ThaiPublica > คอลัมน์ > ห้องเรียนพักใจ รู้จักแนวคิด Trauma-informed Classroom เพื่อเด็กที่เจ็บปวดทุกคน

ห้องเรียนพักใจ รู้จักแนวคิด Trauma-informed Classroom เพื่อเด็กที่เจ็บปวดทุกคน

20 พฤษภาคม 2025


เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

ในโลกการศึกษาสมัยใหม่ แนวคิดเรื่องคุณภาพของการเรียนรู้พัฒนาจากแค่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ ไปสู่ความเข้าใจบริบทรอบตัวผู้เรียนที่รอบด้านขึ้น หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญและทรงพลังแห่งทศวรรษนี้คือ “Trauma-informed Classroom” หรือ “ห้องเรียนที่ตระหนักรู้และตอบสนองต่อบาดแผลทางใจ” แนวคิดนี้เกิดจากความเข้าใจพื้นฐานว่า นักเรียนหลายคนเติบโตมาพร้อมกับประสบการณ์ชีวิตที่ยากลำบาก และประสบการณ์เหล่านั้นส่งผลต่อพฤติกรรม การมีส่วนร่วม และความสามารถในการเรียนรู้ในห้องเรียนอย่างลึกซึ้งกว่าที่ระบบเดิมจะรองรับได้

Trauma-informed Classroom มีรากฐานมาจากแนวคิดเรื่อง Trauma-informed Care (TIC) ซึ่งพัฒนาขึ้นในวงการสุขภาพจิตและบริการสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะช่วงทศวรรษ 1990 ถึงต้นปี 2000 โดยเฉพาะเมื่อผลการศึกษาระดับชาติโดย Centers for Disease Control and Prevention (CDC) และ Kaiser Permanente ภายใต้ชื่อว่า ACEs Study (Adverse Childhood Experiences Study) ในปี 1998 เผยให้เห็นผลกระทบระยะยาวของประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก เช่น การถูกทำร้าย การถูกทอดทิ้ง การมีพ่อแม่ติดสุรา เสพติด หรือถูกจำคุก การเห็นความรุนแรงในครอบครัว ฯลฯ ว่ามีผลโดยตรงต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่

การศึกษานี้ระบุว่าผู้ที่มีคะแนน ACE สูงจะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคซึมเศร้า เบาหวาน ความดัน หัวใจ และแม้แต่โรคมะเร็ง อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดสุรา ยาเสพติด ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว และการออกจากระบบการศึกษาเร็วกว่าปกติ จากข้อมูลนี้จึงเกิดความตระหนักว่า หากจะป้องกันปัญหาเรื้อรังในสังคม เราจำเป็นต้องเข้าไปสกัดผลกระทบจากบาดแผลในวัยเด็กเสียแต่เนิ่นๆ และระบบการศึกษาคือพื้นที่ต้นทางที่ควรทำงานเชิงป้องกันมากที่สุด

Trauma-informed Classroom เป็นหนึ่งในความพยายามนำแนวคิด TIC เข้ามาสู่ห้องเรียน โดยเน้นการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตระหนักว่า เด็กนักเรียนบางคนอาจไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ แม้จะดูปกติภายนอก แต่ภายในอาจเต็มไปด้วยบาดแผล ความวิตกกังวล หรือความไม่ปลอดภัย ความไม่ตั้งใจเรียน การตอบโต้ครู หรือแม้แต่การนอนหลับในคาบเรียน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พฤติกรรมที่ควรถูกมองว่าเป็น “ปัญหา” แต่ควรได้รับความเข้าใจใหม่ว่าเป็น “การแสดงออกของบาดแผล” ที่อาจยังไม่เคยถูกรับฟังเลย

องค์กรที่วางแนวทาง Trauma-informed Classroom ไว้อย่างชัดเจนและได้รับการอ้างอิงอย่างแพร่หลายคือ Substance Abuse and Mental Health Services Administration (SAMHSA) กระทรวงสาธารณสุข สหรัฐอเมริกา ซึ่งกำหนดหลัก 6 ประการไว้เป็นแนวทาง ได้แก่

    1) ความปลอดภัย (Safety)
    2) ความไว้ใจและความโปร่งใส (Trustworthiness and Transparency)
    3) การร่วมมือและการมีส่วนร่วม (Collaboration and Mutuality)
    4) การให้อำนาจ (Empowerment, Voice and Choice)
    5) การรับรู้ถึงความหลากหลายและความยุติธรรม (Cultural, Historical, and Gender Issues)
    และ 6) การตระหนักว่าทุกคนอาจมีบาดแผลโดยไม่เปิดเผย (Peer Support)

แนวทางเหล่านี้นำไปสู่การออกแบบห้องเรียนที่เน้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทั้งทางกายภาพและจิตใจ นักเรียนมีสิทธิ์เลือกมากขึ้นในการแสดงออก พูดคุย ตั้งคำถาม หรือแม้แต่เลือกเรียนรู้ในวิธีที่ตนรู้สึกปลอดภัย

ครูได้รับการอบรมให้สามารถแยกแยะพฤติกรรมที่มาจาก trauma ออกจากความไม่ตั้งใจจริงๆ และไม่ตอบสนองต่อความเครียดของเด็กด้วยความเครียดของตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบโต้แบบ trauma-reactive ที่ส่งผลลบในระยะยาว

ประเทศที่นำ Trauma-informed Classroom ไปใช้ในเชิงระบบอย่างจริงจัง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร โดยมีนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและท้องถิ่น เช่น การบรรจุเนื้อหานี้ในการอบรมครูประจำปี การตั้งหน่วยงานสนับสนุนด้านจิตวิทยาเด็กในโรงเรียน และการใช้แบบประเมินสภาพจิตใจเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อนำไปสู่การออกแบบการสอนเฉพาะทาง ในเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา โรงเรียนหลายแห่งมีโครงการ “Calm Corners” หรือ “Reset Rooms” ซึ่งเป็นห้องพักใจให้เด็กได้ถอยออกจากห้องเรียนเมื่อรู้สึกตึงเครียด และกลับเข้าสู่การเรียนเมื่อพร้อมโดยไม่มีการตีตรา

ในแง่สถิติ จากรายงานของ National Child Traumatic Stress Network (NCTSN) ระบุว่า เด็กอเมริกันราว 78% รายงานว่า เคยมีประสบการณ์ที่เข้าข่ายบาดแผลทางจิตใจอย่างน้อยหนึ่งเหตุการณ์ก่อนอายุ 16 ปี และราว 40% มีมากกว่าสองเหตุการณ์ขึ้นไป งานวิจัยในแคนาดาชี้ว่า นักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนที่ใช้แนวคิด trauma-informed มีอัตราการลาเรียนลดลง ความรุนแรงในโรงเรียนลดลง และผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภายหลังจากการปรับวิธีสอนให้เน้นความเข้าใจภาวะภายในของเด็ก มากกว่าการเร่งสอนตามหลักสูตร

ในประเทศไทย แม้ยังไม่มีการบูรณาการ Trauma-informed Classroom อย่างเป็นระบบ แต่เริ่มมีความตื่นตัวจากกลุ่มครูรุ่นใหม่ โรงเรียนทางเลือก และเครือข่ายจิตวิทยาเด็ก ที่เริ่มพูดถึงการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์” ในโรงเรียนมากขึ้น รวมถึงแคมเปญที่ผลักดันให้ไม่ลงโทษนักเรียน ใช้สื่อสารอย่างไม่ตัดสิน และมีการเช็คอินอารมณ์ก่อนเข้าเรียน เป็นการยกระดับระบบการศึกษาในภาพรวม ที่ไม่ใช่การปรับหลักสูตร แต่สร้างนิเวศแห่งความเข้าใจให้นักเรียน

สิ่งนี้นำมาสู่คำถามว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รัฐลงทุนมหาศาลเพื่อแก้ไขเด็กหลุดจากระบบ แท้จริงแล้ว เป็นเพราะตัวระบบต่างหากหรือไม่ ที่หลุดออกจากเด็ก

บทความนี้จึงอยากเชิญชวนคุณครูทุกคนเริ่มต้นด้วยการลองใช้ 20 ไอเดียสร้างห้องเรียนพักใจจากแนวคิด Trauma-informed Classroom ที่ง่าย ปรับใช้ได้จริง และไม่ต้องรอนโยบายจากรัฐ

กิจกรรมสร้างพื้นที่ปลอดภัย
1. เช็คอินอารมณ์ก่อนเริ่มเรียน ให้เด็กเลือก emoji หรือคำง่ายๆ เพื่อสะท้อนความรู้สึก
2. มี “มุมพักใจ” (Calm Corner) พื้นที่เล็กๆ สำหรับพักจากความเครียด พร้อมของใช้ที่ไม่กระตุ้น เช่น หมอน นิตยสารเบาๆ
3. มีเวลา “พักใจ” ก่อนเปลี่ยนกิจกรรม เช่น หายใจลึก ฟังเสียงธรรมชาติ หรือโยคะ 3 นาที
4. ให้สิทธิ “ขออยู่เงียบๆ” บางวันเด็กอาจไม่พร้อมพูด ให้มีระบบส่งสัญญาณไม่ใช้คำพูด
5. ห้ามตำหนิเด็กต่อหน้าเพื่อน เปลี่ยนเป็นการพูดคุยส่วนตัว เพื่อไม่สร้างความอับอาย

วิธีสื่อสารแบบเข้าใจหัวใจเด็ก
6. ใช้ภาษาที่ไม่ตัดสิน เช่น “ดูเหมือนวันนี้เธอมีบางอย่างไม่สบายใจ” แทน “ทำไมไม่ตั้งใจเรียน”
7. ตั้งคำถามเปิดปลาย เช่น “อยากเล่าไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” แทน “เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ”
8. ตอบสนองต่อพฤติกรรมด้วยความสงบไม่ดุดัน แม้จะเจอสถานการณ์ยาก เพื่อไม่ทำให้บาดแผลลึกขึ้น
9. สะท้อนความพยายามมากกว่าผลลัพธ์ “เห็นนะว่าเธอพยายามมาก แม้จะยังไม่เสร็จ” เพื่อเสริมคุณค่าในตัวเอง
10. ให้พื้นที่เงียบเมื่อเด็กไม่อยากพูด การบังคับให้พูดทันที อาจเป็นการซ้ำเติมบาดแผลโดยไม่รู้ตัว

ให้อำนาจเด็กและสร้างความเป็นเจ้าของ
11. ออกแบบกฎห้องเรียนร่วมกับเด็ก เช่น สร้าง “ข้อตกลง” ร่วมกันมากกว่าตั้ง “ระเบียบ”
12. ให้เด็กเลือกวิธีแสดงความเข้าใจเขียน วาด เล่นบทบาท หรือพูดก็ได้ ไม่ต้องเหมือนกันทุกคน
13. ให้ feedback แบบสองทางนักเรียนให้ฟีดแบคครูได้ เช่น ผ่านกล่อง suggestion แบบนิรนาม
14. ใช้การประเมินแบบยืดหยุ่นไม่จำกัดเฉพาะการสอบ ให้ใช้ portfolio, self-assessment หรือ peer review
15. สอนเด็กให้เข้าใจอารมณ์ตนเอง เช่น มีเวลาสอนเรื่องชื่อของอารมณ์ วิธีรับมือเมื่อตึงเครียด

สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจได้
16. มีช่วง “สนทนาเรื่องชีวิต” สั้นๆ ระหว่างสัปดาห์ถามว่า “ช่วงนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นไหม” แบบไม่เกี่ยวกับวิชา
17. จดจำรายละเอียดเล็กๆ ของเด็ก เช่น วันเกิด งานอดิเรก เพื่อให้รู้ว่าเขามีตัวตน
18. ให้เวลาดูแลเด็กที่มีพฤติกรรมยาก ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ความกลัวพฤติกรรมยากคือข้อความจากหัวใจนักเรียนที่ยังไม่มีคนรับรู้
19. เชื่อในศักยภาพของเด็กเสมอ แม้วันที่เขาทำไม่ได้ เด็กจะฟื้นพลังเมื่อรู้ว่าครูไม่ถอดใจจากเขาก่อน
20. เป็นแบบอย่างของผู้ใหญ่ที่รู้จักขอโทษและให้อภัยเมื่อลงโทษผิดหรือพูดแรงไป ครูที่ขอโทษได้ คือครูที่สอนการเยียวยาได้จริง

Trauma-informed Classroom ไม่ใช่แนวคิดโรแมนติกที่เน้นแต่ความรู้สึก แต่เป็นการออกแบบห้องเรียนอย่างมีรากฐานจากข้อมูล วิทยาศาสตร์ และสิทธิมนุษยชน เป็นการยืนยันว่า เด็กไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ต้อง “ปรับตัวให้เข้ากับระบบ” เพียงฝ่ายเดียว แต่ระบบเองต้องพร้อมปรับเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีเมตตา ความเข้าใจ และการเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม การยอมรับว่าหัวใจของเด็กก็สำคัญพอๆ กับเนื้อหาวิชานั้น คือก้าวแรกของการสร้างระบบการศึกษาที่ไม่เพียงให้ปัญญา แต่ให้ความหวังด้วย

เอกสารอ้างอิง:

  • Felitti, V. J., Anda, R. F., et al. (1998). Relationship of Childhood Abuse and Household Dysfunction to Many of the Leading Causes of Death in Adults: The Adverse Childhood Experiences (ACE) Study. American Journal of Preventive Medicine, 14(4), 245–258.
  • SAMHSA (2014). Concept of Trauma and Guidance for a Trauma-Informed Approach. U.S. Department of Health and Human Services.
  • National Child Traumatic Stress Network (2020). Trauma-Informed Schools Training Package. Retrieved from https://www.nctsn.org
  • Dorado, J. S., Martinez, M., McArthur, L. E., & Leibovitz, T. (2016). Healthy Environments and Response to Trauma in Schools (HEARTS): A whole-school, multi-level, prevention and intervention program for creating trauma-informed, safe and supportive schools. School Mental Health, 8(1), 163–176.