ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯจี้ฝ่ายค้านตัดชื่อ ‘ทักษิณ’ จากญัตติซักฟอก ย้ำ“ไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด ไม่ตั้งโต๊ะแถลง” – ครม.ลดค่าไฟช่วยกลุ่มเปราะบาง 16 สตางค์ 4 เดือน

นายกฯจี้ฝ่ายค้านตัดชื่อ ‘ทักษิณ’ จากญัตติซักฟอก ย้ำ“ไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด ไม่ตั้งโต๊ะแถลง” – ครม.ลดค่าไฟช่วยกลุ่มเปราะบาง 16 สตางค์ 4 เดือน

11 มีนาคม 2025


เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ โถงชั้นล่าง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายกฯจี้ฝ่ายค้านถอนชื่อ ‘ทักษิณ’ จากญัตติซักฟอก ย้ำ “คุณพ่อไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด ไม่ต้องตั้งโต๊ะแถลง”
  • ยันกลุ่ม 21-59 ปี ได้ ‘เงินหมื่น’ แน่นอน
  • ตั้งปลัดมหาดไทย ประธาน คกก.สอบ ‘ประกันสังคม’
  • ไม่พร้อมดัน กม.สถานบันเทิงครบวงจรเข้า ครม.ขอดูรายละเอียดก่อน
  • ลุยสร้างท่าเรือน้ำลึกเกาะสมุย เปิดรับเรือยอร์ชขนาดใหญ่ปี’75
  • มติ ครม.จัดงบฯ 1,700 ล้าน ลดค่าไฟ 16 สตางค์ ช่วยกลุ่มเปราะบาง 4 เดือน
  • กำหนดราคาอ้อย 9 เขต 1,404 บาท/ตัน – น้ำตาล 601 บาท
  • เวนคืนที่ดินสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
  • ผ่านร่างกฎกระทรวงเก็บค่าทางด่วน ‘อุตราภิมุข’ ช่วงอนุสรณ์สถาน-บางปะอิน
  • ไฟเขียว มทร.ธัญบุรี ออกนอกระบบ
  • เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี

    สั่ง 5 กระทรวง รับมือผลไม้ล้นตลาด – ราคาตก

    นางสาวแพทองธาร รายงานว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ปี 2568 มีผลไม้หลายชนิดที่จะมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้จากการส่งออกให้ประเทศไทยมากกว่า 150,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีประเทศจีนเป็นกำลังซื้อหลัก

    นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำและสินค้าตกค้าง ในช่วงที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาดจำนวนมากในอีก 2-3 เดือน จึงมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและมาตรการต่างๆ เพื่อบริหารจัดการผลไม้ออกสู่ตลาด และสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการจัดการ

    จี้กรมประมงเร่งจัดโครงการแก้ปัญหาส่งออกกุ้งร่วง

    นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มอบหมายให้กรมประมง กระทรวงเกษตรฯ พิจารณาเพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหากุ้งทะเลของไทยให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นในระยะยาว เนื่องจากตัวเลขการส่งออกกุ้งลดลงเป็นอย่างมาก จึงมีโครงการที่ออกมา เช่น โครงการสนับสนุนอาหารกุ้งทะเล โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โครงการกระจายผลผลิตกุ้งทะเลคุณภาพสู่ผู้บริโภคในประเทศ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกุ้ง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกกุ้ง ฯลฯ

    เคาะราคาอ้อยปี’66/67 ตันละ 1,404 บาท น้ำตาล 601 บาท

    นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเรื่องการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูกาลผลิต ปี 2566/67 เป็นรายเขต 9 เขต โดยมีราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2566/67 ในอัตรา 1,404.17 บาทต่อตันอ้อย และมีผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย อัตราเฉลี่ยทั่วประเทศ 601.79 บาทต่อตันอ้อย

    ตั้งปลัดมหาดไทย ประธาน คกก.สอบ ‘ประกันสังคม’

    เมื่อถามถึงประเด็นข้อครหาและความไม่โปร่งใสของประกันสังคม นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงานดูอยู่แล้ว แน่นอนว่าเราต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ และให้มีความโปร่งใสมากที่สุด จริงๆ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวให้กระทรวงแรงงานตามดูเรื่องนี้ และความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ”

    “ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม หรือที่ต้องเพิ่ม ต้องปรับปรุง รัฐบาลทำแน่นอน ถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนรัฐบาลนี้ด้วยซ้ำ เราก็ตรวจสอบ และดูว่ามีอะไรที่ทำให้มันชัดเจนขึ้นได้บ้าง อะไรที่ปรับปรุงเพิ่มได้ก็ต้องทำแน่นอน” นางสาวแพทองธาร เสริม

    ถามต่อว่า บางเรื่องเป็นผลพวงจากรัฐบาลที่แล้ว จะสะสางในรัฐบาลนี้หรือไม่ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ก็ต้องดูว่าอย่างไรบ้าง และต้องดูว่าทำอะไรได้บ้าง อะไรที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนทำอยู่แล้วแน่นอน ไม่ลังเลแน่นอน ต้องทำก็คือทำ”

    เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินการ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า ตอนนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมฯ ตรวจสอบแล้ว โดยได้ลงนามแล้ว และมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน

    ไม่พร้อมดัน กม.สถานบันเทิงครบวงจรเข้า ครม.ขอดูรายละเอียดก่อน

    ผู้สื่อข่าวถามเรื่องการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่าจะเข้า ครม.เมื่อไร โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราต้องดูก่อน ยังไม่พร้อมนะคะ”

    เมื่อถามถึงผู้ชุมนุมที่หน้าทำเนียบ นายกฯ จะประนีประนอม หรือ รับเงื่อนไขอะไรหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ม็อบมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ก็รับฟังค่ะ อย่างที่บอก ความคิดเห็นพี่น้องประชาชนสำคัญอยู่แล้ว และก็รับฟังทุกอย่างที่พูดมา จริงๆ สุดท้ายแล้วการอธิบาย การทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ก็จะมาพร้อมกับความเข้าใจด้วยกันทั้งหมด”

    เมื่อถามถึงเหตุผลที่ยังไม่นำร่าง พ.ร.บ. เข้าที่ประชุม ครม. นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราเร่งนะคะ แต่ในเรื่องการถามความเห็นด้วย รายละเอียดต่างๆ ต้องดูให้ดี เพราะเราไม่อยากจะรีบไป มันเป็นเรื่องที่ประเทศไทยยังไม่เคยมี เพราะฉะนั้นการรับคอมเมนต์ หรือ การตรวจสอบด้านกฎหมายด้วย กฎเกณฑ์ต่าง ๆด้วย อันนี้ก็สำคัญ ตัวดิฉันเองบอกว่ายังไม่ต้องรีบ เอาให้มันชัดเจนก่อน”

    ถามต่อเรื่องเงื่อนไขคนไทยที่จะเข้ากาสิโน ต้องมีเงินในบัญชี 50 ล้านบาท นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เดี๋ยวในรายละเอียดขอว่ากันอีกที เดี๋ยวพูดไปตอนนี้กลับไปกลับมามันจะยิ่งงง ขอไฟนอลก่อน”

    ยันกลุ่ม 21-59 ปี ได้ ‘เงินหมื่น’ แน่นอน

    ผู้สื่อข่าวถามรายละเอียดการจ่ายเงิน 10,000 บาท เฟส 3 ให้กับกลุ่มคนอายุ 16 – 20 ปี โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เดี๋ยวให้กระทรวงการคลังแจ้งในรายละเอียด…ก็ให้ทุกคนโหลดแอป ‘ทางรัฐ’ ไว้ก่อน รับเงินผ่านแอปทางรัฐแน่นอน เพราะฉะนั้นโหลดไว้ก่อนเลย”

    “นอกจากดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว มันยังมี facility อื่นๆ มีสิ่งอื่นๆ อีกเยอะที่รัฐบาลเตรียมมอบให้กับพี่น้องประชาชนผ่านแอปทางรัฐ มันอาจจะมีเรื่องการสื่อสารด้วย การรับประโยชน์ต่างๆ จากรัฐด้วย พอเรามีฐานข้อมูลแล้วมันทำให้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นสื่อมวลชนก็ต้องโหลดด้วยนะคะ ช่วยกันโหลด” นางสาวแพทองธาร ตอบ

    ผู้สื่อข่าวบอกว่า กลุ่มคนอายุ 21-59 ปี กังวลว่าจะไม่ได้เงิน ทำให้นางสาวแพทองธาร บอกว่า “อันนี้ขอย้ำให้ความมั่นใจนะคะว่า ทุกกลุ่มจะได้รับดิจิทัล วอลเล็ตในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวล จริงๆ แล้วที่ select กลุ่มแรก (16-20 ปี) มาก่อนเพราะมันเป็นเรื่องเทคโนโลยีด้วย”

    “บางคนอาจจะพูดว่าทำไมไม่ให้เงินสดเหมือนเดิม จริงๆ มันเป็นนโยบายดิจิทัล วอลเล็ตตอนแรก พื้นฐานที่มาทั้งหมดคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ สุดท้ายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เข้าไปสู่เทคโนโลยีด้วย อันนี้คือสิ่งที่ตั้งใจตั้งแต่ตอนหาเสียงเลือกตั้งแล้ว แต่ทีนี้ระบบมันต้องใช้เวลา และเข้าใจว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อน เพราะฉะนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกที่เป็นเงินสดไปคือจำเป็นมาก ตอนนี้พอระบบใกล้จะเรียบร้อยก็กลับมาเป็นดิจิทัล วอลเล็ตที่กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยีไปด้วย” นางสาวแพทองธาร ตอบ

    “แน่นอนการให้ข้อมูลมันไม่จบแค่นี้ มันจะยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายในการมีฐานข้อมูลของพี่น้องประชาชน เวลาเกิดอะไรขึ้น หรือ การเยียวยาต่างๆ เราก็จะจับกลุ่มเฉพาะกลุ่มจะได้รู้ว่าคนพื้นที่นี้ อายุเท่านั้นเท่านี้ ก็จะเป็นการทำงานที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น อย่างเมื่อก่อนบอกว่าต้องรอนานมากกว่าจะได้อะไรจากรัฐบาล นี่จะเป็น process ที่สั้นลงเยอะมากๆ และช่วยพี่น้องประชาชนได้ทั่วถึงจริงๆ” นางสาวแพทองธาร ตอบ

    จี้ฝ่ายค้านถอนชื่อ ‘ทักษิณ’ จากญัตติซักฟอก ย้ำ “คุณพ่อไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด ไม่ต้องตั้งโต๊ะแถลง”

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีฝ่ายค้านไม่ถอนชื่อนายทักษิณออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “(นายทักษิณ) ท่านไม่ว่าอะไร เขาก็ถามเฉยๆ ว่ามันเข้า (สภา) ได้หรือ เขาไม่ได้อยู่ในสภา หรือ จะให้เขาไปสภา เขาก็ถามเล่น ๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็เข้าไม่ได้อยู่แล้วนะคะ ก็ว่าไป”

    “เอาแบบข้อเท็จจริงนะ อย่าใช้อารมณ์เลย หลักการคืออะไรดีกว่า กฎคืออะไร ถ้าเราไม่ทำตามกฎ ถ้าเราไม่ทำตามหลักการ ตั้งกฎ ตั้งหลักการเอาไว้ทำไม ก็แค่นั้นเอง ถ้าสมมติหลักการมันเข้าได้ ได้เลย เราจะห้ามอย่างไร แต่ถ้าหลักการเข้าไม่ได้ จะฝืนหลักการก็ไม่ได้ แค่นั้นเอง” นางสาวแพทองธาร ตอบ และพูดต่อว่า “ขอคำถามสุดท้ายนะ”

    ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะมีโอกาสให้นายทักษิณตั้งโต๊ะแถลงหรือไม่ นางสาวแพทองธาร จึงถามกลับว่า “ท่านทักษิณจะแถลงเพื่ออะไรคะ” ผู้สื่อข่าวบอกว่า เพื่อเคลียร์ปัญหากับสาธารณะ

    จากนั้นนางสาวแพทองธาร พูดทันทีว่า “เพื่อให้มีประเด็นอื่นๆ ต่อไป…ไม่จำเป็น ท่านทักษิณก็เป็นคุณพ่อของนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เท่านั้นเอง ท่านไม่ได้เป็นนายกฯ ด้วย จะไปอภิปรายท่าน หรือ จัดโต๊ะแถลง ถ้าฮอลลีวูดชวนท่านไปเป็นดารา เดี๋ยวท่านแถลงได้ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ”

    ปลื้มขายทัวร์เที่ยวไทยในงาน ‘ITB Berlin 2025’ กว่า 7 หมื่นราย

    ด้านนายจิรายุ รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 จากการที่ ประเทศเยอรมนี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯ ได้ประกาศว่า ประเทศไทยเป็น Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 อีกทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้จัดทำเส้นทางการท่องเที่ยวด้วย ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพของประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก ทั้งภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ร่วมมาเปิดบูธ 160 ราย โดยในปีนี้ รัฐบาลได้เน้นถึงการส่งเสริม Soft Power ซึ่งเป็นจุดขายหลักของประเทศไทยอีกด้วย

    นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ได้มีโอกาสเจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยว นำเสนอเสน่ห์ที่แตกต่างตอบโจทย์นักเดินทางที่มองหาจุดหมายใหม่ เชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว โดยได้รับความสนใจจากบริษัทนำเที่ยวชั้นนำจากหลายประเทศ/ดินแดน อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สเปน สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ไต้หวัน เวียดนาม ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทุกประเทศรู้สึกยินดีที่ประเทศไทยมีการนำเสนอในมุมของ Hidden Gems Cities เป็นโอกาสให้พัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการเข้าสู่เวทีเจรจาธุรกิจระดับสากลได้อย่าง มีประสิทธิภาพ

    นายจิรายุ ให้ข้อมูลว่า มีการซื้อขาย แล้วประมาณ 7 หมื่นกว่าราย มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริป ประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท สร้างรายได้เข้าประเทศเบื้องต้นกว่า 4,400 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จงาน 3-6 เดือนจะมีการเจรจา สัญญาซื้อขายเพิ่มเติมอีกแน่นอน โดยขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เร่งติดตามผลและเดินหน้าประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพด้านแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกของไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ

    เปลี่ยนชื่อ ‘เมืองรอง’ 18 จังหวัด เป็น ‘เมืองน่าเที่ยว’

    นายจิรายุ กล่าวต่อว่า “ปีนี้ได้ประสานงานกับกระทรวงท่องเที่ยวฯ และประกาศเป็น ‘เมืองน่าเที่ยว’ สมัยก่อนมีเมืองหลัก-เมืองรอง แต่ตอนนี้ไม่มีเมืองรองแล้ว เพราะพอบอกเมืองรองทุกคนก็จะไปเที่ยวเมืองหลัก รัฐบาลนายกฯ แพทองธารก็จะเปลี่ยนเป็นเมืองน่าเที่ยวทั้งหมด 18 จังหวัด”
    โดยเมืองน่าเที่ยว 18 จังหวัด ประกอบด้วย

      • ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แม่ฮ่องสอน สุโขทัย แพร่ และลำปาง
      • ภาคใต้ ได้แก่ สตูล ตรัง และนครศรีธรรมราช
      • ภาคอีสาน ได้แก่ หนองคาย อุดรธานี เลย และนครพนม
      • ภาคตะวันออก ได้แก่ ตราด จันทบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว

    ลุยสร้างท่าเรือน้ำลึกเกาะสมุย เปิดรับเรือยอร์ชขนาดใหญ่ปี’75

    นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ มีข้อสั่งการในที่ประชุม ครม.ว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำคัญที่นักท่องเที่ยวได้เดินทางมา ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากเยอรมัน ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ สเปน และมีชาวจีน อินเดีย ไต้หวัน เวียดนาม ญี่ปุ่น ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีบริษัททัวร์มากมายให้ความสนใจกับนักท่องเที่ยวในประเทศไทย

    “สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ลงพื้นที่ไปจังหวัดสุราษฎร์ธานีตามนโยบายจากการสั่งการในที่ประชุม จ.สงขลา ท่านบอกว่า ฝั่งอันดามันมีกระบี่ พังงา ภูเก็ต มีเกาะแก่งเยอะแยะมากมาย ส่วนฝั่งอ่าวไทยก็มีเกาะสมุย พงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน ก็มีโครงการท่าเรือสำราญขนาดใหญ่” นายจิรายุ กล่าว

    “จากการลงพื้นที่ นายกฯ ให้ดูเรื่องโครงการว่าเป็นไปตามกรอบระยะเวลาหรือไม่ คาดว่าจะลงเข็มดำเนินการได้ในปี 2572 และจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี หมายความว่าปี 2575 ประเทศไทยจะมีท่าเรือน้ำลึกรองรับเรือยอร์ชขนาดใหญ่ที่อำเภอสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี” นายจิรายุ รายงานว่า

    นายจิรายุ เสริมว่า นายกฯ มีดำริว่า ที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นักท่องเที่ยวที่วิ่งตั้งแต่รูทฝั่งอันดามัน ไปเที่ยวสิงคโปร์ อ้อมมาเที่ยวสงขลา แวะสมุยต่อไปชุมพร ไปพัทยา ไปศรีหนุวิลกัมพูชา ไปโฮจิมินส์ ถือเป็นรูทเรือสำราญขนาดใหญ่

    สั่ง 5 กระทรวง เร่งขยายตลาด รับมือผลไม้ล้นตลาด

    นายจิรายุ รายงานจาก ก.เกษตรฯ ว่า ปี 2568 ผลไม้หลายชนิดจะมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้ จากการส่งออกให้แก่ประเทศมากกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดหลัก ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำและสินค้าตกค้าง ในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ดังนั้น นายกฯ ขอมอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและมาตรการบริหารจัดการ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกร ดังนี้

      1. กระทรวงพาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิตรวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ และขยายตลาด ต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อผลักดันการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ มากขึ้น
      2. กระทรวงคลัง โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีนให้สอดคล้องกับปริมาณและช่วงเวลาการขนส่งทุเรียน
      3. กระทรวงคมนาคม หารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อม และอำนวยความสะดวก ทั้งรถขนส่งสินค้าและตู้ขนส่งสินค้าให้เพียงพอ
      4. กระทรวงเกษตรฯ กำกับดูแลการตรวจคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสารแคดเมียมและสารสีเหลือง (Basic Yellow 2) ซึ่งทางประเทศจีนกำหนดให้ตรวจ 100% หากพบผู้กระทำความผิด ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที
      5. กระทรวงการต่างประเทศ ก.เกษตรฯ ก.พาณิชย์ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย เช่น การยอมรับการตรวจสอบของห้องแล็บในไทย ตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจซ้ำ เป็นต้น

    ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้นำเอาข้อสั่งการทั้ง 5 ข้อไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ เช่น มังคุด ลำไย ที่ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากด้วย

    แจงแจก ‘เงินหมื่น’เด็กก่อน เหตุเพราะรู้เรื่องเทคโนโลยีดี

    นายจิรายุ กล่าวต่อว่า “นายกฯ กำชับและยืนยันว่า เงินหมื่นเฟส 3 4 5 เฟส 1 ไปแล้วกลุ่มเปราะบาง เฟส 2 กลุ่ม 60 พลัส เฟส 3 อายุน้อยต่ำกว่า 20 เฟสต่อไปจะต้องทำครบทุกอายุตั้งแต่ 21 ปี ถึง 59 ปี”

    “เหตุผลที่รัฐบาลทำในกลุ่ม 16 – 20 ปี เนื่องจากน้อง ๆ จะมีความรู้ความสามารถในการเข้าสู่เทคโนโลยีในระบบโซเชียลจะถือเป็นต้นแบบ น้อง ๆ หนึ่งคนอาจจะมีความรู้ในการโหลดแอปพลิเคชัน หรือ การลงทะเบียนในระบบดิจิทัล วอลเล็ตที่ไม่ได้เป็นการแจกเงินสด แน่นอนก็อาจจะสอนคุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตายาย หรือพี่ป้าน้าอาที่อายุมาก ก็ให้เยาวชนที่ทำได้” นายจิรายุ กล่าว

    “หลายเรื่องผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ต้องถามลูกชายวัย 16 ปี บางทีก็ให้โหลดให้บ้าง ทำให้บ้าง” นายจิรายุ กล่าว

    นายจิรายุ ย้ำว่า “รัฐบาลยืนยันอีกครั้งว่า กลุ่มคนตั้งแต่อายุ 21 ถึง 59 อย่างไรก็แล้วแต่ รัฐบาลไม่ทิ้งแน่นอน แผนการดำเนินการ ซึ่งอาจจะเรียกว่าโครงการเฟส 4 , 5 ต่อไป เพื่อพัฒนารูปแบบดิจิทัล วอลเล็ต เนื่องจากรับดิจิทัล วอลเล็ต เป็นแล้วสมัครแล้ว หรือจะดำเนินการเรื่องใดๆ จะง่าย ยกตัวอย่างเช่น การเยียวยาเรื่องน้ำท่วมอะไรต่างๆ หรือกระทั่งระบบการศึกษา การชดเชย การสนับสนุนด้านต่างๆ น้องๆ หรือ คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไป แต่ถ้ามีระบบดิจิทัล วอลเล็ตก็สามารถดำเนินการได้ นายกฯ ฝากบอกว่าไม่ต้องกังวล”

    มติ ครม.มีดังนี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษก ฯ และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษก ฯร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม. ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

    จัดงบฯ 1,700 ล้าน ลดค่าไฟ 16 สตางค์ ช่วยกลุ่มเปราะบาง 4 เดือน

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน และมอบหมายให้ กระทรวงพลังงาน (พน.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่ โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพลังงาน เสนอ

    นายคารม กล่าวว่า มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน เป็นมาตรการต่อเนื่อง จากมาตรการเดิมที่ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 และสิ้นสุดลงเมื่อเดือนธันวาคม 2567 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งเพื่อให้เศรษฐกิจ ของประเทศสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย

    “มาตรการที่เสนอในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือ ค่าไฟฟ้าของกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง โดยการให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ดังนี้ 1. ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 2. ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ 3. ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ จำนวน 16.05 สตางค์ต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม – เมษายน 2568” นายคารม ระบุ

    ทั้งนี้ จากการดำเนินมาตรการดังกล่าวตลอดระยะเวลา 4 เดือน คาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือรวมทั้งสิ้นประมาณ 21.30 ล้านราย และใช้งบประมาณ (งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น) รวมทั้งสิ้น ประมาณ 1,700 ล้านบาท (ประมาณ 425 ล้านบาทต่อเดือน)

    เวนคืนที่ดินสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายนัคราพิพัฒน์ ในท้องที่เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ

    นายคารม กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายนัคราพิพัฒน์ ในท้องที่เขตวังทองหลาง ฯ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีการแก้ไขโครงการในร่างพระราชบัญญัตินี้ จาก “โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว – สำโรง” เป็น “โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเส้นทางที่ได้รับพระราชทานว่า “นัคราพิพัฒน์” โดยมีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายนัคราพิพัฒน์ ในท้องที่เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายในระยะเวลา 4 ปี

    ทั้งนี้ แม้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ส่งมอบที่ดินที่ถูกเขตทางทั้งหมดในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ เพื่อใช้ในการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว แต่มีเจ้าของที่ดิน จำนวน 27 แปลง (จาก 290 แปลง) ไม่ตกลงซื้อขาย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจึงวางเงินทดแทนให้กับเจ้าของที่ดินดังกล่าวแต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของเจ้าของที่ดิน โดยจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยก็ต่อเมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และพระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 เพื่อให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยโดยเร็วต่อไป

    ผ่านร่างกฎกระทรวงเก็บค่าทางด่วน ‘อุตราภิมุข’ ช่วงอนุสรณ์สถาน-บางปะอิน

    นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข (อนุสรณ์สถาน-บางปะอิน) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.)เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย โดยมีสาระสำคัญของเรื่องดังนี้

    คค. (กรมทางหลวง) ได้ดำเนินการตามคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) รับร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข (อนุสรณ์สถาน-บางปะอิน) พ.ศ. …. ไปปรับปรุงแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยปรับปรุงแก้ไขจากร่างกฎกระทรวงที่ สคก. ตรวจพิจารณาล่วงหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนประเภททางหลวงจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 38 ทางยกระดับอนุสรณ์สถาน – รังสิต ให้เป็นทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข (อนุสรณ์สถาน – บางปะอิน)

    ทั้งนี้ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 ซึ่งเดิมเป็นสายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต – บางปะอิน มีขอบเขตการให้เอกชนร่วมลงทุน โดยดำเนินการก่อสร้างทางยกระดับตลอดเส้นทางขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 22 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นอยู่ปลายทางยกระดับอุตราภิมุข บริเวณ กม. 33+924 ของถนนพหลโยธิน และมีจุดสิ้นสุดทางหลักโครงการฯ ที่ประมาณ กม. 51+924 ของถนนพหลโยธินบริเวณทางแยกต่างระดับบางปะอิน และพร้อมทั้งให้เอกชนร่วมลงทุนดำเนินงานและบำรุงรักษา (O & M) ตลอดระยะเวลา 30 ปี บนทางยกระดับอุตราภิมุข (อนุสรณ์สถาน -บางปะอิน) รวมถึงการพัฒนาและบริหารจัดการจุดพักรถ (Rest Stop) ด้วย (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567) การออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข (อนุสรณ์สถาน – บางปะอิน) พ.ศ. …. ระยะเวลา 30 ปี เป็นการออกกฎกระทรวงเพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในช่วงรังสิต – บางปะอิน ระยะทาง 22 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงอนุสรณ์สถาน -รังสิต ดังนั้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสัญญาสัมปทานในทางหลวงสัมปทานหมายเลข 5 ทางยกระดับอุตราภิมุข (ดินแดง – อนุสรณ์สถาน) (ทางหลวงสัมปทานหมายเลข 31 สายทางยกระดับดินแดง – อนุสรณ์สถาน เดิม) ตามบันทึกข้อตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 ถนนวิภาวดีรังสิต ตอน ดินแดง – ดอนเมือง ฉบับที่ 3/2550 ลงวันที่ 12 กันยายน 2550 ข้อ 8 (กรมทางหลวงตกลงจะไม่เก็บเงินค่าผ่านทางบนทางยกระดับช่วงอนุสรณ์สถาน – รังสิต ขาเข้าและขาออก ตลอดอายุสัมปทาน)

    2. คค. (กรมทางหลวง) ได้ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์รูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสมของโครงการฯ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โดยอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสม คิดอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางคงที่ (Flat Toll) และกำหนดโครงสร้างอัตราค่าผ่านทางแยกตามประเภทยานพาหนะ ได้แก่ ยานพาหนะ 4 ล้อ และยานพาหนะมากกว่า 4 ล้อ

    ทั้งนี้ เพื่อให้สะท้อนถึงต้นทุนความเสียหาย แก่ถนน แยกตามประเภทยานพาหนะ โดยวิเคราะห์รายได้รวมตลอดระยะเวลา 30 ปี ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ โดยมีสมมติฐานการปรับขึ้นอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางทุก 5 ปี (อ้างอิงจากแนวทางปฏิบัติการปรับขึ้นอัตราค่าใช้บริการของโครงการทางด่วนและรถไฟฟ้า) ในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี (อ้างอิงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปย้อนหลัง) และทำการตรวจสอบความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR มากกว่าร้อยละ 12) ภายใต้กรณีทดสอบต่าง ๆ พบว่า โครงสร้างและอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสมสำหรับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต – บางปะอิน ซึ่งเป็นทางหลวงในเขตเมือง ควรกำหนดให้มีอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบคงที่ 2 อัตรา ที่สอดคล้องกับระยะทางการเดินทาง โดยเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบริเวณทางขึ้นหรือทางขาเข้าใช้โครงการจำแนกตามประเภทของยานพาหนะ เพื่อสะท้อนภาระต้นทุนการดำเนินงานและบำรุงรักษาที่แตกต่างกัน โดยคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางตามระยะทาง ถ้ามีเศษของค่าธรรมเนียมไม่เกิน 5 บาท ให้ปัดเศษนั้นลง และถ้ามีเศษของค่าธรรมเนียมเกิน 5 บาท แต่ไม่ถึง 10 บาทให้เรียกเก็บเศษนั้นเพียง 5 บาท ซึ่งมีจุดเก็บค่าธรรมเนียมทั้งหมด 7 ด่าน (ขาออกจากกรุงเทพมหานคร 4 จุด และขาเข้ากรุงเทพมหานคร 3 จุด) โดยแต่ละด่านมีอัตราค่าธรรมเนียมแตกต่างกันตามประเภทของรถยนต์ และจุดที่ขึ้น เช่น ปีที่ 1-5 รถยนต์ 4 ล้อที่ขึ้นจากจุดด่านเก็บเงินวไลยอลงกรณ์ เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท แต่ถ้าขึ้นที่จุดด่านเก็บเงินรังสิต 1 เสียค่าธรรมเนียม 40 บาท รถยนต์มากกว่า 4 ล้อขึ้นไป ที่ขึ้นจากจุดด่านเก็บเงินวไลยอลงกรณ์เสียค่าธรรมเนียม 30 บาท แต่ถ้าขึ้นที่จุดด่านเก็บเงินรังสิต 1 เสียค่าธรรมเนียม 65 บาท ฯลฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้

    3. ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงอนุสรณ์สถาน – บางปะอิน เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง ตามประเภทของยานยนตร์ในอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้ โดยกำหนดให้เก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง ตามประเภทของยานยนตร์ และกำหนดให้มีการปรับเพิ่มขึ้นทุก 5 ปี

    ทั้งนี้ คค. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้แล้ว

    ไฟเขียว มทร.ธัญบุรี ออกนอกระบบ

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. …. และเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว รวมทั้ง รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ

    นายคารม กล่าว่า ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวมทั้ง 2 ฉบับ ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการบริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 โดยเปลี่ยนระบบโครงสร้างการบริหารงาน และสถานะของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จากเดิมที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งเป็นส่วนราชการภายใต้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เป็นส่วนราชการ แต่มีฐานะเป็นหน่วยงาน และอยู่ในกำกับดูแลของรัฐ (สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) โดยกำหนดกลไกการบริหารมหาวิทยาลัยให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนดังกล่าว รวมทั้งกำหนดมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการอุดมศึกษา เช่น การกำหนดให้มีการประเมินคุณภาพการศึกษาและการประเมินผลการปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัย เป็นต้น รวมถึงกำหนดเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบัญชีและการตรวจสอบ เพื่อให้มหาวิทยาลัย มีการวางและรักษาระบบบัญชีตามส่วนงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎหมาย ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ

    “การเปลี่ยนสถานะจากสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นส่วนราชการมาเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ จะทำให้การบริหารจัดการการศึกษาของมหาวิทยาลัย มีความเป็นอิสระ มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้นสอดคล้องกับการปฏิรูปการอุดมศึกษา อันจะส่งผลให้การจัดการศึกษา การสร้างความชำนาญในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การประยุกต์และพัฒนาวิชาการและทักษะวิชาชีพ รวมถึงการดำเนินภารกิจด้านการให้บริการทางวิชาการ การผลิตนวัตกรรม และการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม สามารถดำเนินการได้อย่างมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและตอบสนองความต้องการของประเทศ” นายคารม กล่าว

    ยกเลิกพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม 4 ตำบล ใน อ.ปะทิว จ.ชุมพร

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถอนร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่ตำบลปากคลอง ตำบลชุมโค ตำบลบางสน และตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. …. ตามที่เสนอได้

    นายคารม กล่าวว่า ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่ตำบลปากคลอง ตำบลชุมโค ตำบลบางสน และตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. …. ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (25 ตุลาคม 2565) เห็นชอบร่างประกาศดังกล่าว ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และอยู่ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาลงนาม
    เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปแต่โดยที่สมาคมประมงปะทิวคลองบางสน สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เครือข่ายธรรมาภิบาลไทยและภาคประชาชนบางส่วน คัดค้านการออกประกาศดังกล่าว เนื่องจากกระทบต่อการประกอบอาชีพและวิถีชีวิต รวมถึงซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงเห็นว่าเพื่อให้ร่างประกาศดังกล่าวเป็นไปด้วยความเหมาะสม ชัดเจน มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงขอถอนร่างประกาศดังกล่าวกลับมาทบทวนอีกครั้ง และเมื่อมีการทบทวนร่างประกาศดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว จะได้เสนอไปตามขั้นตอนการเสนอกฎหมายต่อไป

    ประกาศผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

    นายคารม กล่าวว่า ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลลานสะแก ตำบลก้ามปู ตำบลปะหลานและตำบลเมืองเสือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีพื้นที่วางผังประมาณ 29.86 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 18,662.50 ไร่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินการคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม โดยส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนพยัคฆภูมิพิสัยให้เป็นศูนย์กลางบริหาร การปกครอง การเศรษฐกิจ การบริหารสังคม และการคมนาคมขนส่ง ส่งเสริม สนับสนุน และอนุรักษ์เกษตรกรรมบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ อนุรักษ์พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์วัฒนธรรม และส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พื้นที่โล่งริมแหล่งน้ำและคูเมืองโบราณที่สำคัญของเมือง ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 11 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท รวมทั้งกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว

    โดยกำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 11 ประเภท ดังนี้

      1. ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อการอยู่อาศัย (สีเหลืองมีเส้นทแยงสีขาว) มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นการอยู่อาศัย สถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และการสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ ห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอนุรักษ์เพื่อการอยู่อาศัย เช่น คลังน้ำมัน จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย คลังสินค้า สถานสงเคราะห์หรือรับเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

      2. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) – มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการอยู่อาศัยและการขยายตัวของที่อยู่อาศัยในย่านศูนย์กลางชุมชน ห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัย เช่น การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า คลังน้ำมัน โรงมหรสพ กำจัดมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูล โรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การเพาะเชื้อเห็ด กล้วยไม้ หรือถั่วงอก การฟักไข่โดยใช้ตู้อบ เป็นต้น

      3. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการค้า การบริการ และการอยู่อาศัยในระดับชุมชน ห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการอยู่อาศัย เช่น การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรมโรงฆ่าสัตว์โรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การทำเครื่องประดับโดยใช้เพชร พลอย ไข่มุก ทองคำ ทองขาว เงิน นาค หรืออัญมณี โรงงานซ่อมเครื่องมือไฟฟ้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับใช้ในงานหรือใช้ประจำตัว เป็นต้น

      4. ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่เกษตรกรรม การรักษาสภาพธรรมชาติของพื้นที่ชนบท และส่งเสริมเศรษฐกิจการเกษตร ห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อการทำเกษตรกรรม เช่น คลังน้ำมัน จัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม การซื้อขายหรือเก็บเศษวัสดุ โรงงานอุตสาหกรรมที่สามารถประกอบกิจการได้ เช่น การต้มนึ่ง หรืออบพืชหรือเมล็ดพืช การทำนมสด ให้ไร้เชื้อหรือฆ่าเชื้อ โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เป็นต้น

      5. ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ การอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 ให้มีที่ว่างตามแนวขนานริมเขตทางไม่น้อยว่า 6 เมตรและห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อสภาพแวดล้อม ได้แก่ สถานสงเคราะห์หรือรับเลี้ยงสัตว์ กำจัดมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูล ซื้อขายหรือเก็บเศษวัสดุ เป็นต้น

      6. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีเขียวอ่อน) มีวัตถุประสงค์เพื่อการสงวนรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของพื้นที่ สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการใด ๆ ให้ดำเนินการหรือประกอบกิจการได้ในอาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร และห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เป็นอุปสรรคต่อสภาพแวดล้อม ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า และการกำจัดมูลฝอยหรือสิ่งปฏิกูล

      7. ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา (สีเขียวมะกอก) มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนไว้สำหรับเป็นสถาบันการศึกษาหรือเกี่ยวข้องกับการศึกษา สถาบันราชการ หรือสาธารณประโยชน์ เช่น โรงเรียนพยัคฆภูมิพิสัย โรงเรียนพยัคฆภูมิพิสัยวิทยาคาร โรงเรียนบ้านดง โรงเรียนบ้านหนองแคน เป็นต้น

      8. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีฟ้า) มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำจืด หรือการประมงพื้นบ้านเท่านั้น เช่น สระบัว สระหว้า หนองอ่างเกลือ สระสี่เหลี่ยม หนองไผ่ เป็นต้น

      9. ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย (สีน้ำตาลอ่อน) มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมท้องถิ่นการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณคดีประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หรือสาธารณประโยชน์เท่านั้น ได้แก่ บริเวณคูเมืองโบราณบ้านเมืองเจีย บริเวณคูเมืองโบราณโนนตะคร้อ บริเวณคูเมืองโบราณบ้านเมืองแล้ง

      10. ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา (สีเทาอ่อน) – มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนไว้สำหรับการศาสนาหรือเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา สถาบันราชการหรือสาธารณประโยชน์ เช่น วัดทองนพคุณ วัดโพธิชัยนิมิตร วัดพยัคฆภูมิวนาราม ศาลหลักเมืองอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นต้น

      11. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (สีน้ำเงิน) – มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนไว้สำหรับเป็นสถาบันราชการเพื่อประโยชน์แก่กิจการของรัฐ กิจการเกี่ยวกับการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือสาธารณประโยชน์ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาพยัคภูมิพิสัย สถานีขนส่งอำเภอพยัคภูมิพิสัย สำนักงานเทศบาล ตำบลพยัคภูมิพิสัย โรงพยาบาลพยัคภูมิพิสัย เป็นต้น

    ประกาศผังเมืองรวมชุมชนโคกตูม จ.ลพบุรี

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนโคกตูม จังหวัดลพบุรี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

    นายคารม กล่าวว่า ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนโคกตูม จังหวัดลพบุรี พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมือง ในท้องที่ตำบลโคกตูม และตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี โดยเป็นผังพื้นที่เปิดใหม่ ซึ่งมีพื้นที่วางผังประมาณ 219 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 136,875 ไร่) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร การปกครอง การพาณิชยกรรมและการบริการในระดับตำบล การส่งเสริมและพัฒนาด้านที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนและระบบเศรษฐกิจในอนาคต โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 11 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท รวมทั้งกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว

    โดยกำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินออกเป็น 11 ประเภท ดังนี้

      1. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) เป็นพื้นที่ชุมชนหลัก มีวัตถุประสงค์เป็นที่อยู่อาศัยที่เบาบางที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี รวมทั้งรองรับการขยายตัวด้านการอยู่อาศัยในอนาคตที่มีการก่อสร้างอาคารอยู่อาศัย เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว โดยมีข้อจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่อาคารอยู่อาศัยหรือประกอบพาณิชยกรรมต้องไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่

      2. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) เป็นพื้นที่ชุมชนหลักบริเวณต่อเนื่องพื้นที่พาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก มีวัตถุประสงค์เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางในการรองรับการอยู่อาศัยที่ต่อเนื่องจากศูนย์กลางพาณิชยกรรม ซึ่งมีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกประเภท เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว อาคารชุด หอพักอาคารอยู่อาศัยรวม

      3. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) เป็นพื้นที่ศูนย์กลางพาณิชยกรรมของชุมชนโคกตูม มีวัตถุประสงค์เป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมและบริการของชุมชน เพื่อรองรับการประกอบกิจกรรมทางธุรกิจ การค้า การบริการที่ให้บริการประชาชน ประกอบด้วย ตลาด ร้านค้า โรงแรม รวมทั้งกำหนดให้เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากเพื่อรองรับการประกอบกิจการดังกล่าว

      4. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) มีวัตถุประสงค์เป็นพื้นที่ประกอบอุตสาหกรรมและคลังสินค้า และรองรับอุตสาหกรรมที่ได้รับประทานบัตรเหมืองแร่ และห้ามมิให้ใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย

      5. ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) มีวัตถุประสงค์เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เช่น การทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ การสงวนรักษาพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งห้ามมิให้ใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยหรือประกอบอุตสาหกรรม

      6. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีเขียวอ่อน) เป็นพื้นที่โล่งและพื้นที่ธรรมชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อสงวนไว้เป็นที่โล่งสำหรับนันทนาการ การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสาธารณประโยชน์เท่านั้น กรณีที่ดินซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายได้กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับพื้นที่ และมีข้อจำกัดเรื่องขนาดของอาคารต้องไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่

      7. ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา (สีเขียวมะกอก) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่สถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาตามการใช้ประโยชน์ที่ดินปัจจุบัน เช่น โรงเรียนเทศบาล 1 โรงเรียนโคกตูมวิทยา โรงเรียนพิบูลสงเคราะห์ 1

      8. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีฟ้า) มีวัตถุประสงค์เป็นพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว การประมง เช่น พื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยส้ม อ่างเก็บน้ำห้วยซับเหล็ก และอ่างเก็บน้ำซอย 5

      9. ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย (สีน้ำตาลอ่อน) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทยและสถาปัตยกรรมท้องถิ่น การอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณคดีประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ พิพิธภัณฑ์และสถานแห่งชาติ เช่น พลับพลาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

      10. ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา (สีเทาอ่อน) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่สถาบันศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันศาสนาตามการใช้ประโยชน์ที่ดินปัจจุบัน เช่น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม วัดโคกตูม วัดวงษ์เพชร

      11. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (สีน้ำเงิน) มีวัตถุประสงค์เพื่อการใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับ กิจการต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ชุมชนบ้านห้วยจันทร์ สำนักงานเทศบาลตำบลโคกตูม ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวลพบุรี

    กำหนดราคาอ้อย 9 เขต 1,404 บาท/ตัน – น้ำตาล 601 บาท

    นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย (ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ) ฤดูการผลิตปี 2566/2567 เป็นรายเขต 9 เขต ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยมีอัตราเฉลี่ยทั่วประเทศ ดังนี้

      1. ราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ในอัตรา 1,404.17 บาทต่อต้นอ้อย ที่ระดับคุณภาพความหวาน 10 ซี.ซี.เอส.
      2. อัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อย เท่ากับ 84.25 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.
      3. ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย เท่ากับ 601.79 บาทต่อต้นอ้อย

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 มีเขตคำนวณราคาอ้อยที่มีราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นฯ จำนวน 4 เขต คือ 2 3 4 และ 6 จึงต้องมีการชดเชยค่าส่วนต่าง ดังนั้น กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จึงเห็นว่า การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตราตันละศูนย์บาททุกเขต คำนวณราคาอ้อยเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ก็สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องคำนึงถึงสถานะการบริหารจัดการกองทุนฯ ด้วย

    ทั้งนี้ อก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาแนวทาง และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยในเขตที่มีราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ต่ำกว่าเขตอื่น รวมทั้งยกระดับมาตรการลดการเผาอ้อยทั้งในรูปแบบการสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยี การกำหนดมาตรการจูงใจอย่างต่อเนื่อง และการดำเนินมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบเผาอ้อยอย่างเคร่งครัด ตลอดจนพัฒนาด้านเครื่องจักรกลการเกษตรที่ทันสมัย เข้าถึงง่าย

    อนึ่ง ซี.ซี.เอส. [Commercial Cane Sugar (CCS)] เป็นระบบการคิดคุณภาพของอ้อย โดยคำว่า ซี.ซี.เอส. หมายถึง ปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อย ซึ่งสามารถหีบสกัดออกมาได้เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์

    กำหนด มอก.อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อน

    นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไป

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารดร้อนฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อนตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1390 – 2560 ตามกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อนต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2563 โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานเดิม และกำหนดมาตรฐานใหม่ให้เป็นไป ตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 1390 – 2566 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อน พ.ศ. 2567 เนื่องจากเอกสารที่ใช้อ้างอิง มีการแก้ไขปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ โดยมีขอบข่ายและรายละเอียดข้อกำหนดอันเป็นสาระสำคัญต่าง ๆ ประกอบกับปัจจุบันการใช้งานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อน ยังไม่ครอบคลุม ถึงเหล็กรูปตัวแซด (Z shape) ที่มีมุมระหว่างด้านไม่เป็นมุมฉาก ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องการออกแบบในการรับแรงของโครงสร้างที่ดียิ่งขึ้น และยังสามารถย่นระยะเวลาในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จยิ่งขึ้น จึงได้แก้ไขปรับปรุงเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งานได้ตรงกับความต้องการ ทั้งนี้ ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อน จะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อนจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน

    โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

    อนุมัติร่างแสดงเจตจำนงร่วมจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน ‘ไทย-เยอรมนี’

    นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงร่วมในการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน ระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ

    โดยคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงร่วมในการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน ระหว่าง กระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Joint Declaration of intent on the Establishment of an Energy Dialogue between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Federal Ministry for Economic Affairs and Climate Action of the Federal Republic of Germany: Jools) (ร่างแถลงการณ์ฯ) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในแถลงการณ์ฯ ซึ่งจะมีการลงนามแถลงการณ์ฯ ในห้วงการประชุม Berlin Energy Transition Dialogue 2025ระหว่างวันที่ 18 – 19 มีนาคม 2568 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธาธารณรัฐ เยอรมนี

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า กระทรวงเศรษฐกิจฯ เยอรมนี มีความร่วมมือทวิภาคีด้านพลังงานร่วมกับกระทรวงพลังงานของไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนงาน Thailand and Germany Energy Dialogue ร่วมกันตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งการลงนามในแถลงการณ์ฯ จะช่วยผลักดันให้การดำเนินกิจกรรม/โครงการความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม เสริมสร้างเวทีหารือด้านการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ ภายใต้หลักการผลประโยชน์ร่วมความเท่าเทียม และการต่างตอบแทน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเป้าหมาย ในการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคการผลิตพลังงาน และภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับภาคธุรกิจ และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน

    รับทราบมติที่ประชุม คกก.นโยบายยางฯครั้งที่ 2/2567

    นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบสรุปมติประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ ดังนี้

      (1) เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรเพื่อรักษาสเถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง (โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ) จากเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และเห็นชอบขยายระยะเวลาชำระเงินกู้โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไปตามระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ ตามระยะเวลาการขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 (Fixed Deposit Receipt คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา เฉลี่ย 7 วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง ใช้คำควณต้นทุนเงินที่รัฐจต้องชดเชยให้ ธ.ก.ส. ) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 ทั้งนี้ ค่าเช่าโกดัง ค่าประกันสต็อกยาง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2568 วงเงิน 51.034 ล้านบาท โดยใช้จ่ายเงินจากกองทุนพัฒนายางพาราซึ่งอยู่ภายใต้ กยท.

      (2) เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนิน โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ออกไปอีก 4 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 ถึง 31 มีนาคม 2571 โดยมีค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน 1,400 ล้านบาท

      (3) เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนิน โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา ภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ออกไปอีก 10 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2567 เป็นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2567 ถึง 31 สิงหาคม 2577

      (4) ทิศทางการพัฒนายางพาราของประเทศไทย มอบหมาย กยท. ดำเนินการศึกษาตลอดห่วงโซ่อุปทานยางพาราตั้งการผลิต การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่ายางพารา และการส่งออกไปต่างประเทศ โดยผลการศึกษาต้องมีความชัดเจนในเรื่องของทิศทางแนวโน้ม ปริมาณผลผลิตยางพาราของไทย และความต้องการใช้ยางพาราในประเทศและต่างประเทศ เงื่อนไขกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ รวมถึงปริมาณการใช้ยางสังเคราะห์ซึ่งผลจากากรศึกษาจะใช้ประกอบการวิเคราะห์เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนายางพาราของประเทศไทย

    ขยายเวลาสร้างชลประทานขนาดใหญ่ 4 โครงการ 18,199 ล้าน

    นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 4 โครงการ ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้

      (1) โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จากเดิม 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2566) เป็น 10 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน 5,000 ล้านบาท

      (2) โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช จากเดิม 6 ปี (ปีงประมาณ พ.ศ. 2561-2566) เป็น 10 ปี (ปึงบประมาณ พ.ศ. 2561-2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน 9,850 ล้านบาท

      (3) โครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อพร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดสกลนคร จากเดิม 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566) เป็น 9 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมจำนวน 1,249 ล้านบาท

      (4) โครงการประตูระบายน้ำล้ำน้ำพุง – น้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร จากเดิม 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566) เป็น 9 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน 2,100 ล้านบาท

    ทั้งนี้ การขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ทั้ง 4 โครงการ ดังข้างต้น เนื่องจากการดำเนินโครงการประสบปัญหาและอุปสรรค เช่น ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ส่งผลให้ผู้รับจ้างประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร – เครื่องมือไม่เพียงพอและไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้ การจัดหาที่ดินมีความล่าช้าเนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินบางส่วนไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนดและไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมทั้งมีการปรับปรุงแก้ไขแบบก่อสร้างเพิ่มเติมให้ลอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศละการใช้ประโยชน์ที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและลดผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น

    ตั้ง ‘ยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา’ นั่งอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

    นายอนุกุล กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้

    1. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

      1. นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม
      2. นางรักชนก โคจรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

    2. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้ง นายเสรี นนทสูติ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย แทน ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว

    3. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่น (ผู้ทรงคุณวุฒิ) ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งนางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ เป็นกรรมการอื่น (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย) ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แทนกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

    4. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน (กระทรวงคมนาคม)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายธนันท์วรุตม์ ลิ้มทรงพรต เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว

    5. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กระทรวงยุติธรรม)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ จำนวน 3 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากลาออกและดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้

      1. นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ (ด้านอาชญาวิทยา)
      2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธานี ชัยวัฒน์ (ด้านเศรษฐศาสตร์ และกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง)
      3. พลตำรวจตรี สมชาติ สว่างเนตร (ด้านการบริหารงานยุติธรรม)

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

    6. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม แทนกรรมการอื่นที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (กระทรวงสาธารณสุข)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมมีจำนวนกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคนแต่ไม่เกินสิบห้าคน (นับรวมประธานกรรมการ กรรมการอื่นที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง และผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง) ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ. 2509 และมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม จำนวน 2 คน แทนกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก ดังนี้

      1. รองศาสตราจารย์อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ แทน นายสุรโชค ต่างวิวัฒน์
      2. นายสมศักดิ์ อนันทวัฒน์ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) แทน นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน

    7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้

      1. นางสิริพรรณ แสงอรุณ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มพัฒนาระบบคุณภาพ สำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (มาตรฐานห้องปฏิบัติการ) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2567

      2. นายปัญจพล แก้วอุบล นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลตรัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) โรงพยาบาลตรัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2567

      3. นายสมบูรณ์ อภิชัยยิ่งยอด นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงาน อายุรกรรม โรงพยาบาลราชบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดราชบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลราชบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดราชบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2567

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

    อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 11 มีนาคม 2568 เพิ่มเติม