
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก การเพิ่มขึ้นของนโยบายปกป้องผลประโยชน์ในประเทศ และโอกาสใหม่สำหรับประเทศไทยในโลกยุคเปลี่ยนผ่าน เป็นประเด็นร้อนในงานสัมมนา KKP Year Ahead 2025: Opportunities Unbound ที่จัดขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าชั้นนำของ KKP
วันที่ 14 มกราคม 2568 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จัดสัมมนาประจำปี 2025 KKP YEAR AHEAD 2025 ภายใต้ธีม “Opportunities Unbound” เพื่อให้มุมมองเกี่ยวกับทิศทางและแนวโน้มด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และธุรกิจ โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) บรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ประเทศไทย: วิธีเอาตัวรอดในเศรษฐกิจโลกที่มีความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น’
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เริ่มต้นที่ ภูมิหลังปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก โดยกล่าวว่า มี 2-3 เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เรื่องแรก เศรษฐกิจอาจจะโตช้า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกโตช้าลงไปเรื่อยๆ การขยายตัวของ GDP ประเทศพัฒนาแล้วลดลงไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจโลกโดยรวมก็ขยายตัวช้าลงไปเรื่อยๆ จากหลายสาเหตุ ทั้งๆที่ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจค่อนข้างจะเจริญได้ดี คือ มีการค้าเสรี มีการลงทุนเสรี มีการเปิดประเทศเปิดโลก มีโลกาภิวัฒน์
เรื่องที่สองที่ต้องรับรู้ในฐานะนักลงทุนคือ แนวโน้มดอกเบี้ย ดอกเบี้ยอาจจะไม่ลงเร็วอย่างที่คาดไว้ ในระยะสั้นมีการคาดการณ์กันว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะไม่ลดดอกเบี้ย หลังจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐดีกว่าที่คาด สะท้อนว่าเศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่ง ทําให้ดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นไปด้วย
“นี่เป็นภาพระยะสั้น ซึ่งคําถามก็คือ ภาพระยะสั้นนี้จะต่อเนื่องไปอีกหรือไม่ เช่น 3 เดือนที่แล้วนักวิเคราะห์เกือบทุกคนบอกว่าปีนี้เฟดจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง แต่ล่าสุดคาดการณ์กันว่าอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยเลย ประเด็นก็คืออีก 2-3 ปีข้างหน้าดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะดอกเบี้ยระยะยาว ซึ่งคําตอบของผม คือ สงสัยเช่นกันว่าดอกเบี้ยระยะยาวจะไม่ลงนะ แล้วดอกเบี้ยระยะสั้นก็จะลงได้ยากด้วย” ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า ประเด็นหลัก คือ นโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทุกนโยบายทั้ง 4 นโยบาย เป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นปัจจัยกระตุ้นเงินเฟ้อทั้งสิ้น ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา ประเทศที่มีเงินออมมาก แล้วเอามาให้อเมริกาได้ใช้เงินในราคาถูก คือ ประเทศจีน แต่จีนเองการออมก็เริ่มไม่ขยับ ต่างจากในช่วงก่อนหน้า 20-30 ปีที่แล้ว เงินออมของคนจีนเพิ่มขึ้นตลอด เงินออมก็คือ ปริมาณเงิน หรือ supply เงิน โดยปกติปริมาณเงินเยอะดอกเบี้ยก็ลดลง แต่ปริมาณเงิน น้อยลงดอกเบี้ยก็ปรับขึ้นได้
เรื่องที่สาม เงินเฟ้อของสหรัฐ ของโลกลงมาตลอด และมีการคาดการณ์ไว้ว่าเงินเฟ้อจะลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund:IMF) ประมาณการเงินเงินเฟ้อของโลกไว้ที่ 5.4% ในปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้คาดว่าจะลดลงมาเหลือ 3.6% แต่คําถามก็คือจะเป็นตามที่ประมาณการไว้หรือไม่ เนื่องจากนโยบายของทรัมป์ทุกนโยบายจะกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งสิ่งกําลังเกิดขึ้น ความแตกแยกของโลก deglobalization ก็กําลังทําให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น เงินเฟ้ออาจจะไม่ลดลงเช่นกัน อย่างไรก็มีอีกแนวคิดหนึ่งว่า เงินเฟ้อน่าจะลงได้และดอกเบี้ยน่าจะลงได้ เพราะในภาพรวม เทคโนโลยีมีการพัฒนาต่อเนื่อง ประกอบกับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ประชากรสูงอายุจะใช้เงินน้อยลง แต่ไม่ได้มีความชัดเจนนัก
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า “ที่สําคัญที่สุด คือ โลกเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปมาก ฝั่งหนึ่งอเมริกา อีกฝั่งหนึ่งคือจีน” ต้องยอมรับว่าโลกเป็นอย่างนี้ ฝั่งที่เป็นอเมริกาก็จะมีความสามารถยังเป็นผู้นำในเรื่องของความมั่นคงการทหาร มีความพยายามส่วนหนึ่งที่จะรักษาประชาธิปไตย แต่หลังจากทรัมป์เข้ามาบริหารก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ ส่วนจีนก็เป็นผู้นำอีกด้านหนึ่ง จีนเป็น Manufacturing superpower มหาอำนาจทางการผลิต แต่การที่สองประเทศซึ่งมี GDP รวมกันถึง 2/3 ของ GDP โลกขัดแย้งกัน ไม่เป็นผลดีสําหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าแน่นอน
“สิ่งที่ผมคิดว่าสําคัญมากหลังจากวันที่ 20 มกราคมปีนี้ เป็น paradigm shift การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของอเมริกากําลังจะเกิดขึ้น อเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ตัดสินว่า จะต้องจัดระเบียบโลกเพราะว่าก่อนหน้านั้นอเมริกาถูกลากเข้าไปในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง ฉะนั้นอเมริกาเลยจัดระเบียบโลก ระเบียบโลกที่อเมริกาจัดเป็นระเบียบโลกที่อเมริกาช่วยก่อตั้ง ทั้ง GATTS(ความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า General Agreement on Tariff and Trade) หรือ WTO (องค์การการค้าโลก World Trade Organization) รวมไปถึงสหประชาชาติ หรือ UN(United Nations) อเมริกามีฐานทัพทั่วโลก มี NATO ตลอดจน WHO องค์การอนามัยโลก (World Health Organization)และอื่นๆ เป็นแนวคิดที่ว่าถ้าทําให้ทั้งโลกสงบอเมริกาก็สบาย”
“แต่ทรัมป์บอกว่าไม่ใช่ สําหรับทรัมป์ มองผลประโยชน์ของอเมริกาในมุมแคบ มองว่าต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน แบบหมูไปไก่มา ล่าสุดบอกว่าจะถอนตัวจาก WHO หลังจากที่ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสไปแล้ว เพราะฉะนั้นนโยบายของทรัมป์กลายเป็นนโยบายที่ไม่ให้เกิดระเบียบโลกขึ้นมา ทั้งๆที่เดิมทีมีกระบวนการต่างๆ ก็เลยทําให้สูญญากาศกําลังจะเกิดขึ้น”
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงว่าจะเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 20 มกราคม วันที่ทรัมป์เข้ารับตําแหน่งประธานาธิบดี มาจากการแผนหาเสียงที่ระบุว่า ต้องการที่จะผ่านกฎหมาย Trump Reciprocal Trade Act คือ การที่บอกว่าถ้าประเทศอื่นเก็บภาษีศุลกากรอเมริกาเท่าไร ทรัมป์ก็จะเก็บภาษีศุลกากรประเทศนั้นในอัตราเท่ากัน
ปัจจุบันภาษีศุลกากรอเมริกาเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ประเทศไทยอยู่ที่ 10% โดยเฉลี่ย “ถ้าออกกฎหมายนี้ก็จะขึ้นภาษีศุลกากรได้ตามอําเภอใจ แล้วทรัมป์ก็เชื่อมากว่ายิ่งเก็บภาษีศุลกากรได้มากเท่าไร อเมริกาจะรวยมากขึ้นเท่านั้น การใช้ภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นทั้งขู่และหวังว่าจะเป็นรายได้”
ส่วนการใช้ภาษีศุลกากรเป็นการขู่นั้น มองว่าเมื่อจะขึ้นภาษีศุลกากรแล้ว อเมริกาที่ต้องการอะไรจากประเทศอื่นๆก็จะได้ตามนั้น เช่น ทรัมป์บอกกับแคนาดาว่าจะเก็บภาษี 25% บอกเม็กซิโกว่าจะเก็บภาษี 25% บอกจีนว่าจะเก็บภาษี 10% เพราะว่ากรณีของเม็กซิโกกับแคนาดาไม่ช่วยดูแลเรื่องของคนที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเรื่อง แต่ทรัมป์ต้องการแบบนี้ ในกรณีของจีนที่จะเก็บภาษี 10% ก็เพราะว่าจีนส่งเสริมช่วยให้มีการผลิตยาเสพติด Fentanyl ทำให้คนอเมริกันติดยาติดเสพติด
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า มีรายงานข่าวล่าสุดว่า ทีมของทรัมป์กําลังพิจารณาว่าวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์จะประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ เพื่ออ้างอํานาจตามกฎหมายดังกล่าวที่จะทําให้ทรัมป์มีอํานาจสั่งเก็บภาษีประเทศไหนก็ได้ ในอัตราเท่าไรก็ได้สําหรับสินค้าที่นําเข้าจากประเทศนั้นๆ โดยมีความคิดว่าอาจจะเก็บภาษีเดือนแรก 5% เดือนที่สอง 10% เดือนที่ 15% เดือนที่ 4 อีก 20% แล้วจะเป็นการบีบบังคับให้ประเทศนั้นๆมาเจรจาในสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ เช่น ทรัมป์บอกว่าอยากได้ กรีนแบนด์ อยากได้ปานามา โดยในช่วงแรกจะใช้แรงกดดันด้านเศรษฐกิจก่อน กดดันด้านการค้าก่อน ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะใช้อำนาจทางทหาร “นี่คือปัญหาของภูมิรัฐศาสตร์ ทรัมป์พูดแบบนี้ แม้ยังไม่ทำก็ค่อนข้างจะปั่นป่วนแล้ว”
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกาแท้จริง คือ อเมริกาขาดดุลการค้าอย่างมาก การขาดดุลการค้าคือ การใช้จ่ายเกินตัว โดยภาคส่วนที่ใช้จ่ายเกินตัวคือ ภาครัฐบาล ผู้ที่ใส่เงินให้รัฐบาลอเมริกัน ก็คือ คนต่างชาติ คนต่างชาติที่ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา เมื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา ก็นับว่าเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลอเมริกา ซึ่งไม่แน่ใจว่าทรัมป์ได้มองตรงนี้แล้วหรือไม่ในสิ่งที่ทำอยู่ เพราะทําอย่างนี้คนก็จะไม่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา จะส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ “เรื่องดอกเบี้ยสําคัญ เพราะถ้าดอกเบี้ยสูงราคาหุ้นขึ้นยาก การลงทุนมีทางเลือกสองทาง คือ เป็นเจ้าหนี้ซื้อพันธบัตรถ้าได้รับผลตอบแทนสูง ราคาหุ้นจะไม่ค่อยขึ้นเพราะว่าไม่คุ้มกับความเสี่ยงลงทุนในหุ้น ซื้อพันธบัตรดีกว่า”
นอกจากนี้แนวโน้มของทุกประเทศในโลกที่พัฒนาแล้ว ภาคอุตสาหกรรมจะลดลงเสมอและเศรษฐกิจจะหันไปสู่ภาคบริการ บริการที่เป็นบริการไฮเทค เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ฉะนั้นสิ่งที่ทรัมป์บอกว่า ต้องการให้อุตสาหกรรมกลับมาที่ประเทศอเมริกา น่าจะทําได้ยากมาก เพราะแนวโน้มของการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นรูปแบบนั้นทั้งหมด “เป็นกฏเหล็กของการพัฒนาเศรษฐกิจ”
ด้านจีน ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า จีนไม่ได้อยู่เฉยๆแม้ว่าตอนหลังก็จะเงียบมาก ที่ผ่านมาประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้พยายามทําให้จีนพึ่งพาอเมริกาน้อยลงไปเรื่อยๆ วิ่งที่จีนพึ่งพาอเมริกาลดลง แต่สิ่งที่อเมริกาพึ่งพาจีนเพิ่มขึ้น จีนจึงไม่กังวลต่อสิ่งที่ทรัมป์จะทำกับจีนนัก “แต่ผลกระทบกับทั้งสองฝ่ายก็จะรุนแรงอยู่ดี”
ดร.ศุภวุฒิกล่าวถึงบุคคลสำคัญในทีมบริหารของทรัมป์มี 6 คน ได้แก่ มาร์โค รูบิโอ วุฒิสมาชิก ที่จะรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ วอลซ์ สส.ที่จะมานั่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งสองคนนี้มาจากฟลอริดา ต่อมาคือ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และสก็อตต์ เบสเซนต์ ที่จะคุมกระทรวงการคลัง ทั้งสองคนเป็นผู้จัดการกองทุน และสองคนสุดท้าย คือ เจมีสัน เกรียร์ ที่จะเป็นผู้แทนการค้า(USTR) เจรจาเรื่องภาษีและมีมาตรการที่จะมีผลต่อทั้งไทยและประเทศอื่น และ ซูซี ไวลส์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว “คําถามก็คือ ทรัมป์จะมีอํานาจเต็มหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีในส่วนของภาคบริหาร แต่ในส่วนของด้านนิติบัญญัติเสียงก้ำกึ่งมาก ทั้งในสภาบนและสภาล่าง การผ่านกฎหมายก็ทําได้ยากบ้าง”
ดร.ศูภวุฒิกล่าวถึงยุโรปว่า แนวโน้มไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้วโตช้าลง แล้วก็ถูกทรัมป์บีบอีกด้วย โดยทรัมป์บอกว่าอยากจะให้ประเทศ NATO ใช้จ่ายเงิน สําหรับด้านความมั่นคงเท่ากับ 5% ของ GDP ซึ่งปัจจุบันมีเพียงประเทศเดียวที่มีค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคง 5% ของ GDP คือ โปแลนด์ และคาดว่าน่าจะไม่มีประเทศไหนทำได้ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในของแต่ละประเทศเอง ทั้ง ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี “ยุโรป GDP โตช้าทั้งหมด ประเทศหลักๆของยุโรป เยอรมนีโต 0.3% อิตาลี 0.6% ฝรั่งเศส 0.7% มีแต่ประเทศเล็กๆอย่างเช่น สเปนเติบโต 2% ฉะนั้นยุโรปจะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลก”
ทางด้านจีน ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า กรณีของประเทศจีน ปัญหาแรกคือ การลงทุนให้ผลตอบแทนที่แย่ลงไปกว่าเดิม ที่ผ่านมาจีนใช้นโยบายที่ทุ่มเท คือ ทุ่มการลงทุน และเร่งการลงทุนไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาคือ เมื่อไปถึงจุดหนึ่ง การลงทุนที่ลงเท่าเดิม จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเดิม จาการคำนวณ Incremental Capital Output Ratio(ICOR) ว่า การลงทุนหนึ่งหน่วยจะได้ GDP กี่หน่วย ก็พบว่า ICOR ลดลง เดิมในช่วงปี 2000 การลงทุนที่จะให้ได้ GDP หนึ่งหน่วยต้องมีการลงทุน 4.29 หน่วย แต่ปี 2567 ต้องลงทุนถึง 9.94 หน่วยถึงจะได้ GDP หนึ่งหน่วย “ฉะนั้น GDP ของจีนโตช้าลงไปเรื่อยๆ”
ปัญหาที่สองของจีน คือ รัฐบาลท้องถิ่นมีหนี้จำนวนมาก เป็นผลจากการที่เคยสร้างรายได้ด้วยการปล่อยที่ดิน ขายที่ดิน หรือให้เช่าที่ดินไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันแล้วก็นำมาพัฒนาประเทศ เมื่อราคาที่ดินตกต่ำ จึงกลายเป็นปัญหาที่กําลังกดดันเศรษฐกิจอยู่มาก แล้วจีนตั้งกองทุนที่เรียกว่า Local Government Financing Vehicle(LGFVs) เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ซึ่งกําลังมีปัญหาอยู่ค่อนข้างมาก สัดส่วนหนี้นี้สูงถึง 40% ของ GDP ตราบใดที่ปัญหาพวกนี้ยังแก้ไม่ได้แล้วหากดอกเบี้ยขึ้น ดอกเบี้ยโลกขึ้น ก็กระทบกับดอกเบี้ยของจีนเช่นกัน
อย่างไรก็ตามจีนก็มีจุดแข็งคือ เป็นมหาอำนาจด้านการผลิต manufacturing superpower เป็นมหาอํานาจในเชิงของการเป็นผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม จีนซึ่งมี GDP เท่ากับ 18% ของจีดีพีโลก มีสัดส่วนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเท่ากับ 35% ของโลก ดังนั้นปัญหาที่กําลังเกิดขึ้น ก็คือ จีนยังอยากที่จะเป็นผู้นําด้านสินค้าอุตสาหกรรรม โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมทันสมัย อย่างเช่น EV โซลาร์เซลล์ คําถามก็คือประเทศอื่นไม่ยอม ฉะนั้งก็จะเป็นปัญหาได้ เพราะจีนอยากยืนยันนโยบายนี้อยู่ และจะผลักดันตรงนี้ต่อไป

ดร.ศุภวุฒิยกตัวอย่าง กรณีแผงโซลาร์ ซึ่งราคาลดลงมาก แผงโซลาร์เป็นสิ่งที่สําคัญสําหรับการเปลี่ยนผ่านในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งจีนก็รู้ว่าแผงโซลาร์มีความสําคัญ รัฐบาลก็สนับสนุน ฉะนั้นสัดส่วนของการผลิตของจีนสูงมาก จนกระทั่งมีส่วนแบ่งการตลาดไป 84.6% ประเทศไทยมีส่วนตลาด 2.3% ใหญ่กว่าอเมริกา เพราะจีนผลิตแผลงโซลาร์ที่ไทยด้วย
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ปัญหาของภาคส่วนนี้ คือ ปลายปีที่ผ่านมามีกําลังการผลิตกว่า 1,100 กิกะวัตต์ แต่ความต้องการทั่วโลกอยู่ที่ 593 กิกะวัตต์ ราคาตก ขาดทุนหลายราย แต่รัฐบาลจีนต้องการที่จะทําจนกระทั่งครองทั้งตลาด นโยบายคือต้องการที่จะครองอุตสาหกรรมในอนาคต นอกจากจะครองตอนปลายน้ำก็ยังจะครองต้นน้ำด้วย เพราะ rare earth ก็อยู่ที่จีน “นี่คือแนวคิดของจีนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
“ดังนั้นเราจะอยู่กับจีนอย่างไร อยู่กับทรัมป์ยังไม่รู้ ไม่รู้จะมาในรูปแบบไหน แต่เราจะอยู่กับจีนอย่างไร ก็ต้องกลับไปดูว่าแล้วจีนขาดอะไร เกินอะไร เราเห็นว่าภาคการผลิตจีนมีมหาศาล แต่สิ่งที่จีนขาดมีอยู่ 3 อย่าง คือ mining บริการ และภาคเกษตร mining คือ น้ำมันดิบ ซึ่งเราไม่เกี่ยว แต่บริการกับภาคเกษตร เป็นสิ่งที่เรากําลังขายให้จีนอยู่แล้ว นี่คือทางรอดของเราสองอย่าง บริการกับเกษตร”
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า หมายถึงว่า ไทยไม่ต้องการเป็น detroit of asia แต่ต้องการให้เป็นประเทศที่น่ามาเที่ยว ทั้งสําหรับนักท่องเที่ยวจีนและอื่นๆ ทําให้ประเทศปลอดภัยไม่มีคนหลอกเอาไปลักพาตัว ส่วนเรื่องเกษตรก็เป็นเรื่องสําคัญ ประเทศจีนต้องนําเข้าอาหารมากขึ้นเพราะปัจจัยพื้นฐานของจีนไม่เอื้ออํานวย
“จีน แม้จะมีประชากรมากถึง 20% ของโลก แต่มีพื้นที่เพื่อการเกษตรน้อยกว่า 10% ของพื้นที่ของโลก และมีทรัพยากรน้ำเท่ากับ 6% ของโลก ดังนั้น จีนจึงจะต้องเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เกษตรรายใหญ่ของโลกไปอีกนาน และนี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะใช้ความได้เปรียบในด้านการเกษตรและอาหารในการ ขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจ”
ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ที่ดินของจีนก็ลดลงต่อเนื่อง เพราะเพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรม ในเรื่องของการนําเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของจีน ประเทศไทยติดอันดับ เหนือกว่าอินโดนีเซีย แคนาดา แม้กระทั่งออสเตรเลีย ทั้งที่ไทยยังไม่ได้ผลักดันมาก ไทยคงจะทําได้ต่อไปเรื่อยๆ ประชากรของจีนที่แก่ตัวลงไปยิ่งจะทําให้ยิ่งขาดแคลนอาหาร ผลกระทบของการแก่ตัวของประชากรของจีนก็จะทําให้เกิดความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน ถ้าทำศึกษาเพิ่มเติมก็จะรู้ว่าความต้องการมาจากตรงไหน ความต้องการอาหารของจีนจะโตเร็วกว่าความต้องการอาหารของโลกอย่างมาก
นอกจากนี้ จีนก็ยังนำเข้าสุทธิการบริการ มีความต้องการในด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งในส่วนนี้ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีของสหรัฐอเมริกา “เพราะไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯ ก็ไม่มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทย ส่วนภาคอุตสาหกรรมไม่ใช่ว่าจะหายไป แต่จะยังคงมีอุตสาหกรรมเฉพาะเจาะจง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ในส่วนของ assembly, testing and packaging แต่อาจจะไม่ใช่หัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (economic engine) ของประเทศไทยในบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป”
“ฉะนั้นภาพข้างหน้า ถ้าถามว่าประเทศไทยเราควรจะวางตัวอย่างไร หาทางอยู่ยังไง อันที่หนึ่งเราทําอยู่แล้วเรื่องของการท่องเที่ยว อาจจะขยายไปท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งเชื่อมโยงกับการพยายามที่จะทําให้มีอาหารที่ดีในประเทศและอาหารที่ว่านี้ส่งไปที่จีนได้ด้วย นอกจากนั้น ถ้าเราทําให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในโลจิสติกส์ฮับที่จะส่งผ่านอาหารไปที่จีน นี่คือคําตอบในเชิงว่าประเทศไทยจะอยู่อย่างไรในโลกที่มีความแตกแยก” ดร.ศุภวุฒิกล่าว