ThaiPublica > คอลัมน์ > Goodbye, Children (1987) หนังที่นักพัฒนาเยาวชนควรดู

Goodbye, Children (1987) หนังที่นักพัฒนาเยาวชนควรดู

24 มกราคม 2025


เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

หนังที่ผมประทับใจที่สุดในช่วง 2 ปีมานี้ คือผลงานจากปี 1987 โดย หลุยส์ มาลล์ เรื่อง Goodbye, Children (Au Revoir Les Enfants) ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องในฐานะผลงานที่สำคัญและสะท้อนความจริงของชีวิตในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องราวถ่ายทอดชีวิตเด็กชายในโรงเรียนประจำด้วยบรรยากาศชนบทฝรั่งเศส ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและสงคราม นอกจากหนังจะบอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของเด็กท่ามกลางปัญหาของผู้ใหญ่แล้ว ยังสะท้อนภาพของการเติบโต การสูญเสีย และการค้นพบความจริงในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย

Goodbye, Children ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เด็กชายสองคนในโรงเรียนประจำต้องรับมือกับการเผชิญหน้ากับความจริงของสงคราม จูลส์ (รับบทโดย เกรโกรี กูเบิร์ต) หนึ่งในเด็กชายที่อยู่ในโรงเรียนและเพื่อนสนิท บอนเนต์ (รับบทโดยแฟรงก์ ดูอิส) ซึ่งได้รับการเปิดเผยว่า เขาคือเด็กชาวยิวที่หลบหนีจากการไล่ล่าของนาซี เด็กชายทั้งสองเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากัน นำมาซึ่งบทสรุปแห่งการสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืนมาได้

สิ่งที่ทำให้ Goodbye, Children ท้าทายและแตกต่างจากภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็กทั่วไปคือ การที่ตัวหนังไม่ได้พยายามนำเสนอความสดใสของชีวิตในวัยเด็ก แต่กลับเลือกสะท้อนความเจ็บปวด สถานการณ์ของตัวละครเด็กถูกตั้งอยู่ในบริบทที่เต็มไปด้วยการต่อสู้กับความไม่แน่นอนในโลกโหดร้าย

เหตุการณ์ในหนังดำเนินไปด้วยความละเอียดอ่อน ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองที่มีทั้งความไร้เดียงสาและความลึกซึ้ง แต่ความสงบสุขนั้นต้องพังทลายลงเมื่อโรงเรียนถูกบุกค้นโดยทหารนาซี และบอนเนต์ถูกจับตัวไปพร้อมกับครูใหญ่ที่ช่วยเหลือเขา

ฉากสุดท้ายที่จูลส์กล่าวคำอำลากับบอนเนต์ สายตานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง เป็นฉากที่ย้ำเตือนผู้ชมถึงความอยุติธรรมและผลกระทบของสงครามที่ไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตผู้ใหญ่ แต่ยังแทรกซึมไปถึงโลกของเด็กๆ

หนังเรื่องนี้เองคือเหตุผลที่นักพัฒนาเยาวชนควรดู และทำความเข้าใจว่าบริบททางสังคมและการเมืองมีอิทธิพลต่อเด็กอย่างไร รวมถึงช่วยกระตุ้นให้เห็นคุณค่าของความกล้าหาญทางศีลธรรม ครูใหญ่ของโรงเรียนที่เลือกช่วยเหลือบอนเนต์ แม้จะรู้ว่าเสี่ยงภัยต่อชีวิตของตัวเอง เป็นตัวอย่างของความกล้าหาญทางศีลธรรมถึงการทำสิ่งที่ถูกต้องในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

นอกจากนี้ ความสำคัญของการเล่าเรื่องในมุมมองของเด็ก ผู้กำกับหลุย มาลล์ยังถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสายตาของบอนเนต์ ซึ่งทำให้ผู้ชมเห็นโลกในมุมมองของเด็กที่ต้องเติบโตในสถานการณ์ที่เกินกว่าอายุจะรับไหว มุมมองนี้ช่วยเน้นย้ำความไร้เดียงสาของวัยเด็กที่ถูกพรากไปโดยสงคราม

ผมอยากชวนมองว่า ตัวละครจูลส์เองเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่กำลังแสวงหาความหมายและความเข้าใจในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เขาเริ่มต้นด้วยความสงสัยและความไม่ไว้วางใจต่อบอนเนต์ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของมนุษย์ที่มักระแวดระวังสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อได้เรียนรู้ถึงความเป็นมนุษย์ของบอนเนต์ ความเปลี่ยนแปลงในตัวจูลส์ก็สะท้อนถึงภาวะการดำรงอยู่และการค้นพบความหมายของชีวิตผ่านประสบการณ์ส่วนตัว

จูลส์นั้นเป็นตัวอย่างของเด็กที่อยู่ในช่วงวัยพัฒนาอัตลักษณ์และการตัดสินใจทางศีลธรรม ซึ่งต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนและการยืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง การตัดสินใจของเขาในท้ายเรื่องสะท้อนถึงการพัฒนาความกล้าหาญและความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับวัยเยาว์

ในขณะที่บอนเนต์ เป็นผู้หลบซ่อนในโลกที่ไม่ยอมรับเขา และเป็นตัวแทนความเปราะบางของมนุษย์ที่ต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธและความอยุติธรรมที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคม หากมองด้วยแนวคิดของ Emmanuel Levinas ตัวละครบอนเนต์เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอื่น (the Other) ที่มองว่าความเป็นมนุษย์นั้นปรากฏผ่านการยอมรับและการเห็นคุณค่าของผู้อื่น แม้ว่าบอนเนต์จะถูกมองว่าแตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็ยังคงรักษาคุณค่าและความสงบภายในตัวเอง

ตัวละครบอนเนต์นั้นแสดงถึงผลกระทบของการถูกบังคับให้เติบโตอย่างรวดเร็ว เขาต้องซ่อนตัวตนและอาศัยอยู่ในความกลัว ซึ่งเป็นลักษณะของเด็กที่ต้องเผชิญกับความเครียดเรื้อรังตามแนวคิดของ John Bowlby เรื่อง attachment theory บอนเนต์นั้นขาดความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังเข้มแข็งทางอารมณ์ เมื่อเขาพยายามสร้างความสัมพันธ์กับจูลส์

ความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครนี้เองเป็นภาพสะท้อนของการก้าวข้ามอคติและความแตกต่าง ทั้งคู่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ในการเชื่อมโยงกันด้วยความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจ แนวคิดนี้คล้ายกับงานของ Martin Buber ที่เน้นถึงการมีปฏิสัมพันธ์ในระดับ “I-Thou” ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมาย

ความสัมพันธ์นี้เองช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์ของทั้งสองฝ่าย จูลส์ได้เรียนรู้ความเสียสละและการเห็นคุณค่าของผู้อื่น ในขณะที่บอนเนต์ค้นพบความสบายใจและความหวังแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

ฉากสุดท้ายที่บอนเนต์ถูกจับตัวไปต่อหน้าต่อตาของจูลส์ เป็นช่วงเวลาที่ส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างลึกซึ้ง จูลส์ที่มองเพื่อนเดินจากไปโดยไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลือ ตกอยู่ในภาวะ helplessness ซึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ที่เกินความควบคุม ในขณะเดียวกัน ฉากนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจในเชิงปรัชญาว่า ความอยุติธรรมของสงครามสามารถพรากทั้งชีวิตและความไร้เดียงสาไปจากมนุษย์