ThaiPublica > สู่อาเซียน > พายุไต้ฝุ่นถล่มฟิลิปปินส์ปีนี้ทำลายสถิติ ผลของ Climate Change

พายุไต้ฝุ่นถล่มฟิลิปปินส์ปีนี้ทำลายสถิติ ผลของ Climate Change

14 ธันวาคม 2024


ที่มาภาพ: https://www.care-international.org/news/philippines-tropical-storm-trami-devastates-seven-million

ฤดูพายุไต้ฝุ่นในฟิลิปปินส์ในปีนี้ทำลายสถิติ จากการที่มีพายุพัดถล่มประเทศ 6 ลูกติดต่อกันภายในเวลาไม่ถึงเดือน และหลายลูกเคลื่อนตัวพร้อมกันในภูมิภาค อันเป็นผลที่หนักขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ climate change จากรายงานการศึกษาล่าสุด

ระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2567 ฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบจากพายุที่มีชื่อ 4 ลูกพร้อมกัน มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกในปี 2494 โดยเริ่มด้วยพายุโซนร้อนจ่ามีกำลังแรงในวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 10 สิบคนและทำให้เกิดฝนตกหนักในปริมาณท่ากับหนึ่งเดือนในทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ ตามมาด้วยซูเปอร์ไต้ฝุ่น(กองเร็ย) ที่เคลื่อนไปทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ก่อนขึ้นฝั่งที่ไต้หวัน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน ต่อมา ไต้ฝุ่นซินหยิงพัดถล่มเกาะลูซอนด้วยความเร็วลม 240 กิโลมตรต่อชั่วโมง(กม./ชม.) ส่งผลให้ต้องอพยพประชาชน 160,000 คน ขณะที่ไต้ฝุ่นโทราจิและซูเปอร์ไต้ฝุ่นอูซางิทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) สูง 3 เมตรและมีฝนตกหนัก และสิ้นสุดด้วยพายุโซนร้อนหมานยี่ ซึ่งขึ้นฝั่งในฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ด้วยความเร็วลมสูงสุด 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ถือเป็นเดือนที่มีสภาพอากาศเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับเป็นพายุลูกที่ 24 ประจำฤดูกาล และเป็นพายุไต้ฝุ่นลูกที่ 6 ที่เข้าโจมตีฟิลิปปินส์ภายในเวลาเพียง 30 วัน โดยทั่วไปแล้ว เดือนพฤศจิกายนจะมีพายุที่มีชื่อเพียง 3 ลูกทั่วทั้งประเทศ โดยหนึ่งลูกจะเข้าสู่สถานะซูเปอร์ไต้ฝุ่น โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยในอดีต

ผลกระทบที่รวมกันของพายุหลายลูกทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน โดยการประเมินเบื้องต้นของความสูญเสียทางเศรษฐกิจมีมูลค่าเกือบครึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะพายุจ่ามีและกองเร็ยก็คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 160 ราย มีผู้อพยพมากกว่า 600,000 ราย และส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 9 ล้านคนทั่ว 6 ภูมิภาคของประเทศ

“ไต้ฝุ่น” เป็นคำที่ใช้เรียกพายุหมุนเขตร้อน ซึ่งเป็นพายุโซนร้อนที่มีความเร็วลมอย่างน้อย 33 เมตรต่อวินาที ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ (พายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกหรือมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ จะเรียกว่าพายุเฮอริเคน)

ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงมากที่สุดในโลกต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วและภัยพิบัติทางธรรมชาติ และกำลังเผชิญกับผลกระทบร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ที่ตั้งของประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อพายุไต้ฝุ่น ภูเขาไฟ และแผ่นดินไหว การศึกษาของ WWA ยังพบว่าฟิลิปปินส์ “กำลังประสบกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกมากกว่าสามเท่า” และกำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนที่ร้ายแรงซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หลังจากประเมินผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อพายุเขตร้อนแต่ละลูก เช่น ไต้ฝุ่นแกมีและเฮอริเคนเฮลีน นักวิทยาศาสตร์จากฟิลิปปินส์ สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ได้ร่วมมือกัน เพื่อศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ climate change มีอิทธิพลต่อพายุโซนร้อนทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์หรือไม่ และมีผลมากน้อยแค่ไหน โดยมุ่งเน้นไปที่สองตัวชี้วัด คือ (1) ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และ (2) ความเร็วลมของพายุหมุนเขตร้อนตั้งแต่การก่อตัวจนถึงเข้าฝั่ง เพื่ออธิบายว่ากำลังของพายุเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

รูปที่ 1 แสดงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ขอบเขตการวิเคราะห์อยู่ในกรอบสีดำ และทางเดินพายุไซโคลนของพายุไต้ฝุ่นที่พัดถล่มฟิลิปปินส์
ที่มาภาพ: https://www.worldweatherattribution.org/climate-change-supercharged-late-typhoon-season-in-the-philippines-highlighting-the-need-for-resilience-to-consecutive-events/

ข้อค้นพบหลักจากการศึกษา

รายงาน Climate change supercharged late typhoon season in the Philippines, highlighting the need for resilience to consecutive events ที่เผยแพร่ทาง World Weather Attribution สรุปข้อค้นพบหลักดังนี้

พายุไต้ฝุ่น 6 ลูกติดต่อกันที่ส่งผลกระทบต่อเกาะลูซอนทางตอนเหนือระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ตอกย้ำถึงความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นติดต่อกัน เนื่องจากประชาชน 13 ล้านคนได้รับผลกระทบและบางพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 3 ครั้ง พายุที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เกิดความไม่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเปราะบางและความเสี่ยงของภูมิภาคแย่ลงอีก

ไต้ฝุ่นทั้ง 6 ลูกส่งผลกระทบต่อเกาะลูซอน ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความมั่งคั่งพอสมควร โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคกลาง แม้จะมีอัตราความยากจนของครัวเรือนต่ำที่สุดในประเทศ แต่เมืองต่างๆ บนเกาะยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วม โดยเฉพาะจากการแผ่ขยายของเมือง แม่น้ำตื้นเขิน และการตัดไม้ทำลายป่า

เพื่อประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์มีอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดพายุจำนวนมากหรือไม่ คณะผู้ศึกษาได้พิจารณาก่อนว่ามีแนวโน้มจะมีความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งพบว่า ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากที่พบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่า และความรุนแรงสูงสุดของความเป็นไปได้ที่จะเกิดพายุไต้ฝุ่นเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เมตร/วินาที (14.5 กม./ชม.)

ในการประเมินผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ คณะผู้ศึกษายังวิเคราะห์แบบจำลองสภาพภูมิอากาศด้วย ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์นั้นในแบบจำลองมีน้อยกว่าที่เกิดจริง เมื่อรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน ก็พบว่าความรุนแรงที่พบได้ในปี 2567 นั้นมีแนวโน้มมากขึ้นประมาณ 1.7 เท่า อันเนื่องจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก ความรุนแรงเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เมตร/วินาที (7.2 กม./ชม.) และคาดว่าการเปลี่ยนแปลงจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีภาวะโลกร้อนมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าในโลกที่ร้อนขึ้น 2.6 องศาเซลเซียส ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 2 เมตร/วินาที ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะที่คาดการณ์ไว้ภายในสิ้นศตวรรษตามนโยบายที่ใช้ในปัจจุบัน เนื่องจากแบบจำลองทั้งหมดประเมินการเปลี่ยนแปลงจากที่เกิดจริงต่ำเกินไปอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขเหล่านี้จึงถือเป็นการประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากพายุใหญ่ 6 ลูกที่ส่งผลกระทบต่อฟิลิปปินส์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม-กลางเดือนพฤศจิกายน 2567 มี 3 ลูกที่ขึ้นฝั่งเป็นพายุไต้ฝุ่นใหญ่ (หมายถึงระดับ 3 ขึ้นไป) ดังนั้นคณะผู้ศึกษาจึงทำหารประเมินด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้โอกาสเกิดพายุไต้ฝุ่นใหญ่อย่างน้อย 3 ลูกขึ้นฝั่งในฟิลิปปินส์ในหนึ่งปีหรือไม่ จากแบบจำลองทางสถิติ ก็พบว่าในสภาพอากาศปัจจุบัน อุณหภูมิที่สูงขึ้น 1.3 องศาเซลเซียส คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ทุกๆ 15 (6.5-45) ปี ซึ่งถี่กว่าปกติถึง 25% หากไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น 2 องศาเซลเซียสจากสมัยก่อนอุตสาหกรรม ก็คาดว่าจะมีพายุไต้ฝุ่นใหญ่อย่างน้อย 3 ลูกเข้าถล่มภายในปีเดียวในทุกๆ 12 ปี

พายุ 6 ลูกที่กระทบทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก และเป็นการยากที่จะศึกษาเหตุการณ์ดังกล่าวโดยตรงเนื่องจากเกิดขึ้นได้ยากมาก โดยรวมแล้ว ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสภาวะที่เอื้อต่อการพัฒนาพายุไต้ฝุ่นติดต่อกันในภูมิภาคนี้ได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากภาวะโลกร้อน และโอกาสที่ไต้ฝุ่นลูกใหญ่หลายลูกจะขึ้นฝั่งจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปตราบเท่าที่ยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป

การเกิดไต้ฝุ่นต่อเนื่องกันเป็นหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันในปีนี้ เช่น น้ำท่วมในภูมิภาคซาเฮล(ประกอบด้วยประเทศต่างๆ ได้แก่ เซเนกัล มอริเตเนีย มาลี บูร์กินาฟาโซ แอลจีเรีย ไนเจอร์ ไนจีเรีย ชาด แคเมอรูน ซูดาน และเอริเทรีย ) และพายุเฮอริเคนเฮลีนและมิลตัน เหตุการณ์สุดขั้วต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้ประชากรฟื้นตัวได้ยาก เมื่อพิจารณาถึงโอกาสที่เหตุการณ์รวมจะเพิ่มขึ้นเมื่อสภาพอากาศร้อนขึ้น ชุมชนจึงต้องดำเนินการเพื่อให้มีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น

ฟิลิปปินส์กำลังพัฒนากรอบการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติเชิงรุก โดยมีการเสนอกฎหมายเพื่อกำหนดการดำเนินการที่คาดการณ์ไว้อย่างเป็นทางการผ่านState of Imminent Disaster เพื่อให้สามารถจัดสรรทรัพยากรล่วงหน้าได้ แนวทางที่เป็นนวัตกรรมนี้ช่วยเสริมการตอบสนองฉุกเฉินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม พายุไต้ฝุ่นที่ต่อเนื่องกันตอกย้ำถึงความท้าทายเป็นพิเศษในการดูแลให้มีความต่อเนื่องและการฟื้นฟู ท่ามกลางความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น