รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

อุตสาหกรรมรถยนต์ถูกมองว่า คือสิ่งที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจของเยอรมัน ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของยุโรป ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่า Volkswagen บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่สุดของเยอรมัน ประกาศแผนงานที่จะปิดโรงงาน และปลดคนงานในเยอรมัน เหตุการณ์นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงวิกฤติเศรษฐกิจของเยอรมันในปัจจุบัน และส่อถึงอนาคตที่มืดมน
Volkswagen ตั้งขึ้นมาในสมัยนาซี เวลาต่อมากลายเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึง “ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ” ของเยอรมันหลังสงครามโลก ที่ผ่านมา Volkswagen เคยเกิดความผิดพลาดและมีเรื่องอื้อฉาว เช่น การบิดเบือนข้อมูลการปล่อยมลพิษของเครื่องยนต์ดีเซล มาถึงปัจจุบันคือการมองข้ามเรื่องรถยนต์ EV จนกลายเป็นตัวอย่าง “กรณีศึกษา” ว่า เยอรมันเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้อย่างไร
จุดแข็งในอดีตของเยอรมัน
นิตยสาร Fortune ฉบับธันวาคม 2024 เรื่อง Germany’s Lost Decade เขียนไว้ว่า จะเข้าใจปัญหาที่เยอรมันกำลังประสบอยู่ ต้องเข้าใจในสิ่งที่เคยสร้างความเข้มแข็งให้กับเยอรมันในอดีต อุตสาหกรรมการผลิต (manufacturing) มีสัดส่วนมากถึง 18.4% ของเศรษฐกิจโดยรวมเยอรมัน ขณะที่ฝรั่งเศสอยู่ที่ 9.5% และอังกฤษ 8.4%
ในปี 2005 เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ทำให้อุตสาหกรรมของเยอรมันขุดพบ “เหมืองทอง” แห่งใหม่ คือประเทศจีน ในปีเดียวกันนั้น เยอรมันส่งออกไปจีนมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ 16 ปีต่อมา เมื่อถึงปี 2021 การส่งออกไปจีนพุ่งเป็น 124 พันล้านดอลลาร์
ที่ผ่านมา 50% ของเศรษฐกิจเยอรมัน มาจากการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศในยุโรปอื่นๆ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นยุครุ่งเรืองของอุตสาหกรรมเยอรมัน การส่งออกของเยอรมันเริ่มลดลง เพราะบริษัทคู่แข่งของจีนเติบโตขึ้นมา สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน ส่งผลกระทบต่อยุโรป สงครามยูเครนที่ยุโรปตะวันตกคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ต้นทุนค่าพลังงานในอุตสาหกรรมเยอรมันสูงขึ้น
ตัวอุตสาหกรรมรถยนต์คือสิ่งที่สะท้อนว่า เครื่องจักรอุตสาหกรรมของเยอรมันโดยรวม กำลังมีปัญหาชะงักงัน อุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อรวมถึงห่วงโซ่อุปทานการผลิต มีสัดส่วนถึง 6% ของเศรษฐกิจเยอรมัน อุตสาหกรรมรถยนต์จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของเศรษฐกิจเยอรมัน
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจีน คือภัยอันตรายที่ชาติตะวันตกไม่ได้คาดคิดมาก่อน เมื่อบริษัทอย่าง BYD สามารถผลิตรถยนต์ EV ได้ในราคาที่ต่ำกว่าปกติ และสามารถผลิตส่งออกไปขายทั่วโลก

เครื่องจักรเศรษฐกิจ “เสียแล้ว”
หนังสือชื่อ Kaput: The End of the German Miracle (2024) ของ Wolfgang Munchau อดีตผู้สื่อข่าวของ Financial Times เขียนถึงวิกฤติของโมเดลเศรษฐกิจแบบเยอรมันไว้ว่า เขาเติบโตจากเมืองอุตสาหกรรมของเยอรมันชื่อ Mulheim โรงงานแห่งแรกของเมืองผลิตท่อส่งเชื้อเพลิง โรงงานแห่งที่สองผลิตเครื่องจักรกำเนิดไฟฟ้านิวเคลียร์ สองสิ่งนี้เป็นพลังชีวิตของอุตสาหกรรมเยอรมัน
อดีตที่ผ่านมา เยอรมันเป็นผู้ผลิตชั้นนำของโลกด้านพลังงานจากนิวเคลียร์ ส่วนท่อส่งเชื้อเพลิงมีบทบาทสำคัญ ในนโยบายพลังงานของเยอรมัน ต่อมาท่อส่งเชื้อเพลิงเหล่านี้ ทำให้เยอรมันเข้าถึงแหล่งน้ำมันของนอร์เวย์ และก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เดือนเมษายน 2023 สถานีไฟฟ้านิวเคลียร์ของเยอรมันยุติการดำเนินงาน ส่วนก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียก็ปิดตัวลงเมื่อกันยายน 2022
หนังสือ Kaput กล่าวว่า การเปลี่ยนปลงที่เกิดขึ้นในเมือง Mulheim เป็นตัวอย่างที่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเยอรมันทั้งประเทศ เยอรมันเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมของยุโรป เคยเป็นประเทศส่งออกรายใหญ่สุดของโลก แต่ความเชี่ยวชาญอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน ทำให้เกิดจุดอ่อนและการพึ่งพา เยอรมันพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย และการส่งออกไปตลาดจีน
ในที่สุด ความสัมพันธ์กับรัสเซียก็แตกหักลง การค้ากับจีนก็ไม่เหมือนสมัยที่กระแสโลกาภิวัตน์รุ่งเรื่องที่สุด แต่แรงกระทบเกิดขึ้นทันทีทันใดที่ใหญ่สุดมาจากเทคโนโลยี เยอรมันเป็นผู้ชนะในยุคอนาล็อก ขณะที่ในแต่ละวัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาล้อมรอบชีวิตคนเรามากขึ้น เยอรมันเป็นประเทศที่คิดค้นเครื่องยนต์ของรถ ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง แต่ไม่ได้คิดค้นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้ที่ทำให้เกิดปัญหา
นับจากหลังสงคราม เยอรมันเคยเอาชนะวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต หากบริษัทเยอรมันไม่สามารถแข่งขันได้ รัฐบาลสามารถลดภาษี ปฏิรูปแรงงาน หรือควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปัจจุบัน หากบริษัทที่ชำนาญด้านเครื่องยนต์ดีเซลเกิดปัญหาขึ้นมา ปัญหาไม่ใช่เครื่องต้นทุนแล้ว แต่เป็นตัวสินค้านั้นเอง ผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันยังแข่งขันได้ในรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่ไม่สามารถแข่งขันกับจีนในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า
สิ่งที่แตกต่างประการที่สองคือ การมีคู่แข่งขันรายใหม่ ที่ผ่านมา การส่งออกอุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมันดำเนินไปอย่างดี เพราะไม่มีประเทศตะวันตกอื่นๆทำแบบเดียวกัน ช่วงปี 1990-2020 เยอรมันเป็นผู้ผลิตด้านอุตสาหกรรมที่ไม่มีคู่แข่ง เพราะสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ล้วนลดอุตสาหกรรมการผลิตลง ในเวลานั้น จีนก็ยังไม่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรายใหญ่
แต่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศต่างๆหันกลับมาสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิต รัฐบาลโจ ไบเดน ออกกฏหมาย Inflation Reduction Act สนับสนุนการเงินแก่บริษัทที่ย้ายการผลิตกลับมาสหรัฐฯ เช่น เทคโนโลยีสีเขียว ส่วนจีนปรับเปลี่ยนโมเดลการเติบโต จากการสนับสนุนการเงินต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาเป็นการอุดหนุนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมการผลิต

ความชำนาญอุตสาหกรรมดั้งเดิม
เยอรมันยังมีอุตสาหกรรมดั้งเดิม ขณะที่สหรัฐฯมีอุตสาหกรรมดิจิทัลและฮอลลีวูด ฝรั่งเศสมีอาหารและแฟชั่น ส่วนอังกฤษมีธุรกิจการเงิน เยอรมันชำนาญเรื่องวิศวกรรมรถยนต์ เครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ มีบริษัทที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างเช่น Siemens, Volkswagen, Mercedes-Benz, BMW, Continental, BASF, Bayer และ Bosch
บริษัทที่อยู่ล่างลงจากยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรม คือบริษัทขนาดกลางจำนวนนับเป็นพัน ที่เรียกว่า Mittelstand ที่เป็นอุตสาหกรรมการผลิต แฝงตัวในเศรษฐกิจของเยอรมัน บริษัทขนาดกลางเหล่านี้เป็นผู้นำตลาดโลกในสินค้าเฉพาะด้าน เช่น ตลับลูกปืน หรืออุปกรณ์ไฮดรอลิก บริษัทขนาดกลางเหล่านี้มีลักษณะเป็นทั้งผู้ประกอบการและนักสร้างนวัตกรรม
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ เทคโนโลยีใหม่ ที่คิดค้นและผลิตโดยคนอื่น ลุกล้ำมาที่เรา แม้เราจะไม่ยินดีต้องรับก็ตาม เยอรมันเป็นชาติมองความสำเร็จที่การส่งออก แต่ Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ เคยให้ข้อสังเกตุเรื่องการค้าว่า ประโยชน์แท้จริงจากการค้ามาจาก “การนำเข้า” ไม่ใช่ส่งออก การนำเข้าทำให้เราบริโภคสินค้าหรือบริการ ที่เราผลิตเองไม่ได้ หรือผลิตได้แต่ไม่ทำกำไร
เทคโนโลยีดิจิทัลก็มีลักษณะแบบเดียวกัน เราอาจไม่ได้ผลิตสิ่งนี้ แต่เราสามารถเป็นคนที่ใช้ประโยชน์ จุดนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลบุกเข้ามาปิดล้อมโลกอนาล็อก อย่างเช่น สมาร์ทโฟนที่สามารถทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ที่เดิมต้องอาศัยอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิดแยกจากกัน เช่น กล้องถ่ายรูป แผนที่ หรือสมุดจด นามบัตร ต่อไป “นาฬิกาอัจฉริยะ” จะสามารถวัดความดันโลหิต อุปกรณ์ที่มีอยู่แค่ตัวเซนเซอร์ไม่มีชิ้นส่วนที่เป็นอุปกรณ์เครื่องจักรกล แทบไม่มีเลย
เช่นเดียวกัน เทคโนโลยีดิจิทัลก็กำลังเข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ อุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของเยอรมัน รถยนต์ไฟฟ้านั้นยังจำเป็นต้องมีล้อรถและเพลา เพื่อการบังคับ แต่รถยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์เครื่องจักรกลอีกต่อไป มูลค่าสำคัญของรถไฟฟ้าอยู่ที่แบตเตอร์รี่กับซอฟต์แวร์
เยอรมันขึ้นกับความสำเร็จของเทคโนโลยีเก่า และบริษัทเก่ามานานเกินไป นวัตกรรมก็รอที่จะเกิดขึ้นจากบริษัทยักษ์ใหญ่เดิม แต่โลกดิจิทัลเป็นโลกของธุรกิจสตาร์อัพ ธุรกิจสตาร์ทอัพต้องได้รับการสนับสนุนจากตลาดเงินทุนที่เข้มแข็ง เยอรมันมีระบบให้การสนับสนุนแก่บริษัทดั้งเดิม แต่ไม่ใช่สตาร์ทอัพ ขาดอุตสาหกรรม venture capital ที่นักลงทุนให้การสนับสนุนการเงินธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
บริษัทยักษ์ใหญ่ดิจิทัลล้วนตั้งขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่บริษัทแบบ Smith Corona บริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีชื่อเสียงในอดีตของสหรัฐฯ Smith Corona ไม่ได้คิดคอมพิวเตอร์ PC ขึ้นมา แต่พยายามที่จะนำคอมพิวเตอร์มารวมกับเครื่องพิมพ์ดีด ทำได้ดีในช่วงแรก แต่ก็ไปไม่รอด เพราะตัวเองคิดไม่พ้นไปจากเครื่องพิมพ์ดีด
เยอรมันเองก็มีปัญหาแบบเดียวกับ Smith Corona คือพึ่งพาตวามสำเร็จมานานมากกับเทคโนโลยีเก่าและบริษัทเก่า นวัตกรรมล้วนไปเชื่อมโยงกับบริษัทเหล่านี้ นวัตกรรมมีความหมายว่า คือสิ่งที่ Volkswagen, BMW หรือ Mercedes Benz ตัดสินใจที่จะสร้างนวัตกรรมขึ้นมา สิ่งนี้ทำงานได้ผลระยะหนึ่ง จนกระทั่งทำไปก็ไม่ได้ผล แบบเดียวกับ Smith Corona
เอกสารประกอบ
Fortune, December 2024- January 2025, fortune.com
Kaput: The End of the German Miracle, Wolfgang Munchau, Swift Press, 2024.