทางการเงิน และการบูรณาการระดับนานาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเวียดนามในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก

    เวียดนามอนุมัติเอกชนลงทุนรถไฟความเร็วสูง

    ที่มาภาพ: https://www.vietnam-briefing.com/news/vietnams-north-south-high-speed-railway-project-business-opportunities.html/

    สภานิติบัญญัติแห่งชาติเวียดนามได้อนุมัติรูปแบบการพัฒนาใหม่ 2 รูปแบบสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเหนือ-ใต้ คือ การร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนหรือ public-private partnership กับภาคเอกชนลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ

    สมาชิกสมัชขาแห่งชาติลงมติเห็นชอบกลไกใหม่ในวันศุกร์(27 มิ.ย.) และมอบอำนาจให้รัฐบาลในการกำหนดรูปแบบและนักลงทุนสำหรับโครงการดังกล่าว

    เดิมการลงทุนกำหนดให้เป็นโครงการภาครัฐ แต่ได้รับความสนใจจากบริษัทต่างๆ หลังจากมติ คณะกรรมการกรมการเมืองล่าสุดที่ส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชน

    กลุ่มบริษัทในประเทศสองแห่งใหญ่ได้ส่งข้อเสนอการก่อสร้างทางรถไฟ

    VinSpeed บริษัทของ ฟาม เญิต เวือง มหาเศรษฐีชาวเวียดนาม เสนอที่จะสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงโดยนำเงินทุน 20% จากเงินทุนทั้งหมด 61,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ประเมินไว้สำหรับโครงการนี้ และที่เหลือเป็นเงินกู้ (เทียบเท่ากับ 49,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) จากรัฐบาล

    บริษัทผลิตรถยนต์ Thaco Group ก็ได้ยื่นข้อเสนอด้วยเงื่อนไขที่คล้ายกัน แม้ว่าบริษัทจะเสนอที่จะกู้ยืมเงิน 49,000 ล้านเหรียญจากสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ โดยที่รัฐบาลเพียงแค่ค้ำประกันเงินกู้เท่านั้น

    Thaco มีแผนที่จะจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารโครงการและรดูแลโครงการให้อยู่ในมือของผู้ประกอบการในประเทศ

    เส้นทางรถไฟซึ่งได้รับการอนุมัติจากสมัชชาเมื่อปีที่แล้ว จะวิ่งจากฮานอยไปยังโฮจิมินห์ซิตี้เป็นระยะทาง 1,541 กิโลเมตร ผ่าน 20 จังหวัดและเมืองด้วยความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีสถานีโดยสาร 23 แห่งและสถานีขนส่งสินค้า 5 แห่ง

    การศึกษาความเป็นไปได้มีกำหนดจะเริ่มขึ้นในปีนี้ โดยกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568

    อินโดนีเซียเล็งยกเลิกกฏระเบียบคุมภาคเศรษฐกิจจริง

    ที่มาภาพ: https://en.antaranews.com/news/362529/prabowo-initiates-measures-to-safeguard-indonesias-domestic-economy

    ประธานาธิบดีปราโบโว สุเบียนโต ได้เสนอมาตรการเชิงกลยุทธ์เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศของอินโดนีเซียและเสริมสร้างตำแหน่งของประเทศในการเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ จากการเปิดเผยของเท็ดดี้ อินทรา วิชยา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

    ข้อเสนอดังกล่าวถูกเสนอขึ้นในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบปิดที่พระราชวังเมอร์เดกาในจาการ์ตาเมื่อวันศุกร์ (27 มิถุนายน) ไม่นานหลังจากที่ประธานาธิบดีปราโบโวได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอันวาร์ อิบราฮิม

    ตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ วิจายากล่าวว่า การหารือระดับสูงมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองเชิงกลยุทธ์ของอินโดนีเซียต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลก ความคืบหน้าในการเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ และความพยายามที่จะฟื้นฟูความร่วมมือในภูมิภาค ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    “มาตรการสำคัญอย่างหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันคือการยกเลิกการควบคุมภาคเศรษฐกิจจริง โดยการแก้ไขกฎกระทรวงการค้าฉบับที่ 8 ปี 2567 กฎกระทรวงดังกล่าวจะลดความซับซ้อนลงเป็นบทบัญญัติเฉพาะภาคส่วนเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น” วิจายาอธิบาย

    กฎกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ 8 ปี 2567 คุมนโยบายและกฎข้อบังคับการนำเข้าสำหรับปี 2567

    วิจายายังชี้ว่า ประธานาธิบดีปราโบโวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่มีการแข่งขันโดยการจัดขั้นตอนการออกใบอนุญาตที่ยุ่งยาก

    “ประธานาธิบดีได้สั่งการให้รัฐมนตรีดำเนินการยกเลิกกฎระเบียบในภาคเศรษฐกิจจริงในลักษณะที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดขั้นตอนราชการที่ยุ่งยาก เพื่อให้สามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศไว้ได้ดีขึ้น” เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกล่าว

    การประชุมครั้งนี้ยังได้ทบทวนความคืบหน้าที่น่าพอใจในการเจรจาภาษีศุลกากรระหว่างอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา โดยทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงคุณค่าเชิงกลยุทธ์ของ
    การส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อกัน

    “ทั้งสองประเทศตกลงที่จะให้ความสำคัญกับแนวทางแก้ปัญหาที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โดยตระหนักถึงลักษณะเชิงกลยุทธ์ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซียและสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ทีมเจรจากำลังดำเนินการหารืออย่างเข้มข้นเพื่อปรับประสานคำขอและข้อเสนอจากทั้งสองฝ่าย” วิจายากล่าวและว่า รัฐบาลอินโดนีเซียได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากหน่วยงานเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ

    “รัฐบาลได้รับการสนับสนุนเชิงบวกจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ และนายจามีสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งทั้งคู่ตอบรับต่อความคิดริเริ่มของอินโดนีเซียที่จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ” วิจายากล่าว

    การประชุมแบบปิดดังกล่าวมีรัฐมนตรีประสานงานด้านกิจการเศรษฐกิจนายแอร์กลังกา ฮาร์ตาร์โต และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงปราเซโต ฮาดิเข้าร่วมด้วย

    นายแอร์ลังก้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซียเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการลงทุนและการค้าภายในอาเซียน โดยเฉพาะระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

    ในแถลงการณ์หลังการประชุมทวิภาคีระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซียที่อาคารทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันศุกร์ นายฮาร์ตาร์โต้กล่าวว่าจุดแข็งหลักของอาเซียนอยู่ที่ความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศและการบูรณาการห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค

    “เราต้องส่งเสริมการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน เนื่องจากพื้นฐานของความแข็งแกร่งของอาเซียนคือเศรษฐกิจในประเทศและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค” นายฮาร์ตาร์โตกล่าวและชี้ว่ ความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซีย ควรได้รับการให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจในภูมิภาค

    นอกจากนี้การหารือเกี่ยวกับตำแหน่งของอาเซียนในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(Regional Comprehensive Economic Partnership:CEP) กำลังเป็นเรื่องเชิงยุทธศาสตร์มากขึ้นในบริบทของความร่วมมือระดับโลก รวมถึงกับประเทศสมาชิกสภาความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council:GCC)

    รัฐมนตรียังประเมินว่าการทำงานร่วมกันตามแผนของเขตเศรษฐกิจพิเศษระหว่างสิงคโปร์ ยะโฮร์ในมาเลเซีย และรีเยาในอินโดนีเซียมีศักยภาพที่สำคัญสำหรับ
    การพัฒนาแบบบูรณาการ ความร่วมมือข้ามพรมแดนดังกล่าวสามารถส่งเสริมการลงทุนและการเติบโตของการค้า รวมถึงศักยภาพในการส่งออกในภาคส่วนทางทะเล ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจในปัจจุบัน

    “ยะโฮร์จะสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย เราได้หารือเกี่ยวกับแผนการสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างสิงคโปร์ ยะโฮร์ และรีเยา เพื่อให้สามารถรวมศักยภาพทางเศรษฐกิจของทั้งสามภูมิภาคนี้เข้าด้วยกันได้” นายฮาร์ตาร์โตกล่าว