จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานาน ทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอ และต้องไปพึ่งพาการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการผลิตสินค้าขึ้นมา ก็ขายสู้สินค้านำเข้าราคาถูก-เกรดต่ำไม่ได้ ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง นำไปสู่ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาล เพราะการที่เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพนั้น ทำให้การจัดเก็บภาษี หรือ รายได้ของรัฐบาลก็โตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล โดยการไปกู้ยืมเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศติดต่อกันมานานหลายสิบปี ส่งผลทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด-19 จนต้องแก้ไขกฎหมายขยายสัดส่วนการก่อหนี้สาธารณะเป็น 70% ของ GDP
หลังจากที่หยีบคันเร่งกันมานาน จนกระทั่งมาถึงยุคของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ประชุม ครม. วันที่ 24 ธันวาคม 2567 ก็มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2569 – 2572 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐนำเสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้ที่ประชุม 4 หน่วยงาน ซึ่งประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง , สภาพัฒน์ ฯ , ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงบประมาณ ใช้ประกอบการพิจารณาประมาณการรายได้ , กำหนดกรอบวงเงินรายจ่าย , นโยบาย และโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายฯ โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ตามปฏิทินงบประมาณปี 2569 จะต้องนำเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาเห็นชอบในวันอังคารที่ 7 มกราคม 2568
โดยแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2569 – 2572 ฉบับนี้ ได้มีการปรับปรุงประมาณการผลิตภัณฑ์ในประเทศ หรือ “GDP” กันใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งตัว GDP ดังกล่าวนี้ กระทรวงการคลังจะใช้เป็นฐานในการจัดทำประมาณการรายได้ของรัฐบาล เมื่อ GDP ถูกปรับลดลงมาให้สะท้อนกับความเป็นจริง ทั้งประมาณการรายได้ของรัฐบาล , กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี , วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ก็ปรับตัวลดลงมาทั้งแผง ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้ก็เป็นไปตามนโยบาย “Zero – Growth Budgeting” หรือ “Zero – Based Budgeting” ของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการปรับลดขนาดของการขาดดุลการคลังลงมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูสภาพทางการคลังให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่ง และเกิดความยั่งยืนในอนาคต และสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ภาคการคลังของประเทศเข้าสู่ “จุดดุลยภาพ” หรือ “Fiscal Equilibrium” ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาวได้โดยไม่ก่อให้เกิดวิกฤตการคลัง รวมถึงความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนนโยบาย รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะสม และทันการณ์
สอดคล้องกับที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า “กระทรวงการคลังไม่ได้คิดจะกู้อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้เรากู้มาเกือบสุดซอยแล้ว หากกู้ไปมากกว่านี้ หรือ เบ่งงบประมาณเพื่อให้ได้วงเงินงบประมาณเยอะๆ อาจกระทบกับความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต เราก็ไม่อยากใช้แนวทางนี้แล้ว การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งเรื่องการประมาณการรายได้ และวงเงินงบประมาณรายจ่าย ควรสะท้อนความเป็นจริง หากรายได้ไม่โต รายจ่ายก็ต้องไม่โตเหมือนกัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่งบประมาณรายจ่ายต้องโตขึ้นไปทุกปี เราต้องกลับมาคิดกันใหม่ หากต้องการให้งบประมาณรายจ่ายโต ก็ต้องคิดหาเครื่องมือทางภาษีใหม่ ๆขึ้นมา เพื่อหารายได้เพิ่ม”