ThaiPublica > คอลัมน์ > เปลี่ยนการบ้าน เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง

เปลี่ยนการบ้าน เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง

9 กุมภาพันธ์ 2025


เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

ฌอน เพียเจต์ นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ พูดถึงการเรียนรู้ของเด็กไว้ว่า “เด็กควรสามารถทดลองและค้นคว้าด้วยตนเองได้ ครูควรชี้นำโดยการจัดเตรียมสื่อที่เหมาะสม แต่สิ่งสำคัญคือ เพื่อให้เด็กเข้าใจสิ่งต่างๆ เขาจะต้องสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาด้วยตนเอง คิดค้นมันขึ้นมาใหม่ ทุกครั้งที่เราสอนบางอย่างให้กับเด็ก เราจะกลายเป็นอุปสรรคไม่ให้เขาคิดค้นสิ่งนั้นขึ้นมาเอง ในทางกลับกัน สิ่งที่เราให้เขาค้นพบด้วยตนเองจะฝังแน่นในใจเขาอย่างชัดเจนตลอดชีวิต”

ท่าทีสำคัญในการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาในศตวรรษที่ 21 หลายอย่างมาจากฝั่งผู้เรียน การบ้านเองเป็นหนึ่งในนั้น แนวทางการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน เริ่มมาแทนที่การเน้นท่องจำเพียงอย่างเดียว ไอเดียการปฏิรูปการบ้านจึงควรเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องทบทวนกันอย่างจริงจัง ทั้งในแง่การเรียนรู้ การเคารพเวลาพักผ่อนและเวลาส่วนตัวของผู้เรียน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการและคุณภาพชีวิตวัยรุ่น

การบ้านในฐานะภาระทางสุขภาพจิตนี้ กำลังทำให้ผู้เรียนเสียโอกาสในการพัฒนาทักษะที่สำคัญอื่นๆ ที่เกิดจากการเล่นอิสระ (free to play) และการมีเวลาว่างเพื่อค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ยังกลายเป็นภาระครูอีกต่างหาก แม้ในปัจจุบันแนวคิดเรื่องการเล่นอิสระจะได้รับการยอมรับว่าช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถในการปรับตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งกับโลกปัจจุบัน

วิธีลดภาระให้นักเรียนและครอบครัวที่ต้องมาช่วยสอนการบ้านหนึ่งคือ การที่ครูทุกคนร่วมมือกันกำหนด “โควตาสั่งการบ้าน” โดยจำนวนชั่วโมงการทำการบ้านรวมกันไม่เกินคาบหนึ่ง เช่น 40-50 นาที ในการทำทั้งหมด หรือตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับวัย โดยยังเผื่อเวลาให้นักเรียนได้ทำอย่างอื่นด้วย แนวคิดที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมไม่ทำงานนอกเวลา จะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนมีเวลาในการพักผ่อนและทำกิจกรรมที่เสริมสร้างความคิดริเริ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเครียดและป้องกันไม่ให้นักเรียนเกิดความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ในชั้นเรียนอีกด้วย การมีเวลาพักผ่อนเพียงพอสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

แนวคิดเรื่อง “เล่นอิสระ (free to play)” เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่สอดคล้องกับการปฏิรูปการบ้านในยุคนี้ การให้เด็กมีเวลาที่จะเล่นและสำรวจโลกในแบบของตนเองนั้น มีผลต่อพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่สำคัญในวัยเด็ก การเล่นอิสระไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กคลายความเครียด แต่ยังเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ให้เด็กได้ทดลองค้นหาสิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีข้อจำกัดหรือกรอบกำหนดที่เข้มงวดเหมือนในห้องเรียน หลักการนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักวิจัยด้านจิตวิทยาการพัฒนาการ เช่น Lev Vygotsky ที่กล่าวถึง “พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ” (zone of proximal development) ซึ่งระบุว่าการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ การเล่นอิสระยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาและการตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญต่อการเติบโตในสังคมที่มีความซับซ้อนในปัจจุบัน

ในด้านของการบ้านสร้างสรรค์ แนวทางนี้เน้นการออกแบบการบ้านให้มีความหลากหลายและเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้เด็กได้สัมผัสกับการเรียนรู้ที่เป็นแบบองค์รวม มากกว่าการจำกัดอยู่เพียงแค่ข้อมูลในตำราเรียน ตัวอย่างเช่น การมอบหมายงานที่ให้นักเรียนต้องทำโปรเจกต์ร่วมกับเพื่อนๆ ในการวิจัยประเด็นที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมหรือประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งไม่เพียงแต่กระตุ้นให้เด็กใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีการทำงานเป็นทีมและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพด้วย

แนวทางการประเมินความเข้าใจของเด็กในระบบการบ้านสร้างสรรค์นั้น ควรที่จะย้ายจากการวัดผลแบบข้อสอบที่เน้นความจำและท่องจำ มาเป็นการประเมินจากผลงานและกระบวนการเรียนรู้ ที่เด็กได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และทดลองแก้ปัญหาจริงๆ แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากนักวิชาการหลายท่านที่เห็นว่า การประเมินที่เน้นกระบวนการ จะสามารถสะท้อนความเข้าใจและพัฒนาการของเด็กได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น การนำเสนอผลงานโปรเจกต์ การเขียนบันทึกการเรียนรู้ หรือแม้กระทั่งการใช้พอร์ตโฟลิโอเป็นเครื่องมือในการวัดผล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการที่สามารถบ่งบอกถึงความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย

แนวทางนี้ ยังสอดคล้องกับหลักการของ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (lifelong learning) ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิต การบ้านที่สร้างสรรค์จึงควรที่จะถูกออกแบบให้เป็นกิจกรรม ที่ส่งเสริมให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือการทำงานนอกเวลาในวงการการศึกษาที่เราไม่ควรมองข้าม ปัจจุบันครูและบุคลากรทางการศึกษาหลายคนต้องเผชิญกับความกดดันในการเตรียมการสอน การตรวจงาน และการทำงานที่อยู่นอกเวลา ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตโดยรวม แนวคิด “สร้างวัฒนธรรมไม่ทำงานนอกเวลา” จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง หากครูสามารถกำหนดขอบเขตของเวลางานได้อย่างชัดเจนและเหมาะสม จะช่วยให้สามารถกลับมาสร้างสรรค์แนวทางการสอนใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ครูมีความสุขและพลังงาน ในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนอย่างต่อเนื่อง แนวคิดนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยในสาขาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่ยืนยันว่าเมื่อบุคลากรมีเวลาพักผ่อนเพียงพอและมีสมดุลในชีวิต จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น

จากมุมมองของการศึกษาในระดับนานาชาติ หลายประเทศได้เริ่มต้นทดลองใช้แนวทางการบ้าน ที่เน้นคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์มากกว่าปริมาณการบ้านที่มีให้ทำ ตัวอย่างเช่น ในประเทศฟินแลนด์ มีการกำหนดแนวทางการบ้านที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียน และเน้นให้เด็กมีเวลาพักผ่อนและเล่นอย่างอิสระ ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนในระบบนี้มีความสุขและมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ที่ดีขึ้น