1721955
A Thousand Blows มินิซีรีส์อังกฤษที่เพิ่งสตรีมมิ่ง 6 ตอนรวดเมื่อปลายกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้คะแนนความสดจากเว็บ Rotten Tomatoes ไปสูงถึง 92% แถมยังเป็นครั้งแรกของปีนี้ที่สำนักข่าว The Guardian ให้ 5 ดาวเต็มแบบไม่มีหัก อวยยศในด้านการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งและธีมเรื่องที่หนักหน่วงว่า “เป็นการผจญภัยในโลกอาชญากรรมที่บันเทิงยิ่ง ดุเด็ดด้วยหมัดมวยมือเปล่าในยุควิคตอเรีย อันมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นชวนติดตามและบทสนทนาที่กล้าหาญชาญฉลาด”
ฉากหลักของเรื่องเกิดขึ้นในย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอน เล่ารายละเอียดของวงการมวยใต้ดินและแก๊งมิจฉาชีพสมัยปลายุควิตอเรียในช่วง 1880s สมัยที่ผู้คนต่างแออัดมุ่งหน้ามาที่นี่ บ้างเพื่อปักหลัก บ้างแค่แวะผ่านมา เต็มไปด้วยความรุนแรงและโลกเทา ๆ ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ทั้งเด็ก ๆ ที่ถูกพวกผู้ใหญ่รังแก คนจนมากมายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ถูกรังแกจากพวกคนรวย ๆ ผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงรังแกผู้หญิง พวกผู้อพยพจากดินแดนใต้อาณานิคมก็ถูกกดทับจากพวกเจ้าอาณานิคม มันเหมือนจับผู้คนมากมายที่เป็นฝ่ายเหยื่อและฝ่ายคนรังแกมาโฮะรวมกันในย่านคึกคักนี้ ในยุคที่ผู้คนยังไม่เคยรู้จักสิทธิมนุษยชนในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจะอยู่รอดได้
ผู้กำกับซีรีส์นี้คือ สตีเว่น ไนท์ บ้านเราน่าจะรู้จักเขาในฐานะผู้เขียนบทหนังดังอย่าง Closed Circuit (2013), Dirty Pretty Things (2002 เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาบทดั้งเดิมยอดเยี่ยม) และในฐานะผู้สร้างซีรีส์ดราม่าอาชญากรรม Peaky Blinders (2013-2022) ซึ่งถ้าสังเกตจะพบว่าผลงานต่าง ๆ ของ ไนท์ ล้วนเป็นเรื่องอิงประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเหตุการณ์จริง พื้นที่จริง ๆ หรือตัวละครที่มาจากบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง ๆ และ A Thousand Blows ก็เช่นกัน…แต่คำถามคือ ใครบ้างในซีรีส์ล่าสุดนี้ที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ และเรื่องราวจริง ๆ ของพวกเขาเป็นอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ
Forty Elephants
นางเอกของเรื่องคือ แมรี่ คารร์ (เอริน โดเฮอร์ตี้ ผู้เคยรับบทเจ้าหญิงแอน ในซีรีส์ The Crown ซีซั่น 3) เธออยู่ในกลุ่มนางโจรเจ้าของฉายา “ช้างสี่สิบเชือก” อาชญากรหญิงล้วนที่มีตัวตนอยู่จริง ในช่วงปี 1873-1950 หรือยาวนานกว่า 77 ปี แล้วสาเหตุที่พวกเธอได้ฉายานี้มา เพราะผู้หญิงเหล่านี้มาจากย่านที่เรียกกันว่า “เอเลเฟนต์แอนด์คาสเซิล” (รูปถ่ายด้านขวา/ส่วนรูปซ้ายเป็นภาพถ่ายที่เชื่อกันว่าคือสมาชิกส่วนหนึ่งของแก๊งนี้) จำนวน 40 มาจากสมาชิกในช่วงแรก แต่ในยุคที่พวกเธอรุ่งสุด ๆ ว่ากันว่าเคยมีสมาชิกมากถึงกว่า 70 นาง พวกนางหากินด้วยการปล้นห้างร้านค้าต่าง ๆ ในย่านเวสต์เอนด์ก่อนที่ภายหลังจะกระจายกำลังไปทั่วประเทศ วีรกรรมอันเลื่องชื่อของพวกนางคือการปลอมตัวเป็นแม่บ้านรับใช้บ้านพวกคนรวยแล้วปล้นทรัพย์สินมีค่าในบ้านพวกเขาออกมา
ในซีรีส์เราจะได้เห็นเทคนิคการขโมยของแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ฉากแรกที่นางแกล้งทำเป็นคนท้อง ด้วยการซ่อนอุปกรณ์ที่สามารถเก็บของมีค่าต่าง ๆ ที่ฉกมาจากเหยื่อได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้โม้เกินจริง แล้วอันที่จริงอุปกรณ์ของพวกนางโจรกลุ่มนี้อาจจะล้ำกว่าในซีรีส์ด้วยซ้ำไป อาทิ แขนปลอม ที่ทำให้แขนจริงที่พวกนางซุกเอาไว้ใต้เสื้อทำการขโมยได้สะดวกขึ้น หรือถุงผ้าหลายใบที่ซุกอยู่ใต้กระโปรงบ้าง ใต้หมวกบ้าง ฯลฯ พวกนางมีกฎที่รู้กันในกลุ่ม อาทิ ห้ามสวมใส่ของที่ขโมยมา ห้ามดื่มเหล้าในคืนก่อนทำการใหญ่ ห้ามเป็นสายให้ตำรวจ ห้ามหักหลังพวกเดียวกัน ฯลฯ
แมรี คารร์
ตามไทม์ไลน์ของเรื่องเป็นช่วงของควีนคนแรก คือ แมรี คารร์ สำนักข่าวท้องถิ่น southwarknews (Southwark คือชื่อดั้งเดิมของย่าน Elephant and Castle ชุมชนทางตอนใต้ของแม่น้ำเทมส์ที่ต่อมามีผับดังชื่อนี้มาตั้งอยู่ ภายหลังย่านนี้จึงถูกเรียกตามชื่อผับดังนั้นว่า “เอเลเฟนท์แอนด์คาสเซิล”) เล่าว่า ‘คารร์ มาจากครอบครัวชั้นแรงงาน เคยติดคุกมาตั้งแต่อายุ 12 ในข้อหาลักเล็กขโมยน้อย ทำให้เธอเลือกเส้นทางอาชญากร พออายุ 19 เธอถูกทางการส่งไปบ้านดัดสันดานหญิงล้วน ภายใต้คริสตจักรเชิร์ชออฟอิงแลนด์ที่ขึ้นชื่อในทางเข้มงวด เคร่งครัดและหัวโบราณสุด ๆ เธออยู่ในนั้นนานถึง 9 ปี แต่ชีวิตของคารร์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
ในยุคของคาร์ กลยุทธ์ที่นางวางไว้จนเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคือการรวมกลุ่มกันบุกกรูเข้าไปปล้นร้านค้าหรูหรา สำนักข่าวในเวลานั้นบรรยายว่า “สาว ๆ พวกนี้จะรวมฝุงกรูกันเข้าไปขย้ำห้างดังราวกับฝูงตั๊กแตน” พวกเธอจะเดินเตร็ดเตร่กันไปเป็นโขยงเหมือนโขลงช้าง เพื่อที่ระหว่างเดินกันไปเป็นกลุ่มใหญ่นั้น จะมีบางคนที่ซ่อนในวงล้อมสะดวกในการแอบยื่นมือออกไปล้วงกระเป๋า ก่อนที่จะสลายตัวแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วจับมือใครดมไม่ได้’
มีข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ Lloyd’s Weekly ในยุคที่คารร์มีชีวิตอยู่เคยว่า ‘คารร์เป็นกุลสตรีงามพร้อมและมารยาทดี และเอาชนะใจหญิงทั้งกลุ่มขึ้นมาเป็นควีนได้อย่างราบคาบ ยามว่างเธอจะไปเป็นแบบเปลือยให้กับศิลปินยุควิคตอเรียนชื่อดัง ลอร์ด เฟรเดริค ลีห์ตัน และเชื่อกันว่าหนึ่งในภาพโด่งดังที่เคยใช้บริการเธอเป็นแบบคือภาพ The Maid with the Yellow Hair (1895)
แม้การเป็นนางแบบไม่ได้ทำให้เธอมีรายได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ก็เป็นช่องทางที่ทำให้บรรดาหนุ่มกระเป๋าตุงทั้งหลายจะพุ่งเข้าหาเธอ และพอพวกเขาเผลอเธอก็จะฉกกระเป๋าเงินของพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว
เธอขึ้นชื่อว่าหน้าตาดี มีรสนิยมในการแต่งตัว ครั้งหนึ่งเธอเคยขึ้นศาลเมื่อปี 1896 ด้วยข้อหาลักพาตัวเด็กชาย 7 ขวบ ฝูงชนต่างแห่แหนกันมาในห้องพิจารณาคดีกันคราคร่ำเพียงหวังจะได้ยลความงามของเธอ และเธอก็ไม่ทำให้พวกผู้ชายวิคตอเรียนผิดหวัง เธอมาศาลในชุดคลุมกำมะหยี่ ขนนกกระจอกเทศ และแหวนเพชร ข่าวหนึ่งรายงานว่าทั้งชุดนั้นน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 300 ปอนด์ (คิดเป็นมูลค่าในยุคปัจจุบันคือราว สองล้านบาท)
คดีในปี 1896 ทำให้เธอติดคุก 3 ปี แต่หลังจากพ้นคุกไม่นานเธอก็ขึ้นศาลอีกในข้อหารับซื้อของโจร เธอมีนามแฝงมากมาย อาทิ พอลลี่ คารร์, อีวา แจ็กสัน, แอนนี่ เลสลี และช่วงหนึ่งเธอเคยใช้ชื่อว่า แมรี เครน หลังจากแต่งงานสั้น ๆ กับอาชญากร โทมัส เครน ก่อนจะกลายเป็นม่าย ครองโสดและมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นด้วยอายุ 60 ในช่วงทศวรรษ 1920’
อลิซ ไดมอนด์
มีการยืนยันล่าสุดแล้วว่า สตีเวน ไนท์ ผู้กำกับให้ข่าวว่าซีซั่นสองถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเล่าชีวิตของอาชญากรหญิงผู้โด่งดังที่สุดในกลุ่มนี้ เธอมีนามว่า อลิซ ไดมอนด์ ข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ลอนดอนเล่าว่า ‘ในช่วงปี 1916 แก๊งนี้มีแกนนำคนใหม่ นางมีชื่อว่า อลิซ ไดมอนด์ (ในซีซั่นแรกนี้แสดงโดย ดาร์ซี ชอว์ จากซีรีส์ The Irregulars) หรือรู้จักกันในชื่อ “ไดมอนด์ แอนนี่” เนื่องจากเธอชอบสวมแหวนเพชร แล้วบางครั้งเธอก็ใช้หมัดที่สวมแหวนนั่นซัดผู้ชาย ในยุคที่เธอเป็นผู้นำ แก๊งของเธอทำกำไรได้อย่างงามด้วยการล่อลวงกรรโชกทรัพย์จากพวกผู้ชายไฮโซ พวกเธอชอบแต่งตัวแฟชั่น ในช่วงยุค 1920 พวกเธอก็ชอบจัดปาร์ตี้หรูหราล่อพวกผู้ชายกระเป๋าหนักเข้าหา และห้างหรูไฮเอนด์ทั้งหลายไม่ว่าแฮรอด หรือลิเบอร์ตี้ ล้วนเคยถูกสาว ๆ กลุ่มนี้ยกเค้ามาแล้วทั้งนั้น
ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 19 แก๊งนี้ค่อนข้างยากจน บางครั้งพวกเธอก็ค้าบริการทางเพศ (ซึ่งส่วนนี้มีให้เห็นในซีรีส์นี้ด้วย) กฎเหล็กอีกอย่างในสมัยที่ ไดมอนด์ เป็นควีนของแก๊ง คือห้ามสมาชิกแก๊งแต่งงานกับผู้ชายที่ไดมอนด์ไม่เห็นด้วย ทำให้ภายหลังแก๊งของพวกเธอกลายเป็นข่าวฉาวพาดหน้าหนึ่งในปี 1925 เมื่อไดมอนด์ยกพวกไปถล่มคู่บ่าวสาวที่ลอบแต่งงานกันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเธอ กลายเป็นเหตุจราจลในย่านลิมเบธ ส่งผลให้ไดมอนด์ถูกตัดสินจำคุกอยู่ 18 เดือน ทว่าภายหลังถูกปล่อยตัว แก๊งนี้ก็ได้ควีนคนใหม่เป็นผู้นำ ไดมอนด์จึงหันเหไปทำงานเป็นแม่เล้าคุมซ่อง ควบคู่ไปกับการเป็นครูสอนเทคนิคโจรให้กับสมาชิกใหม่ ๆ ของแก๊ง’
เฮเซเคียห์ มอสโคว์
จุดกำเนิดของซีรีส์นี้มาจากนักมวยคนนี้ เฮเซเคียห์ มอสโคว์ มันเริ่มขึ้นเมื่อค่ายหนังแมตทริอาร์ค โปรดัคชั่น ที่ก่อตั้งขึ้นโดย สตีเฟน เกรแฮมและฮันนาห์ วอลเตอร์ส ผู้เป็นสามีภรรยากัน และทั้งคู่ร่วมแสดงในซีรีส์นี้ด้วย มาเสนอให้ผู้กำกับ สตีเว่น ไนท์ ทำซีรีส์เกี่ยวกับนักมวยหนุ่มคนนี้ ทำให้ไนท์ไปรีเสิร์ชเพิ่มเติมจนมาผูกโยงกับกลุ่มนางโจร และตัวละครอื่น ๆ อีก
อีกส่วนผสมหนึ่งที่ลงตัวอย่างมากของซีรีส์นี้ก็คือการมี เดวิด โอลูโซกา เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง เขาคือนักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ลูกครึ่งอังกฤษ-ไนจีเรียย นักเขียน ผู้จัดรายการวิทยุ และโปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัล BAFTA จากซีรีส์ประวัติศาสตร์คนดำที่ถูกหลงลืม Britain’s Forgotten Slave Owners (2015)
เฮเซเคียห์ มอสโคว์ (แสดงโดย มาลาไค เคอร์บี้ ผู้แจ้งเกิดจากบท คุนต้า คินเต้ ในซีรีส์ Roots ฉบับรีเมค และบ้านเราน่าจะจำเขาได้จากซีรีส์ Black Mirror ตอน Men Against Fire) หนุ่มกำยำชาวจาไมกาที่ตั้งใจจะมาลอนดอนเพื่อไปเป็นคนฝึกสิงโตในสวนสัตว์ แต่ชะตากรรมหักเหให้เขามาลงเอยเป็นนักมวยดัง
บทความของสำนักข่าว The Guardian ที่อ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ เดวิด โอลูโซกา (เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการ ของ Scott Trust บริษัทสื่อใหญ่อังกฤษที่มีธุรกิจหนึ่งในนั้นคือ The Guardian ด้วย) ว่า ‘โอลูโซกาให้เครดิต ซาราห์ เอลิซาเบธ ค็อกซ์ นักประวัติศาสตร์ผู้เจาะลึกในด้านวงการมวยและมวยปล้ำ ว่าเธอคือผู้ปลุกผี เฮเซเคียห์ มอสโคว์ ขึ้นมาอย่างแท้จริง เพราะงานวิจัยที่เธอรวบรวมเขียนลงในบล็อก Grappling With History เป็นแรงบันดาลใจให้เขาตัดสินใจจะอำนวยการสร้างซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมา
กล่าวคือซีรีส์เรื่องนี้กำลังเล่าคนดังสุด ๆ ในยุควิคตอเรีย ทว่าเขาไม่ใช่คนสำคัญที่จะมีใครเขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเขาเอาไว้ อีกทั้งเขายังดังอยู่แค่บนวงสังเวียนมวย ซ้ำยังเป็นคนดำที่สังคมสมัยนั้นด้อยค่า ทว่าในปัจจุบันมีบล็อเกอร์ผู้ขุดคุ้ยประวัติศาสตร์อย่างค็อกซ์ และโอลูโซกา ที่รวบรวมบุคคลเหล่านี้ขึ้นมา จากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ อาทิ ข่าวหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ประวัติโรงพยาบาล บันทึกในสุสาน ฯลฯ เพื่อมาลำดับใหม่แล้วเรียบเรียงขึ้นมาเป็นประวัติเกี่ยวกับบุคคลนั้น
และข้อมูลเท่าที่ค็อกซ์รวบรวมมาได้คือ มอสโคว์เกิดราวปี 1862 เป็นนักเดินทางจากหมู่เกาะเวสต์อินดีส เป็นผู้ฝึกสิงโตและนักแสดงในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในลอนดอนตะวันออก ก่อนที่ต่อมาจะถูกกล่าวหาจาก ราชสมาคมเพื่อการป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ (RSPCA) ในเวลานั้นว่าเขาทารุณกรรมหมีสี่ตัว ซึ่งบทความของค็อกซ์ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นการใส่ร้าย เนื่องจากมีหลักฐานหลายอย่างว่าผู้กล่าวหามีความขัดแยังกับมอสโคว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนั้นเป็นการส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว
จากนั้นในเดือนพฤษาคม 1882 ก็ปรากฎว่ามอสโคว์ถูกตีพิมพ์ในหนังสือวงการมวยเป็นประจำ ภายใต้ชื่อว่า “ชิง ฮุค” ซึ่ง ค็อกซ์ ให้ความเห็นว่าเป็นฉายาที่เหยียดเชื้อชาติ (ชิง หมายถึง ราชวงศ์ชิงของจีน เพราะตาชี้ ๆ แบบลูกเจ๊กของเขา) แล้วชื่อของเขาก็หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ในปี 1892 ค็อกซ์เขียนว่า ‘เหมือนมอสโคว์หายวับไปในอากาศ’
ตรงนี้ โอลูโซกา ให้ความเห็นว่า “เป็นเรื่องปกติทั่วไปของคนดำในสมัยศตวรรษที่ 18-19 คนดังที่หายไปจากหน้าสื่อ แล้วไม่มีใครรู้อีกเลยว่าบั้นปลายชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร “แต่นี่คือประวัติศาสตร์ และเราสามารถสร้างเรื่องราวชีวิตคนดำให้กลับคืนมาสู่จินตนาการสาธารณชนได้ แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะทำไม่ได้ แต่เราจะเสกชีวิตของเขาออกมาได้ในซีรีส์เรื่องนี้”
แปลว่าเรากำลังจะบอกว่า ไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับนักมวยคนนี้ แต่ซีรีส์สร้างเรื่องราวของเขาขึ้นมาจากเบาะแสทางประวัติศาสตร์ ในซีรีส์ มอสโคว์ พูดกับมิสเตอร์เลา เจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเรื่องอธิบายว่าคุณยายของเขาสอน รายละเอียดนี้ถูกเพิ่มเข้ามาก็เพื่อจะอธิบายว่าทำไม มอสโคว์ จึงมีตาชี้ตาขีดแบบชาวจีน และคาดเดาว่าเขาอาจจจะมีเชื้อสายจีน เนื่องจากนักประวัติศาสตร์ในยุคนั้นยืนยันว่า “มีกุลีคนงานบนเรือสำเภาจีนใต้อาณัติอังกฤษเคยถูกส่งไปจาไมกา และเราเชื่อว่าเขาน่าจะมาจากที่นั่น” โอลูโซกา ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ส่วนใหญ่กุลีจีนพวกนี้จะถูกส่งไปใช้แรงงานในกายอานา หรือไม่ก็ตรินิแดด ไม่ค่อยมีใครไปจาไมกา ซึ่งก็มีบ้าง แต่น้อยมาก”
ในช่วงทศวรรษ 1880 ย่านอีสต์เอนด์อันเป็นโลเคชั่นหลักของซีรีส์นี้มีประชากรมากกว่า 5 ล้านคน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุด แปลว่า ตัวละครต่าง ๆ ในซีรีส์นี้กำลังผจญภัยอยู่ในชุมชนที่รุ่งเรืองสุดขีดของโลก มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติภาษาแวะเวียนมามากที่สุดในโลก
ในช่วงทศวรรษ 1880 วงการมวยเป็นกีฬาชนชั้นแรงงานที่ได้รับความนิยม นักมวยผิวดำในตำนานก่อนหน้านั้นในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 มีอาทิ บิลล์ ริชมอนด์ อดีตทาสจากนิวยอร์กที่ข้ามาเป็นนักมวยแถวหน้าที่ประวัติศาสตร์อังกฤษต้องจารึก และเปิดสถาบันสอนมวยในช่วงบั้นปลายชีวิต เรื่องราวของเขาเคยถูกดัดแปลงเล่าผ่านตัวละครชื่อ วิลเลียม มอนดริช ในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ช่วงหนึ่งของ Bridgerton (2020-ปัจจุบัน) หรือไม่ก็ ทอม โมลิโนซ์ อดีตทาสชาวอเมริกันผู้ถูกยกย่องในฐานะแชมเปี้ยนมวยชาวอังกฤษ
ความสำคัญของสังเวียนมวยในลอนดอนช่วง 1880 คือเป็นเวทีที่คนจนจากหลากหลายเชื้อชาติสามารถข้ามขั้นสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้ หากมีความสามารถและโชคช่วย โอลูโซกา เล่าว่า “สังเวียนมวยคือสถานที่แห่งโอกาส ทักษะ อันตราย และความเสี่ยง แต่มันมีปลายทางเป็นรางวัลอันเหลือเชื่อ พวกชนชั้นกลางเลยไม่ชกมวยเพราะมันเสี่ยงมาก บาดเจ็บถึงเลือดถึงเนื้อ หรือถ้าโชคร้ายก็อาจถึงตายได้เลย” แต่วงการนี้มันคุ้มเสี่ยงสำหรับพวกนอกคอกจากทั่วทุกมุมโลกที่ไม่มีอะไรจะเสีย เพื่อเลื่อนสถานะทางชนชั้นด้วยวิธีที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ถ้าสภาพร่างกายพร้อม
ความจริงนี้ทำให้ทาสผิวดำหลายคนเลือกจะมาเสี่ยงโชคในอังกฤษ โอลูโซกาเล่าว่า “ในลอนดอนสมัยวิคตอเรียตอนปลาย คนผิวดำคือความแปลกใหม่ ของหายาก และแกร่งทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ คุณจึงเห็นคนผิวสีทั้งบนสังเวียนมวย เป็นนักแสดงริมถนน นักดนตรีผิวดำจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ แถมบางคนยังมีความสามารถในการร้องเพลง” สิ่งเหล่านี้ปรากฎในฉากหนึ่งของซีรีส์เมื่อมีนักกายกรรมผิวดำแสดงความสามารถสุดทึ่งและได้รับคำชมอย่างมาก
เฮนรี “ชูการ์” กู๊ดสัน
เขาคือนักมวยระดับตำนาน ชูการ์ (แสดงโดย สตีเฟน เกรแฮม หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้ ผู้แจ้งเกิดจากหนังสุดฮิปยุคY2K เรื่อง Snatch (2000) และGangs of New York (2002) ชีวิตจริงของ ชูการ์ เริ่มต้นขึ้นบนถนนบริคเลนในแถบอีสต์เอนด์ของลอนดอนช่วงปี 1856 เขาเป็นหนึ่งจากพี่น้อง 13 คน ในทางประวัติศาสตร์เรื่องราวของเขาปรากฎขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1870s ในฐานะผู้ที่มีกิจกรรมยามว่างอันเป็นที่โปรดปรานอย่างหนึ่งของชาวลอนดอนเนอร์ยุควิคตอเรียนคือการชกมวยแบบไม่สวมนวม
บันทึกจากพิพิธภัณฑ์ลอนดอนเล่าว่าการชกมวยแบบไร้นวมมีขึ้นในช่วงทศวรรษ 1680 กีฬาใต้ดินนี้ส่วนใหญ่จะพนันกันในผับ บาร์ และที่เหลือเชื่อคือในสมัยนั้นพวกเขาจัดแข่งขันมวยกันในโบสถ์ ในยุคของ ชูการ์ กีฬามวบถูกพัฒนารูปแบบและกติกาต่าง ๆ ไปมาก กล่าวคือ ชูการ์ เข้าสู่สังเวียนมวยในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากกฎลอนดอน ไพรซ์ ริง รูล (London Prize Ring Rules เป็นกติกามวยที่ประกาศขึ้นเมื่อปี 1838 และแก้ไขเพิ่มเติมในปี 1853 ภาพรวมคือการต่อสู้มือเปล่า และยังคงอนุญาติเทคนิคบางอย่างที่ถูกยกเลิกไปแล้ว เช่น การล็อคหรือทุ่มคู่ต่อสู้ ใส่รองเท้าสตั๊ดได้ แต่ห้ามเตะ แทงเข่า หรือทุบตี มีเวลาพักแค่ 30 วินาที หลังจากนั้นต้องทำเวลาภายใน 8 วินาทีเพื่อไปเริ่มรอบใหม่ตรงกลางสังเวียน) ไปสู่กฎ ควีนเบอร์รี รูล (Queensberry Rules เป็นกติการ่วมกันในปี 1865 และกลายเป็นกติกาสากลมาในปัจจุบัน ภาพรวมคือห้ามปล้ำบนเวที แต่ละรอบมีเวลา 3 นาที พัก 1 นาที ต้องสวมนวมในการชก)
แล้วที่กติกาเหล่านี้กลายเป็นประเด็นสำคัญเพราะชูการ์ชื่นชอบการชกแบบมือเปล่า แต่กฎหมายใหม่ทำให้เขาถูกบังคับให้ต้องสวมนวมชก อันถือเป็นการผิดกฎหมายในยุคนั้น ทำให้การแข่งขันบางแมชท์ถึงกับมีตำรวจมาลากคอเขาลงจากเวทีมวย
ชูการ์โดดเด่นในฐานะนักชกผู้มีแผ่นหลังล่ำสันและไหล่กว้าง แต่ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของชูการ์เกิดขึ้นในปี 1881 คือเขาสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งซึ่งสันนิษฐานกันว่าอาจเพราะผลจากการป่วยไข้ทรพิษในช่วงปีนั้น ประวัติคร่าว ๆ ของเขาเท่าที่บันทึกไว้ในกรมตำรวจ คือ ก่อจราจลในปี 1882, ทำร้ายร่างกายพี่ชายตัวเองในปี 1883, จัดชุมนุมเพื่อชกมวยเถื่อนผิดกฎหมายในปี 1884, ประพฤติตัวไม่เหมาะสมและใช้คำหยาบคายในปี 1890 และหลังการเสียชีวิตของเขาในปี 1917 นิตยสารสปอร์ตแมนตีพิมพ์คำไว้อาลัยแบบผู้ดีอังกฤษที่ระบุว่า “เขาเป็นนักมวยทีดี ถึงแม้จะไม่ฉลาด แต่ชูการ์ก็กเป็นเพื่อนที่ดี เหมือนเพชรที่ยังไม่เจียระไน แต่ใครกันล่ะที่ต้องการสมอง เมื่อคุณมีกำปั้นทองคำ”
ในซีรีส์เขาถูกบรรยายว่าเป็นเหมือนมาเฟียขาใหญ่แห่งย่านอีสต์เอ็นด์ เว็บ grapplingwithhistory ของ ค็อกซ์ เล่าว่า “จริง ๆ แล้วชูการ์ แม้จะมีฝีมือเก่งกาจแต่สายตาสั้น เขาเป็นชายดุดัน มุ่งมั่น อย่างไรก็ตามแม้ตลอดชีวิตบนสังเวียนมวยของเขาจะมีเพียงตาเดียว แต่ในซีรีส์ไม่ได้เล่าส่วนนี้เลย และเขายังคงมีตาสองข้าง ชูการ์แต่งงานในปี 1876 และมีลูกชายสี่คน หนึ่งในนั้นคือ เท็ด กูดสัน ที่ต่อมาเจริญรอยตามพ่อเป็นนักชกชื่อดังเช่นกัน”
และนี่คือทั้งหมดเท่าที่เรารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีกด้านที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้ แต่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสนุกสนานในซีรีส์ยุคเรา