ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามคาด AI สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจทะลุแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2583

ASEAN Roundup เวียดนามคาด AI สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจทะลุแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2583

15 มิถุนายน 2025


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 8-14 มิถุนายน 2568

  • เวียดนามคาด AI สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจทะลุแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2583
  • Qualcomm เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา AI ในเวียดนาม
  • BRICS ตอบรับเวียดนามเป็น Partner Country
  • สิงคโปร์แจ้งบริษัทคริปโตหยุดให้บริการโทเค็นดิจิทัลลูกค้าในต่างประเทศ กันฟอกเงิน
  • มาเลเซียขยายขอบเขตเก็บภาษีสินค้าไม่จำเป็นและบริการ
  • ลาวเผย 4 ยุทธศาสตร์ 4 เร่งผลิตไฟฟ้าในประเทศ

    เวียดนามคาด AI สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจทะลุแสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2583

    ที่มาภาพ: https://vir.com.vn/imf-predicts-vietnams-economic-growth-to-reach-61-per-cent-in-2024-115057.html
    เวียดนามคาดว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Artificial intelligence (AI) จะเข้ามามี บทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอีกสองทศวรรษข้างหน้า โดยอาจสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้ระหว่าง 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2583 การคาดการณ์นี้มาจากรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่ในวัน 13 มิถุนายน โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ (National Innovation Centre:NIC) ซึ่งดำเนินงานภายใต้กระทรวงการคลังของเวียดนาม

    รายงานดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยร่วมมือกับสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency:JICA) และ Boston Consulting Group (BCG) และนับเป็นเอกสารฉบับแรก ที่ให้ภาพรวมของเศรษฐกิจ AI ในเวียดนามอย่างครอบคลุม นำเสนอประสบการณ์ระดับนานาชาติด้านการพัฒนา AI และวิเคราะห์โอกาสในภาคเศรษฐกิจสำคัญ นำเสนอการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันและศักยภาพในอนาคตของ AI ในเวียดนาม
    พร้อมทั้งเสนอแนวทางการพัฒนาสำหรับเศรษฐกิจ AI

    ในการเปิดตัวรายงาน นายหวู่ ก๊วก ฮุย ผู้อำนวยการใหญ่ของ NIC กล่าวว่า “รายงานนี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมครั้งแรกของเศรษฐกิจ AI ของเวียดนาม โดยได้ดึงเอาบทเรียนอันมีค่าจากประสบการณ์ระดับนานาชาติ วิเคราะห์โอกาสรายภาคส่วน และสรุปเสาหลักเชิงยุทธศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาระบบนิเวศ AI ที่คึกคักในเวียดนาม”

    นายหวู่ ก๊วก ฮุยกล่าวว่า เวียดนามกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญอย่างยิ่ง จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังเร่งตัวขึ้นทั่วโลก ความก้าวหน้าครั้งใหม่ในด้านเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน และข้อมูลขนาดใหญ่ กำลังปรับเปลี่ยนห่วงโซ่มูลค่าโลกและเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกอย่างมาก

    “AI กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการปฏิวัติครั้งนี้ โดยคาดการณ์ว่าจะมีส่วนสนับสนุนต่อเศรษฐกิจโลกมากถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 เวียดนามมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมและสร้างสถานะที่มั่นคงในสาขาสำคัญนี้โดยส่งเสริมความร่วมมืออย่างกว้างขวางกับประเทศชั้นนำ เศรษฐกิจ และบริษัทเทคโนโลยีของโลก” นายหวู่ ก๊วก ฮุยย้ำ

    ด้วยตระหนักถึงโอกาสใหญ่นี้ เวียดนามจึงมุ่งมั่นที่จะไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดย AI เท่านั้น แต่ยังจะสร้างฐานที่มั่นคงในสาขาที่สำคัญนี้ด้วย ประเทศกำลังแสวงหาความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับประเทศอื่นๆ ภูมิภาคเศรษฐกิจ และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และการลงทุน

    นายหวู่ ก๊วก ฮุยได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของรัฐบาลที่มีต่อ AI และนวัตกรรมผ่านนโยบายสำคัญต่างๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงมติของคณะกรรมการกรมการเมืองเลขที่ 57-NQ/TW ที่เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในระดับชาติ มติ 68-NQ/TW ที่สนับสนุนการพัฒนาภาคเศรษฐกิจเอกชน และมติของสมัชชาแห่งชาติหมายเลข 193/2025/QH15 เกี่ยวกับกลไกพิเศษนำร่องเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    เอกสารนี้จะเป็นเอกสารอ้างอิงที่มีประโยชน์ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานบริหารระดับรัฐและระดับท้องถิ่น องค์กร ธุรกิจ และบุคคลต่างๆ จัดทำแผนและแนวทางสำหรับการพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI พร้อมเน้นย้ำว่า AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการพลิกโฉมทางเศรษฐกิจที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบอุตสาหกรรมและเพิ่มผลิตภาพในหลายภาคส่วน

    จากผลการวิจัย ปัจจัยการเติบโตหลักสองประการจะผลักดันผลกระทบทางเศรษฐกิจของ AI ภายในปี 2583 ปัจจัยแรกคือ รายได้จากการบริโภคที่เกิดจากผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้ AI ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าระหว่าง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยขับเคลื่อนประการที่สองคือ ต้นทุนที่ประหยัดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 60,000 – 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาจากประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและผลิตภาพที่เกิดขึ้นโดยเทคโนโลยี AI

    รายงานได้เจาะลึกลงไปในระบบนิเวศ AI ของเวียดนาม โดยระบุถึงความก้าวหน้าและศักยภาพในการนำ AI มาใช้ของประเทศ และยังนำเสนอแบบจำลองโดยละเอียดสำหรับการประยุกต์ใช้ AI ในภาคส่วนต่างๆ ทั้งการผลิต การเงิน การดูแลสุขภาพ และการบริหารสาธารณะ นอกจากนี้ รายงานยังประเมินจุดแข็งและความท้าทายของสตาร์ทอัพด้าน AI ของประเทศ ความสามารถของบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

    ประเด็นสำคัญของรายงานวิจัยนี้คือ แผนงานเชิงยุทธศาตร์และข้อเสนอแนะด้านนโยบายที่มุ่งเร่งการพัฒนา AI ในเวียดนาม โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนนวัตกรรม การบ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ บริษัทเอกชน และพันธมิตรระหว่างประเทศ

    คุโบะ โยชิโมโต รองหัวหน้าสำนักงานผู้แทน JICA ในเวียดนาม ให้ความเห็นในทางเดียวกันว่า รายงานดังกล่าวมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่ AI จะสามารถกำหนดภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของเวียดนามได้ และย้ำถึงการชี้ชัดถึงด้านสำคัญที่ AI จะส่งผลกระทบต่อประเทศมากที่สุด รวมถึงขั้นตอนเชิงยุทธศาสตร์ที่จำเป็นในการสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งในประเทศ

    ในขณะที่เวียดนามกำลังเดินหน้าไปสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ รายงานฉบับนี้เป็นแนวทางสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทั้งหมดของ AI ซึ่งว่าจะขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และวางตำแหน่งประเทศให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่กำลังเติมโต ความพยายามร่วมกันนี้บ่งบอกถึงความมุ่งหวังที่สูงเวียดนามที่จะก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีระดับโลก

    เวียดนามกำลังเปิดรับการปฏิวัติทางดิจิทัลอย่างรวดเร็ว โดยก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยอัตราการเติบโตประจำปีที่น่าประทับใจที่ 20% รัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินมาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลระดับประเทศ

    ในปี 2567 เวียดนามอยู่ในอันดับที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของสตาร์ทอัพและการลงทุนที่เน้นด้าน AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในการปรับใช้ AI ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้านี้คือกำลังแรงงานด้านไอทีและดิจิทัลที่ขยายตัวของประเทศ โดยมีมหาวิทยาลัยมากกว่า 150 แห่งที่เปิดสอนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับไอที และบัณฑิตด้านไอทีมากกว่า 60,000 คนเข้าสู่ตลาดแรงงานทุกปี

    ด้วยรากฐานที่มั่นคงแล้ว การเสริมสร้างปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญและปัจจัยสนับสนุนต่างๆ จะเร่งการเติบโตในระยะยาวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก รายงานระบุถึงเสาหลักการพัฒนาระดับสูง 3 ข้อที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจ AI ของเวียดนามโดยตรง

    เสาหลักแรก การขยายการนำ AI มาใช้ในภาครัฐและเอกชนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการปลดล็อกการเติบโตแบบก้าวกระโดดสำหรับเศรษฐกิจ AI โดยต้องกำหนดภาคส่วนที่มีผลกระทบสูงอย่างชัดเจน เช่น บริการภาครัฐ สิ่งแวดล้อม การจัดการภัยพิบัติ การดูแลสุขภาพ บริการทางการเงิน และการขนส่งเป็นลำดับความสำคัญในระยะแรก การพัฒนาที่แบ่งออกเป็นระยะๆ จะช่วยให้ได้ผลอย่างรวดเร็วและขยายเพื่อการใช้งานในระยะยาวด้วยกลไกที่คล่องตัว

    เสาหลักที่สอง ชุมชนที่เติบโตของเวียดนามต้องการการสนับสนุนอย่างมีรูปแบบเพื่อขยายขนาดและแข่งขันได้ทั้งในตลาดในประเทศและต่างประเทศ โปรแกรมการระดมทุนระดับประเทศที่สนับสนุนจะช่วยให้สตาร์ทอัพเข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำสำหรับการดำเนินธุรกิจ ระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งจะสร้างแอปพลิเคชัน AI ใหม่ๆ และยกระดับตำแหน่งของเวียดนามในฐานะศูนย์กลางการพัฒนา AI

    เสาหลักที่สาม การสร้างกลุ่มผู้มีความสามารถที่ลึกนั้นต้องมีหลักสูตร AI ที่ได้มาตรฐานสากลสำหรับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงการนำหลักสูตรพัฒนาผู้มีความสามารถด้าน AI ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันมาใช้ในระดับใหญ่พอที่มีผล ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับห้องปฏิบัติการวิจัยระดับโลกและบริษัทต่างๆ ผ่านโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกันที่มีกรอบชัดเจนจะช่วยให้ผู้มีความสามารถในเวียดนามได้สัมผัสกับความท้าทายด้าน AI ที่ล้ำสมัยและเครื่องมือในโลกแห่งความเป็นจริง

    รายงานระบุว่า นอกเหนือจากเสาหลักเหล่านี้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันการนำ AI มาใช้และนวัตกรรมโดยตรงแล้ว การเสริมสร้างเสาหลักพื้นฐานของเศรษฐกิจ AI ของเวียดนามยังต้องให้ความสำคัญกับเสาหลักสนับสนุนสามประการเพิ่มเติม

    ประการแรก ต้องเสริมสร้างความรู้และตระหนักรู้เกี่ยวกับ AI ในระดับประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนการนำ AI มาใช้ในวงกว้าง ความคิดริเริ่มที่ปรับขนาดได้ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์หรือการบูรณาการ AI เข้ากับการศึกษา จะช่วยลดช่องว่างในความรู้ด้าน AI ในประเด็นต่างๆ เช่น ความเสี่ยงและจริยธรรม โดยให้ความรู้ที่จำเป็นแก่บุคคลและธุรกิจในการบูรณาการ AI อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยการส่งเสริมวัฒนธรรมของการตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับ AI เวียดนามสามารถสร้างสังคมที่พร้อมสำหรับ AI มากขึ้น และกำหนดตำแหน่งให้ตนเองเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในด้านนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    ประการที่สอง การเข้าถึงข้อมูลคุณภาพสูงและโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลยังคงเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตของ AI ในเวียดนาม ความคืบหน้าที่สำคัญเกิดขึ้นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ(National Data Centre)แห่งแรกของประเทศ การขยายการเข้าถึงข้อมูลคุณภาพสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยเพื่อสร้างแรงส่งนี้และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกรอบการกำกับดูแลที่กำหนดโดยกระทรวงต่างๆ จะช่วยเร่งการวิจัย AI และนวัตกรรมทางการตลาด

    ประการที่สาม นโยบายที่ชัดเจนและปรับเปลี่ยนได้จะสร้างรากฐานสำหรับการพัฒนา AI ที่ยั่งยืน จากการที่เวียดนามยังคงกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงด้าน AI แนวทางจริยธรรม และทรัพย์สินทางปัญญา การบูรณาการกรอบงานเหล่านี้เข้ากับยุทธศาสตร์ระดับชาติและระดับท้องถิ่นจะทำให้ธุรกิจและนักวิจัยมีทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

    Qualcomm เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา AI ในเวียดนาม

    ที่มาภาพ:https://vietnamnews.vn/economy/1719299/qualcomm-launches-new-ai-r-d-centre-in-viet-nam.html

    Qualcomm บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ ได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI R&D) แห่งใหม่ในเวียดนามอย่างเป็นทางการเมื่อวัน 10 มิถุนายน 2568

    ศูนย์แห่งใหม่ซึ่งมีทีมนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ประจำการในกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มวิจัย AI ระดับโลกของ Qualcomm โดยศูนย์แห่งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI เชิงสร้างสรรค์และโซลูชัน AI เชิงตัวแทนที่ล้ำสมัย โดยมีแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมทั้งสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เทคโนโลยีความจริงขยาย (XR) เทคโนโลยียานยนต์ และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT)

    นาย เล ซวน ดินห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวในงานเปิดศูนย์ที่กรุงฮานอยว่า การเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา AI ถือเป็นก้าวสำคัญในความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างเวียดนามและสหรัฐอเมริกาในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจร่วมกัน การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของ Qualcomm ที่มีต่อศักยภาพและความสามารถของบุคลากรด้านไอทีของเวียดนาม ขณะเดียวกันก็เครื่องพิสูจน์ถึงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและลึกยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ

    นาย เล ซวน ดินห์เชื่อว่าศูนย์แห่งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพการวิจัย AI ของเวียดนาม มีส่วนสนับสนุนการฝึกอบรมและพัฒนาผู้เชี่ยวชาญและวิศวกร AI ในประเทศและต่างประเทศ และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประเทศ

    เถี่ยว เฟือง นาม ผู้อำนวยการประจำประเทศของ Qualcomm ประจำเวียดนาม กัมพูชา และลาว กล่าวว่า การดำเนินการของ Qualcomm ในเวียดนามสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับชาติของประเทศในด้าน AI เซมิคอนดักเตอร์ และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยเน้นที่การถ่ายโอนเทคโนโลยี การพัฒนาระบบนิเวศ และการสร้างขีดความสามารถ

    นามกล่าวว่า ด้วยการผสมผสานความสามารถของเวียดนามกับขนาดและความเชี่ยวชาญระดับโลกของ Qualcomm บริษัทหวังว่าจะเร่งการพัฒนาโซลูชัน AI ขั้นสูงที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างบทบาทของเวียดนามในห่วงโซ่คุณค่าด้านนวัตกรรมระดับโลก

    ปัจจุบัน Qualcomm มีสำนักงานตัวแทนสองแห่งในกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ควบคู่ไปกับศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเปิดตัวในกรุงฮานอยเมื่อปี 2565 บริษัทเป็นที่รู้จักจากโครงการ Qualcomm Viet Nam Innovation Challenge ซึ่งเป็นโครงการประจำปีที่สนับสนุนและส่งเสริมสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในท้องถิ่นผ่านความช่วยเหลือทางการเงิน เทคนิค ธุรกิจ และทรัพย์สินทางปัญญา

    ตามมติ 57-NQ/TW เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลระดับชาติที่คณะกรรมการกรมการเมืองให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 เวียดนามตั้งเป้าที่จะติดอันดับหนึ่งในสามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับการวิจัยและพัฒนา AI ภายในปี 2573 เวียดนามซึ่งมีทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ นโยบายที่น่าดึงดูด และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ จึงดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกชั้นนำเพิ่มมากขึ้น และเดินหน้าสู่เป้าหมาย

    BRICS ตอบรับเวียดนามเป็น Partner Country

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ฟาม ทู ฮาง ที่มาภาพ:https://english.vov.vn/en/politics/diplomacy/vietnam-becomes-a-partner-country-of-brics-post1207294.vov

    รัฐบาลบราซิลประกาศเมื่อวันศุกร์(13 มิถุนายน 2568) ว่า เวียดนามได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการให้เป็นสมาชิกประเทศหุ้นส่วน หรือ BRICS Partner Country ของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สำคัญแล้ว ขณะที่กลุ่ม BRICS กำลังเร่งผลักดันการขยายตัว

    เวียดนามเป็นประเทศลำดับที่ 10 ที่ได้รับสถานะนี้ ซึ่งอนุญาตให้ประเทศที่ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BRICS และเวทีการหารืออื่นๆ

    เวียดนามแสดงเจตจำนงเมื่อต้นปีนี้ว่าพร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับกลุ่ม BRICS ซึ่งมีสมาชิกดั้งเดิม ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน

    “รัฐบาลบราซิลยินดีกับการตัดสินใจของรัฐบาลเวียดนาม” บราซิลประเทศในอเมริกาใต้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม BRICS ในปี 2568 แถลง

    “เวียดนามถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อเอเชีย ความพยายามของเวียดนามในการสนับสนุนความร่วมมือใต้–ใต้ (South-South cooperation) หรือ ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยเสริมสร้างเวียดนามกับผลประโยชน์ของกลุ่มได้อย่างลงตัว” แถลงการณ์ระบุ

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ฟาม ทู ฮาง กล่าวเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนว่า เวียดนามได้เข้าร่วมกลุ่ม BRICS ในฐานะประเทศหุ้นส่วน โดยตั้งใจที่จะมีส่วนสนับสนุนและเพิ่มเสียงและบทบาทของประเทศกำลังพัฒนา ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความสามัคคีระหว่างประเทศและลัทธิพหุภาคีที่ครอบคลุมและครอบคลุมบนพื้นฐานของการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ

    โฆษกยืนยันว่าเวียดนามได้มีส่วนสนับสนุนกลไก องค์กร และฟอรัมพหุภาคีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สหประชาชาติ อาเซียน เอเปค กลุ่ม G7 กลุ่ม G20 และ OECD โดยมีส่วนสนับสนุนสันติภาพ เสถียรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนาในภูมิภาคและโลกโดยรวม

    การได้รับสถานะล่าสุดตอกย้ำนโยบายต่างประเทศของเวียดนามที่ยึดความเป็นอิสระ การพึ่งพาตนเอง ความหลากหลาย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบพหุภาคี ขณะเดียวกันก็เป็นมิตร เป็นหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือ และเป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบของประชาคมระหว่างประเทศ นางฮางกล่าว

    BRICS ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 และขยายตัวหลังจากนั้น ด้วยการเพิ่มแอฟริกาใต้เข้าไปด้วย ล่าสุด กลุ่ม BRICS ได้รวมอียิปต์ เอธิโอเปีย อินโดนีเซีย อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าไว้ด้วย ทำให้กลายเป็นกลุ่มประเทศทางการทูตที่ใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับมหาอำนาจตะวันตกแบบดั้งเดิม

    นอกจากนี้ BRICS ยังมี เบลารุส โบลิเวีย คาซัคสถาน คิวบา มาเลเซีย ไนจีเรีย ไทย ยูกันดา และอุซเบกิสถาน เป็นประเทศหุ้นส่วน

    สถานะประเทศหุ้นส่วนหรือ Partner Country ริเริ่มขึ้นในการประชุมสุดยอด BRICS ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ในเดือนตุลาคม 2567 โดยสงวนไว้สำหรับประเทศที่ไม่เป็นสมาชิก BRICS เต็มรูปแบบ แต่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกที่มีอยู่

    สิงคโปร์แจ้งบริษัทคริปโตหยุดให้บริการโทเค็นดิจิทัลลูกค้าในต่างประเทศ กันฟอกเงิน

    ที่มาภาพ:https://www.straitstimes.com/business/banking/singapores-central-bank-to-launch-new-digital-platform-to-fight-illicit-banking
    ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ผู้ให้บริการโทเค็นดิจิทัล(Digital Token Service Providers; DTSP) ซึ่งให้บริการเฉพาะกับลูกค้านอกสิงคโปร์ที่เกี่ยวข้องกับโทเค็นการชำระเงินดิจิทัลและโทเค็นของผลิตภัณฑ์ตลาดทุนจะต้องได้รับอนุญาต หรือต้องหยุดให้บริการโทเค็นดิจิทัลแก่ลูกค้าในต่างประเทศ จากการประกาศของธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore:MAS)

    เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ธนาคารกลางสิงคโปร์ได้ชี้แจงขอบเขตที่บังคับใช้กับผู้ให้บริการโทเค็นดิจิทัล (DTSP) หลังจากที่เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 MAS ได้ให้ตอบกลับต่อการรับฟังความเห็นในเรื่องแนวทางการกำกับดูแล กฎระเบียบ ประกาศ และแนวทางปฏิบัติสำหรับ DTSP ภายใต้พระราชบัญญัติบริการทางการเงินและตลาดการเงิน พ.ศ. 2565(Financial Services and Markets Act 2022)

    ในคำชี้แจงที่ออกเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 MAS ชี้แจงใน 2 เรื่อง คือขอบเขตการกำกับดูแล และการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยในด้านขอบเขตการกำกับดูแลนั้น ระบุว่า

    MAS ได้กำหนดมาตรฐานการอนุญาตไว้สูงและโดยทั่วไปจะไม่ออกใบอนุญาต ความเสี่ยงในการฟอกเงินในรูปแบบธุรกิจดังกล่าวจะสูงกว่า และหากกิจกรรมที่ได้รับการกำกับดูแลอย่างมีสาระสำคัญนั้นอยู่ภายนอกสิงคโปร์ MAS จะไม่สามารถกำกับดูแลบุคคลดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีใบอนุญาต DTSP ดังกล่าวจะต้องยุติกิจกรรมที่ถูกกำกับดูแล

    ผู้ให้บริการสำหรับโทเค็นการชำระเงินดิจิทัลหรือโทเค็นของผลิตภัณฑ์ตลาดทุนที่ให้บริการลูกค้าในสิงคโปร์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอยู่แล้ว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสิ่งที่ผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตสามารถทำได้ ผู้ให้บริการดังกล่าวที่ให้บริการลูกค้าในสิงคโปร์อาจให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกสิงคโปร์ได้เช่นกัน

    ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับโทเค็นอื่นๆ เช่น โทเค็นที่เป็น Utility Token (โทเคนดิจิทัลที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการได้รับสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่น ๆ ที่เฉพาะเจาะจง) และ Governance Tokens (โทเคนดิจิทัลที่ให้สิทธิ์แก่ผู้ถือในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำกับดูแลโปรเจกต์หรือแพลตฟอร์มบล็อกเชน)เท่านั้น ไม่ต้องอยู่ภายใต้การอนุญาตหรือการกำกับดูปลภายใต้เกณฑ์ใหม่ ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบ

    ส่วนในช่วงเปลี่ยนผ่าน MAS ระบุว่า เนื่องจากความเสี่ยงที่สูงขึ้นอันเกิดจากสถานการณ์เฉพาะที่ระบุไว้ข้างต้น DTSP ที่มีอยู่ซึ่งให้บริการเฉพาะลูกค้าภายนอกสิงคโปร์จะต้องยุติกิจกรรมนี้เมื่อกฎเกณฑ์มีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 จุดยืนของ MAS ในเรื่องนี้ได้มีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่มีการตอบครั้งแรกต่อการรับฟังความเห็นสาธารณะเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 และในประกาศที่ตามมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 และ 30 พฤษภาคม 2568

    MAS ได้ติดต่อบุคคลที่อาจได้รับผลกระทบจากระเบียบ DTSP ตามข้อมูลที่มี เพื่อชี้แจงจุดยืนนโยบายนี้และหารือเกี่ยวกับแผนการยุติกิจกรรม เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และจากข้อมูลที่มี ได้รับทราบว่ามีผู้ให้บริการดังกล่าวเพียงไม่กี่ราย

    มาเลเซียขยายขอบเขตเก็บภาษีสินค้าไม่จำเป็นและบริการ

    ที่มาภาพ : https://www.imf.org/en/News/Articles/2018/03/07/NA030718-Malaysias-Economy-Getting-Closer-to-High-Income-Status
    ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป อัตราภาษีขายและบริการ ( Sales and Service Tax:SST) ที่ได้ปรับแก้ไขและขยายขอบเขตของมาเลเซียจะเริ่มมีผลบังคับใช้ กระทรวงการคลังประกาศเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568

    นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม ประกาศระหว่างการเสนองบประมาณปี 2568 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ถึงการดำเนินการแก้ไขภาษีขายและขยายภาษีบริการไว้ โดยในตอนแรกตั้งเป้าเริ่มใช้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 แต่ได้มีการประกาศใช้อัตราใหม่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568

    ทั้งนี้ภาษีบริการจะขยายขอบเขตออกไปให้ครอบคลุมธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น การเช่าหรือการให้เช่า การก่อสร้าง การเงิน การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล การศึกษา และธุรกิจความงาม

    กระทรวงระบุว่า การขยายขอบเขตนี้มาพร้อมกับข้อยกเว้นบางประการเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีซ้ำซ้อนและเพื่อให้แน่ใจว่าบริการที่จำเป็นบางอย่างสำหรับคนมาเลเซียจะไม่ถูกเก็บภาษี

    มาตรการซึ่งประกาศในงบประมาณปี 2568 มีเป้าหมายเพื่อขยายฐานภาษีของประเทศและเพิ่มรายได้โดยไม่สร้างภาระให้กับประชาชนในวงกว้าง ดาโต๊ะ สรี อามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าว

    อามีร์ ฮัมซาห์กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไข รัฐบาลจึงใช้แนวทางที่ตรงเป้าหมายเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าและบริการที่จำเป็นจะไม่ถูกเก็บภาษี

    อามีร์ ฮัมซาห์กล่าวว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้บริการสาธารณะดีขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มเงินช่วยเหลือประชาชน รวมถึงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการสาธารณะ

    ภายใต้โครงสร้างที่ปรับเปลี่ยน สินค้าจำเป็น เช่น อาหารสด ข้าว น้ำมันปรุงอาหาร ขนมปัง น้ำตาล ยา และวัสดุก่อสร้าง จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีขาย

    อย่างไรก็ตาม สินค้าไม่จำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือยบางประเภท เช่น ปูอลาสก้า ผลไม้ที่นำเข้า เห็ดทรัฟเฟิล น้ำมันหอมระเหย และผ้าไหม จะถูกเรียกเก็บภาษีขาย 5% ในขณะที่สินค้าพรีเมียม เช่น จักรยานแข่งและภาพวาดโบราณจะถูกเรียกเก็บภาษี 10%

    สำหรับบริการ ขอบเขตเรียกเก็บภาษี 6% ถึง 8% ที่ขยายออกไปจะครอบคลุมกิจกรรมที่ได้พิจารณาแล้วคือies:

  • บริการเช่าซื้อและให้เช่าจะถูกเรียกเก็บภาษี 8% โดยมีข้อยกเว้นสำหรับบริการให้เช่าที่อยู่อาศัย สื่อการอ่าน และธุรกิจ MSMEs ที่มีรายได้ค่าเช่าประจำปีต่ำกว่า 500,000 ริงกิต
  • บริการด้านการก่อสร้างจะถูกเรียกเก็บภาษี 6% จากผู้ให้บริการที่มีรายได้ประจำปีเกิน 1.5 ล้านริงกิต แม้ว่าอาคารที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะในอาคารที่พักอาศัยจะได้รับการยกเว้นก็ตาม
  • บริการทางการเงินที่คิดค่าธรรมเนียมหรือค่าคอมมิชชันจะถูกเรียกเก็บภาษี 8% แต่บริการธนาคารขั้นพื้นฐานและการเงินที่สอดคล้องกับหลักศาสนา กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และบริการตลาดทุนยังคงได้รับการยกเว้น
  • บริการดูแลสุขภาพเอกชนสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองจะถูกเรียกเก็บภาษี 6% จากผู้ประกอบการที่มีรายได้ประจำปีเกิน 1.5 ล้านริงกิต ในขณะที่พลเมืองมาเลเซียได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมดในหมวดหมู่การดูแลสุขภาพทั้งหมด รวมถึงบริการสุขภาพแบบดั้งเดิมและบริการที่เกี่ยวข้อง
  • การศึกษาเอกชนจะถูกเรียกเก็บภาษี 6% จากโรงเรียนเอกชนระดับไฮเอ็นด์ (ซึ่งคิดเงิน 60,000 ริงกิตขึ้นไปต่อนักเรียนต่อปี) และนักเรียนระดับอุดมศึกษาที่ไม่ใช่พลเมือง พลเมืองมาเลเซียได้รับการยกเว้นภาษีทุกประเภท
  • บริการเสริมสวย เช่น ทรีตเมนต์หน้าและทำผม จะถูกเรียกเก็บภาษี 8% หากมูลค่าที่ต้องเสียภาษีของผู้ให้บริการเกิน 500,000 ริงกิตมาเลเซียต่อปี

    เพื่อสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตาม รัฐบาลจะไม่ดำเนินคดีหรือลงโทษบริษัทที่ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดการจดทะเบียนและการรายงานภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568

    ลาวเผย 4 ยุทธศาสตร์ 4 เร่งผลิตไฟฟ้าในประเทศ

    โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 3 ที่มาภาพ: https://kpl.gov.la/EN/detail.aspx?id=88476
    รัฐบาลลาวได้ประกาศ 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อเร่งการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าของประเทศ

    เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน รายงานในการประชุมสมัชชาแห่งชาติว่า การดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 3 ให้แล้วเสร็จสิ้น

    โครงการน้ำงึม 3 ซึ่งเป็นของรัฐมี รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว(Electricite du Laos:EDL) เป็นแกนนำเสร็จสมบูรณ์แล้วกว่า 80% และคาดว่าเขื่อนจะเริ่มดำเนินการและเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในช่วงต้นปี 2570 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าโครงการนี้ได้รับเงินทุนจากในประเทศเพื่อให้เป็นไปตามกำหนดการ และคาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้อย่างมาก

    นายสอนไซกล่าวว่า มาตรการอื่นๆมุ่งเน้นที่การส่งเสริมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในหลาย ๆ สถานที่ การพัฒนาที่สำคัญ 12 โครงการมีกำลังการผลิต รวม 650 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างดำเนินการ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 50 เมกะวัตต์ในแขวงคำม่วน ซึ่งสร้างโดยบริษัท China Gezhouba Group Co., Ltd. (CGGC) เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม โครงการนี้ตั้งอยู่ในท่าแขกและเซบั้งไฟ และขณะนี้กำลังจ่ายไฟฟ้าให้กับโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติอย่างแข็งขัน

    มาตรการที่สามสนับสนุนการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิตต่ำกว่า 5 เมกะวัตต์ การติดตั้งในพื้นที่เหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานในพื้นที่เฉพาะ และปรับปรุงเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาคที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ

    มาตรการสุดท้ายเกี่ยวข้องกับการติดตามและส่งเสริมความคืบหน้าของโครงการพลังงานน้ำและโครงการผลิตไฟฟ้าอื่น ๆ ที่มีอยู่ซึ่งได้ลงนามในข้อตกลงการซื้อขายพลังงานกับ EDL อย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการเหล่านี้จะแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา

    รัฐบาลยังได้สั่งให้ EDL แก้ไขแผนการจ่ายไฟฟ้าสำหรับการดำเนินการขุดเงินดิจิทัล ณ เดือนพฤษภาคม 2568 การใช้พลังงานที่ได้รับอนุญาตสำหรับการทำเหมืองดิจิทัลได้ลดลงจาก 250 เมกะวัตต์เป็น 135 เมกะวัตต์

    ลาวซึ่งมักถูกเรียกว่าแบตเตอรีแห่งเอเชียสำหรับการส่งออกพลังงานน้ำ ยังคงเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าและราคาในประเทศที่สูง ในปี 2567 การส่งออกไฟฟ้ายังคงเป็นผู้นำในกลุ่มส่งออกที่นำรายได้ข้าประเทศ โดยสร้างรายได้เกือบ 980 ล้านเหรียญสหรัฐ และคิดเป็น 15.35% ของการส่งออกทั้งหมด ตามข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ