ThaiPublica > เกาะกระแส > 3 ปี ทีม “ชัชชาติ” ดึงเครือข่ายร่วมกันสร้างเมืองแตกต่างที่หลากหลาย “ปลอดภัยดี-สังคมดี-โปร่งใสดี”

3 ปี ทีม “ชัชชาติ” ดึงเครือข่ายร่วมกันสร้างเมืองแตกต่างที่หลากหลาย “ปลอดภัยดี-สังคมดี-โปร่งใสดี”

7 พฤษภาคม 2025


วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยทีมงานรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงานครบรอบ 3 ปี “ก้าวสู่ปีที่ 4 ขับเคลื่อนกรุงเทพ สู่เมืองแห่งโอกาสและความหวัง” โดยกล่าวว่า “3 ปีผ่านไปเร็วมาก แต่จังหวะนี้เหมือนทุกคนเซ็งกับบรรยากาศ ความหวังไม่ค่อยมี ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว, เรื่องตึก สตง., เรื่องมูดีส์ปรับอันดับ, เรื่องสงครามการค้าไทย สหรัฐอเมริกา, การปรับจีดีพี มีแต่ข่าวร้ายเต็มไปหมด คนคงไม่อยากฟังผลงาน”

ดังนั้นสิ่งที่อยากจะพูดคือ 3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นความหวังและโอกาสมากมายที่จะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ยืนอยู่ได้ในภูมิภาคและโลกอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งไม่ใช่ผลงานของทีมผู้บริหาร กทม.แต่เป็นผลงานที่เกิดจากความร่วมมือกันของทุกคน ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน

“ยกตัวอย่างวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว กังวลว่าตึกจะพังทั้งกรุงเทพฯ ยิ่งเห็นคลิปตึก สตง.พัง ยิ่งกังวล จึงเปิดห้องบัญชาการที่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ แต่ปรากฏว่าวันนั้นไม่มีตึกไหนพังเลย ในกรุงเทพตึกยังแข็งแรงอยู่ได้ ผมเชื่อว่ามาตรฐานกรุงเทพดี ตึกออกแบบดี กฎหมายได้มาตรฐาน การก่อสร้างดี วิศวกรคำนวณได้ดี มีแค่ตึกเดียวที่พัง ซึ่งกำลังสืบหาเหตุผลอยู่ นั่นคือสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นที่เป็นความหวังว่ากรุงเทพเจ๋ง แผ่นดินไหวขนาดนี้ ตึกยังอยู่ได้ ไม่มีตึกพัง”

หลังจากนั้นวันที่ 30 มีนาคม เราได้เชิญทูต 20 กว่าประเทศมาจัดงาน BANGKOK We are OK ว่ากรุงเทพปกติ มีความหวัง และเดินหน้าต่อไปได้ นี่คือ Message สำคัญ แม้ว่าจะมีวิกฤติอะไรก็ตาม เชื่อว่าเรายังเข้มแข็งและเดินต่อไปได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากจะเล่ามี 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ความหวังและโอกาส 2.หัวใจของการทำงาน และ 3.โครงการสำคัญในอนาคต

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

Traffry Fondue แก้ไขแล้ว 757,354 เรื่อง

สำหรับเรื่องความหวังและโอกาส นายชัชชาติกล่าวว่า มีส่วนสำคัญอยู่ 5 ประเด็น เรื่องแรกคือ “ความร่วมมือร่วมใจอย่างจริงจัง เอาชนะสิ่งที่ยากได้” ยกตัวอย่างระบบราชการที่ล่าช้า เช้าชามเย็นชาม ไม่สนใจประชาชน ไม่ประสานงานกัน ทำงานแบบไซโล

กทม.จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้แอปพลิเคชัน Traffry Fondue เพื่อกระจายอำนาจสู่ประชาชน สร้างความโปร่งใส ล่าสุด (6 พ.ค.2568) มีประชาชนร้องเรียนปัญหาผ่าน Traffry Fondue ทั้งหมด 934,961 เรื่อง แก้ไขไปแล้ว 757,354 เรื่อง เฉลี่ยเรื่องละ 1.9 วัน ช่วยให้การทำงานดีขึ้น

“ตอนผมเป็นผู้ว่าฯ เดือนแรก 1 ปัญหาใช้เวลาแก้เฉลี่ยประมาณ 2 เดือน แต่ 3 ปีผ่านไป เหลือเฉลี่ย 1.9 วัน ต่อเรื่อง นี่คือสิ่งที่ปรับปรุงได้อย่างมหาศาล พลิกระบบการทำงานราชการ โดยมีประชาชนเป็นที่ตั้ง ใช้กรอบอำนาจที่มีอยู่ แต่ก็ยังมีจุดบกพร่องอีกหลายเรื่องที่ต้องใช้เวลาปรับปรุงแก้ไข”

นอกจากนี้ ด้วยนโยบายที่ชัดเจนและความเอาจริงเอาจังอย่างต่อเนื่อง กทม. สามารถจัดระเบียบผู้ค้าหาบเร่แผงลอยนอกจุดผ่อนผันมากกว่า 446 จุด ให้เป็นระเบียบ ไปอยู่ในที่ถูกกฎหมายได้ ทั้งที่ตลาดโบ๊เบ๊ ถนนหลังสวน หรือตลาดลาว เป็นต้น

โครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น วันประกาศนโยบายมีแต่คนหัวเราะ ปัจจุบันปลูกไปแล้ว 1,859,894 ต้น คาดว่ากว่าจะหมดสมัยน่าจะปลูกได้ราว 2 ล้านต้น ซึ่งเกิดจากการทำอย่างสม่ำเสมอ สามารถเปลี่ยนเมืองได้จริง

สวน 15 นาทีใกล้บ้าน ดำเนินการไปแล้ว 199 สวน โดยมีเป้าหมายสู่ 500 สวน ทั่วกรุงเทพ เพื่อให้คนในชุมชน หรือคนสูงอายุ สามารถมาใช้ประโยชน์ได้

พัฒนาทางเท้าดี 1,000 กิโลเมตร ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 1,100 กิโลเมตร ทั่วกรุงเทพ หลังจากนี้จะทำต่อเนื่อง เพื่อให้คนพิการเดินทางได้ด้วย

กรุงเทพ ต้องสว่าง เปลี่ยนโคมไฟ LED ไปแล้วมากกว่า 115,000 ดวง และตั้งเป้าจะเปลี่ยนอีก 20,000 ดวง เพิ่มความปลอดภัย ช่วยลดเรื่องอุบัติเหตุ รวมถึงปรับปรุงทางม้าลายไปแล้ว 2,100 แห่ง

การปรับลดความเร็วสูงสุดในกรุงเทพเหลือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดอุบัติเหตุบนถนนได้อย่างมาก โดยสถิติปี 2567 การเสียชีวิตลดลง 9% ส่วนปี 2568 ใน 3 เดือนแรก มีผู้เสียชีวิตลดลง 16%

ส่วนโครงการไม่เทรวม ซึ่งทำร่วมกับเอกชนรายใหญ่มา 3 ปี สามารถลดปริมาณขยะได้กว่า 1,300 ตันต่อวัน หรือ 12% จากช่วงก่อนวิกฤตโควิด ประหยัดค่าเก็บขนไปได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท และประหยัดค่ากำจัดขยะได้อีก 1,200 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ยังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองต่างๆใน กทม. ได้ดีขึ้น รวมถึงพัฒนาถนนสวย 50 เขต 57 เส้นทางต่อเนื่อง 3 ปี รวมระยะทาง 130 กิโลเมตร และจะขยายผลให้มากขึ้น เพื่อเป็นอัตลักษณ์ใหม่ให้กรุงเทพฯ เป็นต้น

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

พัฒนาเมืองด้วย AI

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า เรื่องที่สองคือ “เทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเมืองได้อย่างรวดเร็ว” ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีเข้าไปปรับปรุงเรื่องการศึกษา ผ่านโครงการห้องเรียนดิจิทัล พบว่าช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้นกว่าห้องเรียนปกติทุกรายวิชา หรือพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนในสังกัด กทม. ด้วย AI โดยพบว่าผลทดสอบการใช้ภาษาได้คะแนนดีขึ้นสูงสุด 37%

พร้อมกันนี้ ยังมีแก้ปัญหารถติด ด้วยการติดตั้งไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติ 72 จุด, ใช้กล้อง AI หรือ CCTV จับมอเตอร์ไซด์บนทางเท้า อ่านป้ายทะเบียนรถบรรทุกที่ไม่ได้จดทะเบียน ตรวจสอบจาก Green List เพื่อควบคุม Low Emission Zone

กทม.มีการใช้ Open Data ในการเปิดเผยข้อมูล เพิ่มความโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลงบประมาณในรูปแบบ Machine Readable มีการทำ Open contracting เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและความคืบหน้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ ให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบ หรือเปิดการขอใบอนุญาตก่อสร้างแบบออนไลน์ โดยการขอใบอนุญาตทั้งหมดที่สำนักเขตต้องเข้าระบบ Online BMAOSS ลดการทุจริตคอร์รัปชัน

ด้านการตรวจสุขภาพล้านคน ยกฐานข้อมูลสุขภาพขึ้นออนไลน์ นำไปสู่การวางแผนด้านสาธารณสุขของกรุงเทพฯ ใช้ Health Tech อำนวยความสะดวกประชาชนผ่าน Telemed ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการมากกว่า 92,000 ครั้ง เพิ่มประสิทธิภาพการส่งต่อผู้ป่วยจนจบกระบวนการ ผ่านระบบ e-referral พร้อมกับเดินหน้าเรียนรู้ AI เพื่อเข้ามาใช้ในงานบริการของ กทม.

ดึงคนรุ่นใหม่-ภาคีเครือข่าย สร้างผลงานให้เมือง

เรื่องที่สามคือ “คนรุ่นใหม่ คนมีพลัง คนมีประสบการณ์ ร่วมกันสร้างเมือง” มีคนเก่งจำนวนมากอยู่นอก กทม. ทำอย่างไรให้คนเก่งเหล่านี้มารวมพลังกับเรา เพื่อช่วยสร้างคำตอบให้กับเมือง ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาเว็บไซต์รับฟังความคิดเห็นเพื่อแก้ไข พ.ร.บ.กรุงเทพฯ โดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ , การร่วมเปลี่ยนเมืองด้วยบอร์ดเกมส์ โดยสถาบันบอร์ดเกมส์เพื่อการเรียนรู้ เป็นต้น

ทั้งนี้ กทม.ยังร่วมกับกลุ่มภาคีเครือข่ายต่างๆ ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผ่านการจัดกิจกรรม เทศกาลต่างๆ ตลอดปี สร้างสีสันให้พื้นที่สาธารณะทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมดนตรีในสวน, Bangkok Pride Month, Bangkok Design Week ,กลุ่มนักแสดงต่างๆ, หนังกลางแปลง ทุกอย่างมาจากเครือข่ายร่วมมือร่วมใจกัน นี่คือพลังของเมือง ของกรุงเทพฯ และของประเทศไทย ที่เรามีคนเก่งจำนวนมาก ทำอย่างไรให้เขาไว้ใจเรา เข้ามาทำงานร่วมกับเรา และสร้างผลงานให้เมืองได้

มากกว่านั้น กทม.ได้มีการนำคนรุ่นใหม่ที่อยู่ใน กทม.มาเป็น “ทูตสื่อสาร” เพื่อช่วยพัฒนาการสื่อสารกับประชาชนให้ดีขึ้น มีการพัฒนาเส้นทางจักรยานร่วมกับภาคีเครือข่ายจักรยาน ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาเขต (คคพ.) ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ให้คำปรึกษา และช่วยขับเคลื่อนเมืองในเชิงพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมี “สภาเมืองคนรุ่นใหม่” ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 800 กว่าคน เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ร่วมนำเสนอนโยบายกับผู้บริหาร กทม. และเข้ามาร่วมขับเคลื่อนงานพัฒนาเมือง และมีโครงการ Hackathon เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ออกแบบเครื่องมือพัฒนาและแก้ไขปัญหาเมือง รวมทั้งตั้ง Bangkok City Lab เป็นศูนย์การทดลองเมืองกรุงเทพฯ จากภาควิชาการและประชาชน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

โอบกอดความแตกต่างหลากหลาย

นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่องที่สี่คือ “ความมีน้ำใจ ความเป็นมิตร พหุวัฒนธรรม และการช่วยเหลือกัน” เป็นจุดแข็งหนึ่งของคนไทยที่โอบกอดคนที่มีความเห็นแตกต่างหลากหลายได้เป็นอย่างดี ซึ่งช่วยทำให้สังคมไทยมีความเข้มแข็ง เช่น กทม.คิดโครงการ Food Bank ทั้ง 50 เขต เป็นซูเปอร์มาร์เกตให้กับคนที่ลำบากหรือคนเปราะบางมาช้อปปิ้งได้อย่างมีศักดิ์ศรี

ที่ผ่านมา Food Bank ส่งต่ออาหารให้ผู้ที่ต้องการแล้ว 225,558 คน คิดเป็น 4,076,213 มื้อ ลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 2,455,433 กิโลกรัมคาร์บอน โดยไม่ได้มาจากงบประมาณสักบาทเดียว แต่มาจากความร่วมมือของคนในสังคม

หรือการสร้างความเชื่อมั่นด้านความเปิดกว้างและความหลากหลายผ่านกิจกรรม Pride Month มีคนเข้าร่วมกว่า 2 แสนคนในปีที่ผ่านมา รวมถึงกิจกรรมสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นการยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย เป็นพหุวัฒนธรรมของสังคมไทย

นอกจากนี้ กทม. ยังให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนพิการเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีการจ้างงานคนพิการ 415 คน โดยมีเป้าหมายจ้างงานคนพิการทั้งหมด 636 คน หรือ 1% ของข้าราชการทั้งหมด เพื่อให้เราเข้าใจว่าจิตใจของคนที่เขามีความแตกต่างจากเราเป็นอย่างไร เราต้องดูแลคนเหล่านี้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส – ปรับปรุงจุดเสี่ยงน้ำท่วมกว่า 70%

นายชัชชาติกล่าวว่า เรื่องที่ห้า ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนของกรุงเทพฯ และประเทศไทยในขณะนี้ คือ“การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สตง. เรื่องแผ่นดินไหว มันต้องมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่มันร้าย ยกตัวอย่างปีแรกที่เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ เกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก 800 มิลลิเมตร น้ำท่วมหนักในเดือนกันยายน 2565 มีจุดเสี่ยงน้ำท่วมจาก12 จุด เพิ่มเป็น 737 จุด

หลังจากวิกฤติครั้งนั้น เราจดทุกจุดที่ท่วมลงในแผนที่ทั้งหมด และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้วิกฤติผ่านไปโดยไม่ปรับปรุงตัว จนกระทั่ง 3 ปีผ่านมา เราปรับปรุงจุดที่น้ำท่วมไปแล้ว 70% และเชื่อว่าที่ผ่านมาน้ำท่วมลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจาก กทม. เตรียมรับมือน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การขุดลอกท่อ 2,655 กิโลเมตร เปิดทางน้ำไหล 1,108 กิโลเมตร ขุดลอกคูคลอง 158 กิโลเมตร เป็นต้น

  • AI กับการจัดการน้ำท่วมกรุงเทพฯ
  • อีกตัวอย่างคือ เหตุการณ์รถบรรทุกน้ำหนักเกินทำถนนชำรุดที่ซอยสุขุมวิท 64/1 เมื่อปี 2567 โดยหลังจากเกิดเหตุ กทม.ได้จัดสรรงบประมาณซื้อเครื่องจับน้ำหนักบนสะพานและตั้งด่านจับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ซึ่งจับได้กว่า 1,200 คัน เพื่อส่งให้ศาลดำเนินคดีต่อไป

    เหตุการณ์ซื้อลู่วิ่ง 7.5 แสนบาท ที่เป็นวิกฤติความโปร่งใสของ กทม. หลังจากนั้นเราได้ปรับรุงกระบวนการงบประมาณทั้งขาขึ้นขาลง และร่วมมือกับ ป.ป.ช. ป.ป.ท. และ ป.ป.ป. เพื่อตรวจสอบผู้กระทำผิด เพราะ กทม.ตรวจสอบได้แค่วินัยว่าทำผิดระเบียบ กทม.หรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลปี 2566-2567 กทม. ได้ลงโทษไล่ข้าราชการทุจริตแล้ว 28 คน

    หัวใจการทำงานเมืองให้มีคุณภาพ-ประสิทธิภาพ คือความไว้วางใจ

    นายชัชชาติชี้ว่า ผลงานแสดงถึงความหวังและโอกาสที่ทำให้เมืองดีขึ้น โดยหัวใจของการทำงานของ กทม. เริ่มจากเมืองน่าอยู่ (Livable) แต่เรามีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ (Productivity) ดังนั้น กทม. ต้องเป็นเมืองที่มี “คุณภาพชีวิต” และเป็นเมืองที่มี “ประสิทธิภาพ” ซึ่งหัวใจในการขับเคลื่อนคือ ความไว้วางใจ (Trust) หากเราไม่มีความไว้วางใจ ก็ยากที่จะหาภาคีเครือข่าย เรายืนตรงนี้ได้ 3 ปี เพราะประชาชนไว้วางใจว่าเราทำจริง โดยหลักในการสร้างความไว้วางใจคือ ต้องใช้ความรู้บวกเทคโนโลยี หรือการคิดดี ,ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ หรือการทำดี, และความเข้าอกเข้าใจกัน (Emparthy)

    ยกตัวอย่างเช่น การตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ภายใน 35 นาที พร้อมกับมีการให้ข้อมูลสื่อสารที่ชัดเจนทั้งกับคนไทยและแรงงานต่างชาติ มีข้อสั่งการพร้อมกับเปิดสวนสาธารณะ 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลประชาชนที่ไม่สามารถกลับบ้านได้

    หรือการร่วมมือกับ AirBnb จัดหาที่พักให้ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว มีประชาชนมาใช้เครดิตรวม 8,540 คืน พร้อมกับรับแจ้งปัญหาอาคารร้าวผ่าน Traffry Fondue มีผู้เข้าแจ้งมามากกว่ากว่า 2,000 เคส โดยมีวิศวกรอาสากว่า 130 คนช่วยตรวจสอบ และลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยประสานงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

    ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนโครงการสำคัญในอนาคต เดินหน้าด้วยความร่วมมือ

    สำหรับโครงการสำคัญในอนาคต นายชัชชาติระบุว่า มีเรื่องต้องทำอีกมาก โดยมีแนวคิดใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อน และเดินหน้าด้วยความร่วมมือ ซึ่งเรื่องแรกที่จะแก้ปัญหากรุงเทพฯ ในระยะยาวไม่ใช่รถไฟฟ้า แต่ต้องมีรถเมล์ที่เข้มแข็ง ต้องมีโครงการที่สนับสนุนรถเมล์ เช่น อาจจะต้องนำภาษีรถยนต์มาช่วยสนับสนุนรถเมล์ให้เข้าถึงทุกชุมชนให้ได้ ซึ่งต้องคุยรานยละเอียดกับ ขสมก.

    ต่อมาคือการผลักดันการมี Bangkok Public Square พื้นที่สร้างสรรค์เพื่อประชาชน เช่น สนามกีฬา หรือ คอนเสิร์ตฮอลล์ระดับโลก ทั้งนี้ กทม. อาจไม่ได้สร้างเอง แต่จะต้องคุยกับภาคเอกชน เราอาจจะทำทางรถไฟฟ้าเชื่อมโยงให้ หาทางโปรโมท คุยกับรัฐบาล เพื่อให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยทำให้เรามีความเข้มแข็งขึ้น สามารถดึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้อย่างมาก ทั้งยังช่วยส่งเสริมเรื่องศิลปวัฒนธรรมต่างๆ

    นอกจากนี้ กทม.จะต้องแก้ไข พ.ร.บ.กรุงเทพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, เราจะมี Business Lab เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีพื้นที่ขายของทั้งแบบ Online และ Onsite, ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะต้องเจรจาคืนรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้รัฐบาลเป็น Single Owner ใช้บัตรใบเดียวให้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน, และการสร้างหอศิลป์ฝั่งธน ซึ่งเริ่มการออกแบบไปแล้ว

    รวมไปถึงแก้ไขปัญหาจราจรด้วยระบบสัญญาณไฟอัตโนมัติและศูนย์ควบคุมข้อมูลกลาง, การเดินหน้าขยายบริการสาธารณสุข เช่น ก่อสร้างโรงพยาบาล 3 แห่งในเขตภาษีเจริญ สายไหม และทุ่งครุ, การปรับเรื่องการศึกษา เป็น Personalize Education โดยเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาครูและเด็กให้มากขึ้น

    ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะมีการแยกขยะทั้งระบบจากครัวเรือนทั้งตอนเก็บขนและตอนกำจัด, มีสวนสาธารณะใหม่ และศูนย์กีฬาใกล้เมือง และขยาย Low Emission Zone ให้ครอบคลุมทั่วกรุงเทพ เพิ่มห้องแล็ปตรวจต้นตอฝุ่นให้มากขึ้น เป็นต้น

    “ผมเชื่อว่าเรามีความหวังและมีโอกาสอีกมากมายที่จะทำให้กรุงเทพฯ ดีขึ้น ดึงดูดนักลงทุน นักท่องเที่ยว ทำเศรษฐกิจให้ดีขึ้น แต่ต้องมีความร่วมมือร่วมใจกัน”