นายกฯปัดตีตัวออกห่าง ‘ทักษิณ’ ย้ำทำแต่งาน-ลงพื้นที่ตลอด สั่ง ‘พณ.- สรรพากร’ ขึ้นทะเบียนแอปฯจีน แจงปม ‘พิธา’ พบทูต 18 ปท. ย้ำตุลาการไทยก้าวก่ายไม่ได้ มองหุ้นร่วงเกิดจากความกังวล ศก.มะกันถดถอย มติ ครม.ทุ่ม 433 ล้าน สร้างแพลตฟอร์มดึงต่างชาติชม “มหกรรม เสน่ห์ไทย” 5 จว. โอนเงิน 7,242 ล้าน ใช้หนี้ FIDF ปูนบำเหน็จ จนท.ปราบยาเสพติดปี’67 ไม่เกิน 13,047 อัตรา ขยายเวลาออก กม.ลูกควบคุม ‘พืชกระท่อม’อีก 1 ปี จัด ครม.สัญจร ‘อยุธยา’ ตรวจภาคกลางตอนบน 19-20 นี้ ตั้ง ‘อรรษิษฐ์’ นั่งปลัด มท.- ‘ทวีพงษ์’ เป็นผู้ว่า กคช.อีกวาระ
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
ตัดหนี้สูญสหกรณ์ประมงเกาะลันตา 5.93 ล้าน
นายเศรษฐา รายงานว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ขอจำหน่ายหนี้ศูนย์ ตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ด้วยการจำหน่ายหนี้สูญในกองทุน หรือ เงินทุนในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของสหกรณ์ประมงเกาะลันตา 5.93 ล้านบาท เนื่องจากต้นปี 2539 ได้เกิดโรคระบาดในกุ้งอย่างรุนแรง โรคที่ทำให้กุ้งตายทั้งบ่อ สหกรณ์จึงไม่มีเงินมาชำระหนี้
จัด 7 โครงการ 170 ล้าน ลงพื้นที่ราชบุรี – กาฬสินธุ์
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในจังหวัดกาฬสินธุ์และราชบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ 7 โครงการ วงเงิน 170.92 ล้านบาท เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความปลอดภัยรองรับนักท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อพื้นที่ชลประทานให้สามารถนำน้ำไปใช้ประโยชน์ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สั่ง ททท.มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวช่วง low season
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาศัยกลไกการท่องเที่ยวช่วง low season ดังนั้น จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว ก่อนถึงช่วง high season ในเดือนพฤศจิกายน 2567
“เราไม่ใช้คำว่าเมืองรองนะครับ เราใช้คำว่าเมืองน่าเที่ยว” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา รายงานว่า ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบมาตรการและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เสนอการกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน หรือ quick win โดยใช้งบกลางจำนวน 433.199 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการท่องเที่ยวในแพลตฟอร์มออนไลน์ และโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมและมหกรรมเสน่ห์ไทย ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ
“ตอนนี้เราอยู่ในช่วง low season แล้ว เพราะฉะนั้นการจะจัดการเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เราก็ต้องสั่งการให้ รมว. ท่องเที่ยว และผู้ว่า ททท. เร่งดำเนินการโครงการต่างๆ ก่อนจะถึงไฮซีซั่น” นายเศรษฐา กล่าว
ปูนบำเหน็จ จนท.ปราบยาเสพติด 13,047 อัตรา 85 ล้าน
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการด้านยาเสพติดทั่วประเทศจากหน่วยงานต่างๆ ปีงบประมาณ 2567 ไม่เกิน 13,047 อัตรา โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 85.7 ล้านบาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ทุ่มเทและเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานมีแรงจูงใจและตั้งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่
“เรื่องนี้สอดคล้องกับวาระแห่งชาติที่เราจะจัดการปัญหายาเสพติด” นายเศรษฐา กล่าว
ไฟเขียว คค.จัดสิ่งอำนวยความสะดวกดูแลคนพิการ
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือ การจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก หรือ บริการในแอร์กราวด์ (พนักงานบริการภาคพื้นประจำสนามบิน หรือ พนักงานต้อนรับภาคพื้นดิน) ในสถานที่ยานพาหนะและบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เช่น การเพิ่มสัญญาณเสียงและสัญญาณไฟในสถานีขนส่ง การปรับปรุงลักษณะอุปกรณ์ในการเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวก
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ตนได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมไป ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดระยะเวลาที่จะเสร็จสิ้นโครงการต่างๆ ในทุกมิติของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางน้ำ ทางบกหรือทางราง ด
และสั่งการให้นายวราวุฒิ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นคนกำกับดูแลว่าให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด
ผ่านแผนผลิตพยาบาล 10 ปี
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านการสาธารณสุขในภาพรวมระยะเวลา 10 ปี เพื่อเป็นการเร่งเผลิตและพัฒนากำลังคนให้เพียงพอต่อการดูแลด้านสาธารณสุข ทั้งพยาบาลและหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ และเพิ่มกำลังผลิตผู้ช่วยพยาบาล เพิ่มค่าตอบแทนและเพิ่มตำแหน่งข้าราชการและอัตราที่เหมาะสม
จัด ครม.สัญจรอยุธยา 19 – 20 ส.ค.นี้
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 5/2567 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และติดตามการตรวจราชการกลุ่มภาคกลางตอนบน จังหวัดชัยนาท อยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี และอ่างทอง ระหว่างวันที่ 19 – 20 สิงหาคม 2567
แจงปม ‘พิธา’ พบทูต 18 ปท. ย้ำตุลาการไทยก้าวก่ายไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หารือกับทูต 18 ประเทศถึงคดียุบพรรคก้าวไกล จนหลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย โดย นายเศรษฐา ตอบว่า “ก่อนอื่นนะครับ ผมไม่ทราบว่ามีการคุยเรื่องนี้หรือเปล่า เพราะมีการพบกัน แต่ไม่ทราบเนื้อหาในการคุยมีเรื่องอะไรบ้าง”
“เรื่องกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ผมว่าในประเทศทั้ง 18 ประเทศ เรื่องระบบยุติธรรมกับระบบการบริหาร ก็แยกชัดเจน ฝ่ายบริหารก็ไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายกับกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยก็เป็นกลางและเป็นสากล และได้รับการยอมรับจากทุกๆ ฝ่ายอยู่แล้ว” นายเศรษฐา กล่าว
“ผมก็พูดแทนท่านอื่นไม่ได้ แต่ส่วนผมเองมีความเคารพในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ท่านผู้สื่อข่าวคงทราบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของผมเอง ซึ่งผมเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน แต่ถ้ามีประเด็น มีผู้ร้องเรียน ก็เป็นหน้าที่เราที่เราต้องแจ้งไปที่ระบบยุติธรรม และคอยการตัดสิน” นายเศรษฐา กล่าว
“อย่างผมเอง อาทิตย์ที่แล้วก็เรียบร้อยแล้ว คอยคำตัดสินของศาลในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ผมไม่ได้มีการไปคุยอะไรทั้งสิ้น ประเทศเราเป็นเอกราช เราต้องให้เกียรติ ผมไม่ทราบว่ารายละเอียดการพูดคุยสนทนาเป็นเรื่องอะไรบ้าง” นายเศรษฐา กล่าว
ถามต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) แต่เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วมีข้อความที่ ‘ค่อนข้างรุนแรง’ นายเศรษฐา ตอบว่า “มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน ในเรื่องกระทรวงการต่างประเทศก็มีการชี้แจงกับ UN การแปลผมว่าต้องให้กระทรวงต่างประเทศมาชี้แจงดีกว่าว่าแปลว่าอะไร แต่จุดยืนของเรา เราไม่ก้าวก่ายตุลาการอยู่แล้ว และเราก็ไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายของเราอยู่แล้ว ชัดเจน ผมเชื่อว่าเดี๋ยวกระทรวงต่างประเทศจะแถลง”
เมื่อถามว่า วันพรุ่งนี้ (7 ส.ค. 67) จะมีการตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล นายกฯ ได้พูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ส่วนตัวผมไม่มี ผมมั่นใจว่าทุกคนตั้งอยู่บนความสงบ และยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว เราก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วยจริงๆ แล้ว”
ปัดตีตัวออกห่าง ‘ทักษิณ’ ย้ำทำแต่งาน-ลงพื้นที่ตลอด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า วิพากษ์วิจารณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรมศพมารดาของนายเศรษฐา ทวีสิน โดย นายเศรษฐา ตอบว่า “ท่านไปเป็นการส่วนตัว ผมไปก็พบปะกับท่านในหลายโอกาส คุณแม่ผมเสียไป ท่านก็มาให้กำลังใจ ท่านเองก็เจอบุคคลที่ท่านคุ้นเคยสมัยท่านเป็นนายกฯมา 8 ปี ผมว่าทุกท่านเองน่าจะมีข้อคิดเห็นก็แต่ละคนได้เองอยู่แล้ว”
ถามต่อว่า แม้นายกฯ จะบอกว่ารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย แต่ดูเหมือนนายกฯ จะรับฟัง พล.อ.ประยุทธ์ กับนายทักษิณ ชินวัตร มากกว่า จะมีการบาลานซ์สองคนนี้อย่างไร ทำให้นายเศรษฐา ตอบทันทีว่า “ไม่จริงครับ ผมเจอท่านอานันท์ ปันยารชุน ผมก็รับฟัง และผมไม่ได้รับฟังแค่นายกฯ อย่างเดียว รองนายกฯ หรืออดีตรัฐมนตรีต่างๆ ผมก็เจอ คุณกรณ์ จาติกวณิช ผมก็เจอ และมีการพูดคุยตลอดเวลา แล้วแต่โอกาสมากกว่า”
ถามต่อว่า นายกฯ ตีตัวออกห่างนายทักษิณหรือไม่ในระยะหลัง นายเศรษฐา ตอบว่า “ผมไม่ได้ตีตัวออกห่างใครทั้งนั้น ผมทำงานอย่างเดียว แต่ถ้าการทำงานไม่สามารถทำให้ไปพบบางท่านได้ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงเข้าใจว่าผมมีหน้าที่สถานะนายกรัฐมนตรีที่เราต้องทำงานอยู่แล้ว ผมก็ลงพื้นที่ตลอด วันเสาร์ท่านก็เห็นผมยังทำงานอยู่”
มองหุ้นร่วงเกิดจากความกังวล ศก.มะกันถดถอย
เมื่อถามว่า เดือนสิงหาคมนี้ มีหลายเรื่องเกี่ยวกับทางการเมือง ได้เช็คกระแสนักลงทุนหรือความเชื่อมั่นในการลงทุนหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ไม่ได้มีการเช็คกระแสอะไรทั้งสิ้นเลย เพราะปัญหาของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่ ผมเองก็ใช้เวลาส่วนมากเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เพื่อแก้ไขปัญหาอยู่ ส่วนกระแสจะออกมายังไงก็แล้วแต่”
“แต่อย่างที่ท่านพูดถูก ว่าเดือนสิงหาคมมี ‘อีเวนต์’ ต่างๆ อยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพรุ่งนี้ (7 ส.ค. 67-ตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล) หรือวันที่ 14 ส.ค. (ตัดสินคดี 40 สว. ยื่นถอดถอนนายกฯ) เองก็ตามที แน่นอนก็เป็นธรรมดาที่จะมีความกังวล” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา ยังตอบคำถามเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่กำลังเข้าสู่ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และรัฐบาลได้มีการติดตามอย่างไรว่า “ก็ดูอยู่ เมื่อเช้าก็เช็กตลาดหุ้นก็เด้งขึ้นมาหน่อย ผมเชื่อว่าน่าจะดูแลได้”
“ส่วนของตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ตกมากเป็นประวัติศาสตร์วันนี้ก็ขึ้นมาแล้ว 10% คงเป็น ‘Panic Sell’ หรือ ความกังวลมากกว่า และผมเชื่อว่าสหรัฐเองก็มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว”
สั่ง ‘พณ.- สรรพากร’ ขึ้นทะเบียนแอปฯจีน
สุดท้าย ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่แอปพลิเคชันจีนเข้ามาตีตลาดประเทศไทย จะมีการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศอย่างไร โดย นายเศรษฐา ตอบว่า “ก็สั่งการกระทรวงพาณิชย์และกรมสรรพากรไปแล้ว ให้ดูในแง่การจดทะเบียนต่างๆ ให้เรียบร้อย”
มติ ครม.มีดังนี้
ทุ่ม 433 ล้าน สร้างแพลตฟอร์มดึงต่างชาติชม “มหกรรม เสน่ห์ไทย” 5 จว.
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน (Quick Win) และอนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการจำนวน 2 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน 433,199,300 บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เพื่อดำเนินการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเพิ่มเติม และเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศไทยตามวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของนายกรัฐมนตรี และนโยบาย Ignite Tourism Thailand ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค ได้แก่ การสร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกย่างก้าว การนำเสนอสินค้าการท่องเที่ยว 5 Must Do in Thailand การเชื่อมโยงและส่งเสริมเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว การผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค (ASEAN Tourism Hub) และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับนานาชาติ (World Class Event Hub) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดทำมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน (Quick Win) เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2567 จำนวน 9 โครงการดังนี้
-
1. โครงการการทำตลาดการท่องเที่ยวแพลตฟอร์มออนไลน์
2. โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges
3. โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมบนอัตลักษณ์ถิ่น “มหกรรมเสน่ห์ไทย”
4. โครงการ Amazing Thailand 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว
5. โครงการ Amazing Thailand Passion Ambassador
6. โครงการเที่ยวกับบัสทัวร์ทั่วไทย 2567
7. โครงการ ททท. 999 ไทยเที่ยวไทย Tourism Department Store งานไทยเที่ยวไทย
8. โครงการ Amazing Green Fest 2024
9. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว)
เนื่องจาก ททท. ไม่ได้มีงบประมาณตามแผนที่จะดำเนินการและมีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมการดำเนินโครงการทั้งหมดตามมาตรการดังกล่าว จึงจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเร่งด่วน (Quick Win) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมบนอัตลักษณ์ถิ่น “มหกรรมเสน่ห์ไทย” และ (2) โครงการการทำตลาดการท่องเที่ยวแพลตฟอร์มออนไลน์ วงเงินรวมทั้งสิ้น 605,000,000 บาท
สำนักงบประมาณแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอเพื่อให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. ดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน (Quick Win) โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 433,199,300 บาท ประกอบด้วย
-
1. โครงการการทำตลาดการท่องเที่ยวแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นเงิน 280,000,000 บาท
2. โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดด้วยการจัดกิจกรรมบนอัตลักษณ์ถิ่น “มหกรรม เสน่ห์ไทย” เป็นเงิน 153,119,300 บาท (5 กิจกรรม) ได้แก่ (1) งานมหกรรมเสน่ห์ไทย@เชียงใหม่ : Chiang Mai Art and Music Festival (2) งานมหกรรมสายน้ำแห่งกาญจน์เวลา (The River of Time) (3) เทศกาลดนตรี Chonburi International Music Festival in Rain (4) งานเสน่ห์เมืองนคร: Khanom Mindfulness Territory และ (5) งานเสน่ห์อีสานม่วนซื่น ณ ขอนแก่น รวมทั้งสิ้น 433,199,300 บาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน (Quick Win) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2567 โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 350,000 คน และนักท่องเที่ยวที่ร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นทั้ง 5 ภูมิภาคมากกว่า 250,000 คนจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน (Quick Win)
โอนเงิน 7,242 ล้าน ใช้หนี้ FIDF
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มเติมจำนวน 7,242 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลให้มีเงินนําส่งจากกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมฯ เพื่อชําระต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 ในปีงบประมาณ 2567 รวมจำนวนทั้งสิ้น 9,242 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ในคราวการประชุมคณะกรรมการจัดการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 คณะกรรมการจัดการกองทุนฯ เห็นควรให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา อนุมัติให้โอนเงินที่กองทุนฯ จะได้รับเงินปันผลจากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) เพื่อชําระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3 สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพิ่มเติมทั้งจำนวน ซึ่งต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2567 กองทุนฯ ได้รับเงินปันผล รวมจำนวน 7,242 ล้านบาท จึงได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณานําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กองทุนฯ โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติม
2. ยอดหนี้ต้นเงินกู้ ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
จ่ายเงินสมทบกองทุน ‘AHA Centre’ 3.3 ล้าน
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน AHA Centre ในปี 2567-2568 เป็นจำนวน 90,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 3.3 ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ประเทศไทยลงนามในความตกลง AADMER ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ได้มีการจัดตั้ง AHA Centre โดยเป็นการดำเนินการตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในการจัดการภัยพิบัติ (Agreement on the Establishment of the Coordinating Centre for Humanitarian Assistance on Disaster Management : AHA Centre Agreement) (ความตกลง AHA Centre) ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในที่ประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียน ครั้งที่ 19 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย
2. AHA Centre มีหนังสือแจ้งขอรับการสนับสนุนจากประเทศไทย ในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน AHA Centre พ.ศ. 2567-2568 โดยคงอัตราเดิม คือ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเป็นไปตามการหารือในการประชุมคณะกรรมการบริหารของ AHA Centre ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ณ เวียดนาม
นายคารม กล่าวว่า การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน AHA Centre เป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติของอาเซียนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยนําไปสู่ความสำเร็จในการเป็นประชาคมอาเซียนและการบรรลุวิสัยทัศน์ One ASEAN, One Response โดยที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของ AHA Centre ปรากฏผลเป็นรูปธรรมในการเป็นหน่วยอํานวยความสะดวกและสนับสนุนทางวิชาการในการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกและหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนงานความตกลง AADMER เช่น การรับ – ส่งข้อมูลในการให้และรับความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างประเทศสมาชิก และหน่วยงานระหว่างประเทศในสถานการณ์ภัยพิบัติ การจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์จากคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียนไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศสมาชิก
คุมเข้มผู้ผลิต – นำเข้า ‘เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี’ ต้องมี มอก.
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีทางไฟฟ้าต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีไฟฟ้า เนื่องจากปัจจุบัน มีการใช้เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีทางไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย โดยเอกสารที่ใช้อ้างอิงมีการแก้ไขปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการและการใช้งานในปัจจุบัน สรุปร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบน เคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีทางไฟฟ้าต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2223-2565 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2275 (พ.ศ. 2566) ออกตามความในพระราชบัญญัติ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าคาร์บอนทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีไฟฟ้า คุณภาพทางการค้าและคุณภาพสำหรับการขึ้นรูป และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีทางไฟฟ้า ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2566 และ 2. กำหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
“กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีทางไฟฟ้า มีความครอบคลุมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนและรีดเย็นเคลือบสังกะสีด้านเดียว หรือทั้งสองด้านโดยกรรมวิธีทางไฟฟ้า ซึ่งทั่วไปใช้ทำเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ฯลฯ โดยได้นําเหล็กกล้าทรงแบนไปเคลือบด้วยสารที่มีองค์ประกอบหลักเป็นสังกะสี เพื่อเป็นการปรับปรุง คุณสมบัติการป้องกันสนิม เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย จึงต้องมีการควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการ ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นการป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ กิจการอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ผู้ทำ ผู้นําเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีทางไฟฟ้า จะต้องขอรับใบอนุญาตทำ หรือ นําเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวตามมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 และผู้จําหน่าย ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับอนุญาต และเป็นไปตามมาตรฐาน” นายคารม กล่าว
กำหนด ‘ไม้พะยูง’ เป็นของต้องห้าม – ส่งออกต้องมีใบรับรอง
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อนไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อได้
สาระสำคัญ เป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2566 เพื่อยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกสิ่งประดิษฐ์ของไม้ (ที่ไม่ใช่ไม้พะยูง) ไปนอกราชอาณาจักร ลดภาระและอำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพของประชาชน สรุปได้ดังนี้
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับปรุงประกาศดังกล่าวด้วยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรยังคงตรวจสอบสินค้าที่จะส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามระเบียบข้อกำหนด และเงื่อนไขตามกฎหมายการปฏิบัติพิธีการศุลกากรเพื่อส่งออกประเทศปลายทาง นอกจากนี้ หากผู้ประกอบการค้าไม้มีความประสงค์จะขอหนังสือรับรองเพื่อการค้าหรือส่งออกสินค้าไปนอกราชอาณาจักร ตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง สามารถยื่นคำขอต่อกรมป่าไม้ในการออกหนังสือรับรองได้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
ผ่าน กม.ควบคุมผู้ผลิต – นำเข้า ‘ลวดชุบแข็ง’ ต้องมี มอก.
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลวดชุบแข็งและอบคืนตัวสำหรับคอนกรีต อัดแรงต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ โดยเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลวดชุบแข็ง และอบคืนตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรงต้องเป็นไปตามมาตรฐาน โดยเป็นการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับขึ้นใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลวดชุบแข็ง และอบคืนตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรงอย่างแพร่หลาย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์กล่าวมีคุณภาพ และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมประเภทนี้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลวดชุบแข็งและอบคืบตัว สำหรับคอนกรีตอัดแรงต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3286 – 2564 ตามประกาศ กระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 6991 (พ.ศ. 2566) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลวดชุบแข็ง และอบกับตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรง ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 และ 2. กำหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
“การกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลวดชุบแข็ง และอบคืบตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรง ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3286 – 2564 เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ ดังกล่าวมีคุณภาพดี และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมประเภทนี้ รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ทำ หรือ ผู้นําเข้า ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะต้องได้รับใบอนุญาตทำ หรือ นําเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าว ตามมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 และผู้จําหน่ายจะต้องจําหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวที่ได้รับใบอนุญาต และเป็นไปตามมาตรฐาน” นายคารม กล่าว
ผ่านร่าง พ.ร.บ. 4 ฉบับ เวนคืนที่ดินค้างท่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการตามที่ กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ….
2. ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ….
3. ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ….
4. ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางชื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …..
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับ สรุปได้ดังนี้
-
1. ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายในระยะเวลา 4 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
2. ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. … มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ภาระในอสังหาริมทรัพย์มีการแสดงสิทธิในที่ดินให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายต้องยอมรับภาระว่าไม่สามารถใช้สอยอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ตามปกติ แต่ไม่ได้สร้างภาระจนถึงขนาดที่ รฟม. จะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น
3. ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. … มีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางชื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ภายในระยะเวลา 4 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
4. ร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางชื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. … มีสาระสำคัญเป็นกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ภาระในอสังหาริมทรัพย์มีการแสดงสิทธิในที่ดินให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายต้องยอมรับภาระว่าไม่สามารถใช้สอยอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ ตามปกติแต่ไม่ได้สร้างภาระจนถึงขนาด ที่ รฟม. จะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น
โดยร่างพระราชบัญญัติรวม 4 ฉบับ สืบเนื่องจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการจัดการกรรมสิทธิที่ดินในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ แบ่งออกเป็น 2 กรณี
-
(1) กรณีเวนคืนเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายในระยะเวลา 4 ปี ทั้งนี้ แม้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้ส่งมอบที่ดินที่ถูกเขตทางทั้งหมดในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล เพื่อใช้ในการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว แต่มีเจ้าของที่ดินช่วงหัวลำโพง – บางแคฯ จำนวน 23 แปลง (จาก 374 แปลง) และช่วงบางชื่อ – ท่าพระฯ จำนวน 24 แปลง (จาก 298 แปลง) ไม่ตกลงซื้อขายการรถไฟฟ้ามวลชนแห่งประเทศไทย จึงวางเงินทดแทนให้กับเจ้าของที่ดินดังกล่าว แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดิน ยังเป็นของเจ้าของที่ดิน โดยจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฟ้ามวลชนแห่งประเทศไทย ก็ต่อเมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และพระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ การรถไฟฟ้ามวลชนแห่งประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 รวม 2 ฉบับ เพื่อให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของการรถไฟฟ้ามวลชนแห่งประเทศไทยโดยเร็วต่อไป
(2) กรณีกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ภาระในอสังหาริมทรัพย์มีการแสดงสิทธิ์ในที่ดินให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายต้องยอมรับภาระว่า ไม่สามารถใช้สอยอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ตามปกติ แต่ไม่ได้สร้างภาระจนถึงขนาดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น เช่น ทางวิ่งรถไฟฟ้าในอุโมงค์ (ใต้ดิน) ทางวิ่งของรถไฟฟ้าพาดผ่านบริเวณเหนือที่ดิน เป็นต้น ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยยังไม่ได้จดทะเบียนกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์ ในโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร และช่วงบางชื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย และเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกำหนดลักษณะภาระนั้นจะตกอยู่ภายใต้ภาระอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ แม้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้วางเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินดังกล่าว แต่เจ้าของที่ดินไม่มาตกลงทำสัญญากำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์ ช่วงหัวลำโพง – บางแคฯ จำนวน 114 แปลง (จาก 329 แปลง) และช่วงบางชื่อ – ท่าพระฯ จำนวน 37 แปลง (จาก 170 แปลง) ดังนั้น เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกกำหนดลักษณะภาระนั้นจะตกอยู่ภายใต้ภาระอสังหาริมทรัพย์ ก็ต่อเมื่อได้มีตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนและพระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ การรถไฟฟ้ามวลชนแห่งประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 รวม 2 ฉบับ เพื่อกำหนดภาระอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ภายใต้ภาระอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกิจการขนส่งมวลชนในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล
โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่เสนอในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามมาตรา 28 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเวนคืนและการได้มาอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 และมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเร่งเจรจากับเจ้าของที่ดินได้ประโยชน์ในการดำเนินกิจการรถไฟฟ้าดังกล่าว ให้ได้ยุติภายในกรอบระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต่อไป
เพิ่มความเร็วรถบนทางด่วน ‘ดอนเมืองโทลล์เวย์’
นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. …. ตามที่ กระทรวงการคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทานหมายเลข 31 สายทางยกระดับดินแดง – อนุสรณ์สถาน ตามประเภทของยานพาหนะ ดังนี้
-
1.1 รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือรถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบัน ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
1.2 รถขณะที่ลากจูงรถอื่น หรือรถยนต์สี่ล้อเล็ก ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบันใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
1.3 รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียน ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบัน ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
1.4 รถอื่นนอกจากข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.3 ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบันใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
2. กำหนดให้รถที่อยู่ในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เว้นแต่กรณีช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น (ปัจจุบัน ไม่มีกำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564)
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบในหลักการ โดยสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นเพิ่มเติมบางประการว่า กรมทางหลวงควรประสานผู้ได้รับสัมปทานจัดให้มีเครื่องหมายจราจรการติดตั้งป้ายสัญญาณเตือนในเส้นทางช่วงที่กำหนดความเร็ว ตามร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทานพ.ศ. …. และกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยควรติดตามและประเมินผลการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564 ในส่วนของเส้นทางนำร่องด้วย
ผ่าน กม.ให้สถานีขนส่งสาธารณะจัดสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการ
นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. …. ตามที่ กระทรวงการคมนาคม (คค.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวง ฯ เป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่งเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2556 ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 และสภาพการณ์ในปัจจุบัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
-
1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2556
2. กำหนดบทนิยามเพิ่มเติมจากกฎกระทรวงเดิม ได้แก่ “ท่าเทียบเรือ” “เรือโดยสาร” “บริการขนส่ง” และ “พื้นที่หลบภัย”
3. กำหนดให้การจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับคนพิการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
4. กำหนดให้ยานพาหนะ เช่น รถไฟตามกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟ และทางหลวง รถไฟฟ้ากฎหมายว่าด้วยการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอากาศยานขนส่งตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ฯลฯ ต้องจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการ เพื่อให้การบริการที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงและการปฏิบัติ
5. กำหนดให้รถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารประเภทการขนส่งประจำทางและไม่ประจำทาง ให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการ เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เช่น ประตูรถ อุปกรณ์นำพาคนพิการหรืออุปกรณ์ยกรถเข็นคนพิการขึ้นและลงจากรถ โดยลักษณะของอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการให้เป็นไปตามรายการอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารที่กำหนดในบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้
6. กำหนดให้รถไฟตามกฎหมายว่าด้วยการจัดวางการรถไฟและทางหลวง ให้มีห้องส้วมและห้องนอนสำหรับคนพิการ ที่นั่งสำหรับคนพิการ การประกาศแจ้งชื่อสถานีถัดไป สัญญาณเสียง สัญญาณไฟ
7. กำหนดให้เรือโดยสารตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย ให้มีห้องนอนสำหรับคนพิการสำหรับเรือโดยสารที่มีห้องนอน บันได ที่นั่งสำหรับคนพิการ เจ้าหน้าที่ประจำเรือซึ่งผ่านการฝึกอบรมและมีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของคนพิการแต่ละประเภทอย่างน้อยหนึ่งคนเพื่อให้บริการในการขึ้นและลงเรือ
8. กำหนดให้สถานีขนส่งผู้โดยสาร สถานีรถไฟและสถานีรถไฟฟ้าท่าเทียบเรือและท่าอากาศยาน ให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ เช่น ประตู พื้นผิวต่างสัมผัสสำหรับคนพิการทางการเห็นที่นั่งสำหรับคนพิการหรือพื้นที่สำหรับจอดรถเข็นสำหรับคนพิการ แผนผังที่ตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานี บันไดและราวจับ
9. กำหนดให้มีบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อกำหนดลักษณะของอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการ เช่น ป้ายแสดงอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก เรื่อง มาตรฐานป้ายสัญลักษณ์ในระบบขนส่งสาธารณะ คู่มือแปลภาษาหรือป้ายสัญลักษณ์ภาษาสำหรับเจ้าหน้าที่ประจำรถเพื่อใช้สื่อสารกับคนพิการให้เป็นไปตามคู่มือฯ ของสำนักงานนโยบายและแผนการจนส่งและจราจร ช่องขายตั๋วโดยสารที่มีพื้นที่และความสูงสำหรับรถเข็นคนพิการ
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะส่งผลให้กลุ่มคนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในบริการขนส่งสาธารณได้อย่างสะดวก มีความเหมาะสม ปลอดภัยและเสมอภาคเท่าเทียม โดยเป็นการพัฒนาคุณภาพและบริการขนส่งสาธารณะของประเท ส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยระหว่างการประชุม ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และขอให้กระทรวงคมนาคม (คค.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมมือกัน ทำงานเชิงบูรการเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็ว
จัด 7 โครงการ 170 ล้าน ลงพื้นที่ ‘กาฬสินธุ์-ราชบุรี’
นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัดกาฬสินธุ์และราชบุรี จำนวน 7 โครงการ กรอบวงเงินรวม 170,924,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 3 โครงการ ภายในวงเงิน 135,024,000 บาท และราชบุรี จำนวน 4 โครงการ ภายในวงเงิน 35,900,000 บาท โดยให้ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ขอให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่างๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งให้จังหวัดนำโครงการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) รายงานว่า สืบเนื่องจากการเดินทางไปตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ (2 มีนาคม 2567) และราชบุรี (12 พฤษภาคม 2567) ทั้งสองจังหวัดได้จัดทำข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ จำนวน 7 โครงการ โดยโครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ และไม่อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งงบประมาณอื่น และได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและเห็นชอบจากคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัด (กรอ. จังหวัด) ของแต่ละจังหวัดแล้วสรุปได้ ดังนี้
(1) จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 3 โครงการ แบ่งเป็น โครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ (โครงการแก้มลิง) 2 โครงการ และโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ 1 โครงการ โดยโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) และแผนพัฒนาจังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบด้วย
-
(1.1) โครงการแก้มลิงหนองเลิงไก่โอก พร้อมอาคารประกอบ ตำบลโนนศิลาเลิง อำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในพื้นที่การเกษตร การอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศของลำน้ำ พื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 241 ครัวเรือน (748 คน) ปริมาณน้ำเก็บกักที่เพิ่มขึ้น 1.60 ล้านลูกบาศก์เมตร หน่วยดำเนินการ โครงการชลประทานกาฬสินธุ์
(1.2) โครงการแก้มลิงหนองบึงแวง พร้อมอาคารประกอบ ตำบลโนนศิลาเลิง อำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในพื้นที่การเกษตร การอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศของลำน้ำ พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 278 ครัวเรือน (910 คน) ปริมาณน้ำเก็บกักที่เพิ่มขึ้น 0.60 ล้านลูกบาศก์เมตร หน่วยดำเนินการ โครงการชลประทานกาฬสินธุ์
(1.3) โครงการจัดหาครุภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการ (เช่น กล้องจุลทรรศน์สำหรับผ่าตัดจุลศัลยศาสตร์แบบขั้นสูง พร้อมกล้องผู้ช่วยและระบบบันทึกภาพ กล้องส่องตรวจและผ่าตัดภายในช่องท้องและลำไส้ใหญ่) สำหรับโรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลชุมชน ในสังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ ปีงบประมาณ 2567 จำนวน 8 แห่ง (โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ โรงพยาบาลสมเด็จ โรงพยาบาลยางตลาด โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกุฉินารายณ์ โรงพยาบาลกมลาไสย โรงพยาบาลร่องคำ โรงพยาบาลนามน และโรงพยาบาลฆ้องชัย) ประชาชนได้รับประโยชน์ 1,947 ครัวเรือน (5,811 คน) หน่วยดำเนินการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์
(2) จังหวัดราชบุรี จำนวน 4 โครงการ เพื่อปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความปลอดภัย แบ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับการปรับปรุงเส้นทาง (ถนน) ที่เป็นจุดเสี่ยงบริเวณทางโค้ง 3 โครงการและโครงการปรับปรุงผิวจราจรทางถนน 1 โครงการ โดยโครงการดังกล่าวมีความสอดคลองกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 (จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) และแผนพัฒนาจังหวัดราชบุรี ประกอบด้วย
-
(2.1) โครงการงานปรับปรุงจุดเสี่ยงที่บริเวณทางโค้ง โดยการติดตั้ง Guard rail Rolling Barrier พร้อมอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยต่าง ๆ ทางหลวงหมายเลข 3238 ตอนควบคุม 0100 ตอน เจ็ดเสมียน-โคกหม้อ ที่โค้ง กม.6+000 ตำบลท่าราบ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ผู้ใช้ทางได้รับประโยชน์ประมาณ 10,452 คันต่อวัน หน่วยดำเนินการ แขวงทางหลวงราชบุรี
(2.2) โครงการงานปรับปรุงจุดเสี่ยงที่บริเวณทางโค้งโดยการติดตั้ง Guard rail Rolling Barrier พร้อมอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยต่าง ๆ ทางหลวงหมายเลข 4 ตอนควบคุม 0302 ตอน คลองอีจาง-หลุมดิน ที่โค้ง กม.87+390 เป็นช่วง ๆ ตำบลดอนทราย อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ผู้ใช้ทางได้รับประโยชน์ประมาณ 60,247 คันต่อวัน หน่วยดำเนินการ แขวงทางหลวงราชบุรี
(2.3) โครงการงานปรับปรุงจุดเสี่ยงที่บริเวณทางโค้ง โดยการติดตั้ง Guard rail Rolling Barrier พร้อมอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยต่าง ๆ ทางหลวงหมายเลข 4 ตอนควบคุม 0303 ตอน หลุมดิน-ห้วยชินสีห์ ที่ กม.106+400 ตำบลดอนตะโก อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ผู้ใช้ทางได้รับประโยชน์ประมาณ 31,162 คันต่อวัน หน่วยดำเนินการ แขวงทางหลวงราชบุรี
(2.4) โครงการปรับปรุงเสริมผิวจราจร ถนนสายดอนเข้ารีต-อ้อมปิ่นพาทย์ หมู่ที่ 8 ตำบลดอนใหญ่ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ขนาดกว้าง 4-6 เมตร ยาว 2,520 เมตร หนา 0.05 เมตร รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1,4678 ตารางเมตร หน่วยดำเนินการ แขวงทางหลวงราชบุรี
ปูนบำเหน็จ จนท.ปราบยาเสพติดปี’67 ไม่เกิน 13,047 อัตรา
นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวนไม่เกิน 13,047 อัตรา โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามที่กระทวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้
-
1. บำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในอัตราไม่เกินร้อยละ 2.5 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน 372,658 อัตราคิดเป็นอัตราไม่เกิน 9,316 อัตรา
2. บำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในอัตราไม่เกินร้อยละ 1.5 ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดจำนวน 248,715 อัตรา คิดเป็นอัตราไม่เกิน 3,731 อัตรา
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยธ. รายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (21 กุมภาพันธ์ 2566) เห็นชอบนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งระบบและมุ่งเน้นการลดระดับความรุนแรงของปัญหายาเสพติดจนไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยโดยบูรณาการนโยบายและแผนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มุ่งไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยมีผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการภายใต้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
ยธ. โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่รับผิดชอบการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดจึงได้เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเพื่อเป็นความกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดมาแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 – ล่าสุดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ยธ. (สำนักงาน ป.ป.ส.) เห็นควรเสนอให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดในจำนวนไม่เกิน 13,047 อัตรา จากหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 จำนวนทั้งสิ้น 85,718,790 บาท ของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและปรับวุฒิข้าราชการเป็นลำดับต่อไป
โดยการคำนวณกรอบโควตาบำเหน็จความชอบ กรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ใช้วิธีการคำนวณจากจำนวนพลเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดประเภทโดยตรงในอัตราร้อยละ 2.5 คิดเป็นอัตราไม่เกิน 9,316 อัตรา และประเภทเกื้อกูลในอัตราร้อยละ 1.5 คิดเป็นอัตราไม่เกิน 3,731 อัตรา รวมทั้งสิ้น 13,047 อัตรา
ยธ. แจ้งว่า การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่การดำเนินงานด้านยาเสพติดของประเทศไทยเนื่องจากเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ทุ่มเทและเสียสละในการปฏิบัติงานทั่วประเทศ โดยจะเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดมีแรงจูงใจและตั้งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง และความสามารถในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะส่งผลให้สังคมไทยปลอดภัยจากภัยคุกคามจากยาเสพติด
ขยายเวลาออก กม.ลูกควบคุม ‘พืชกระท่อม’อีก 1 ปี
นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โดยที่พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับหลังวันที่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ (ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป) ปัจจุบัน ยธ. โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) มีกฎหมายลำดับรองที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีผลบังคับใช้ รวมจำนวน 4 ฉบับ โดยเป็นกฎหมายลำดับรองในระดับกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ และกฎหมายลำดับรองในระดับประกาศ จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้
-
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม ลด และยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตนำเข้า ใบอนุญาตส่งออก การออกใบแทนใบอนุญาต และค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต รวมทั้งลดและยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม
2. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตนำเข้า หรือส่งออกใบกระท่อม ซึ่งจะเป็นมาตรการในการกำกับ ดูแลการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม
3. ร่างประกาศกระทรวงยุติธรรม เรื่อง แบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 และกำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามประกาศกำหนด
4. ร่างประกาศสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่อง การแสดงความจำนงเป็นผู้รับใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตาย พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเมื่อผู้รับใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมตายแล้วทายาทที่ประสงค์จะขอประกอบกิจการต่อให้ยื่นคำขอแสดงความจำนงตามแบบและหลักเกณฑ์ที่ประกาศกำหนด
ปัจจุบันร่างกฎกระทรวงตามข้อ 1 และข้อ 2 รวม 2 ฉบับ อยู่ระหว่างเสนอบรรจุเข้าวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี และสำหรับกฎหมายลำดับรองในระดับประกาศซึ่งเป็นกฎหมายลูกบท อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำร่างประกาศและยังคงไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากในการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขต่าง ๆ จะต้องบัญญัติให้สอดคล้องภายใต้หลักการตามร่างกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการออกใบอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม ยธ. จึงมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอขยายระยะเวลาในการออกกฎหมายลำดับรอง ตามข้อ 3 ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567
จัด ครม.สัญจร ‘อยุธยา’ ตรวจภาคกลางตอนบน 19-20 นี้
นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 5/2567 ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน (ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี และอ่างทอง) ระหว่างวันที่ 19-20 สิงหาคม 2567 โดยมีบัญชามอบหมายภารกิจ ดังนี้
-
1. ประเด็นการตรวจราชการสำคัญ ประกอบด้วย (1) การสร้างฐานการผลิตสินค้าเกษตร อาหารเพื่อสุขภาพมูลค่าสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (2) การยกระดับการท่องเที่ยวมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม บนพื้นฐานของการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (3) การเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมและบริการในอนาคต (4) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพลังงานแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน (5) การส่งเสริมการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ และ (6) การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง
2. มอบหมายคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมข้อมูลการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี
3. มอบหมายรองนายกนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ) ซึ่งกำกับและติดตามการปฎิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน เป็นประธานประชุมบูรณาการการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทย เป็นฝ่ายเลขานุการ
4. การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีและวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี มอบหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเตรียมสถานที่จัดการประชุมคณะรัฐมนตรี ดำเนินการจัดประชุม ตลอดจนรวบรวม กลั่นกรองข้อเสนอโครงการ/แผนงานสำหรับวาระกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ที่จะนำเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรี
5.การตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี มอบหมายสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จัดกำหนดการตรวจราชการในภาพรวมของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 19 – 20 สิงหาคม 2567
6. การอำนวยความสะดวก มอบหมายสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมการและอำนวยความสะดวกด้านที่พักของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การเดินทาง และกำหนดการในภาพรวมของนายกรัฐมนตรี
7. การรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มอบหมายสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรีประสานกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทยในการดูแลการรับเรื่องร้องเรียนและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
8. การประชาสัมพันธ์ มอบหมายกรมประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก และโฆษกกระทรวงดำเนินการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้แก่ประชาชน
9. การรักษาความปลอดภัย มอบหมายกองทัพภาคที่ 1 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก วางแผนและรักษาความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตั้ง ‘อรรษิษฐ์’ นั่งปลัด มท.- ‘ทวีพงษ์’ เป็นผู้ว่า กคช.อีกวาระ
นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ/เห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายศุภชัย ปทุมนากุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
2. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้ง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง อธิบดีกรมการปกครอง ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
3. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
-
(1) นางสาวทัศลาภา แดงสุวรรณ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ ภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2566
(2) นายวิทยา พลสีลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง] สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2566
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
4. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ แต่งตั้ง นายอภิรัต กตัญญุตานนท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง] สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลระยอง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์และมีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
5. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ แต่งตั้ง นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ เป็นผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.)ต่อไปอีกวาระหนึ่ง โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 400,000 บาท ตลอดอายุสัญญาจ้าง รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามมติคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 5/2567 เมื่อวันที่ 29พฤษภาคม 2567 และครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 ซึ่งกระทรวงการคลัง (กค.) ให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป และไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
6. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
-
(1) นายสิทธิเดช พงศ์กิจวรสิน
(2) นายบุญส่ง เกิดกลาง
(3) นายณอคุณ สิทธิพงศ์
(4) นางฉวีวรรณ สินธวณรงค์
(5) นายอธึก อัศวานันท์
(6) นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล
(7) นายบุนยรัชต์ กิติยานันท์
ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
7. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ แต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (6) จำนวน 5 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
-
(1) นางสาวธัญลักษ์ เจริญปรุ
(2) นายศุภชัย ศรีสุชาติ
(3) นางศศิพัฒน์ ยอดเพชร (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นวาระที่สองติดต่อกัน)
(4) นายสง่า ดามาพงษ์
(5) นางอุบล หลิมสกุล
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
8. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านบริหารและการจัดการ) ในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น แทน นายธวัชชัย ฟักอังกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2567 เพิ่มเติม