ASEAN Roundup ประจำวันที่ 15-21 ธันวาคม 2567
-
อินโดนีเซียใช้ภาษีดึงผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก 3 ราย
อินโดนีเซียลดภาษีซื้อ EV เหลือ 3%
อินโดนีเซียรุกศูนย์กลางการผลิตรถ EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกสามรายมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งโรงงานยานยนต์ในอินโดนีเซีย โดยเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหลัก
ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นในทศวรรษหน้า ในปี 2565 ตลาดมีมูลค่าประมาณ 533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 20.96% การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ได้รับการสนับสนุนจากเป้าหมายอันทะเยอทะยานของรัฐบาลในการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ ภายในปี 2568 อินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 2.1 ล้านคัน และรถยนต์ไฟฟ้า 400,000 คันบนท้องถนน โดยที่ 20% ผลิตในประเทศ ภายในปี 2573 เป้าหมายของรัฐบาลจะเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 2.2 ล้านคัน และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 13 ล้านคัน
ในการแถลงข่าวเกี่ยวกับแพ็คเกจนโยบายเศรษฐกิจในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันจันทร์(16 ธ.ค.2567) รัฐมนตรีอุตสาหกรรมได้เปิดเผยชื่อของผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกสามราย คือ Citroen, BYD และ GAC AION
“บริษัททั้งสามนี้จะได้รับประโยชน์จากภาษีนำเข้าที่เป็นศูนย์และ PPnBM DTP ในอัตรา 15%”
PPnBM คือ ภาษีการขายสินค้าฟุ่มเฟือย ที่เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ DTP คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งรัฐบาลใช้เป็นสิ่งจูงใจให้กับผู้บริโภคและอุตสาหกรรมการผลิตอีก ด้วยสิ่งจูงใจสำหรับผู้บริโภค
การ์ตาซาสมิตา ชี้แจงว่า การให้สิ่งจูงใจแก่ผู้ผลิตรถยนต์ฝรั่งเศสและผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีนสองรายเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการแสดงให้เห็นถึงกฎระเบียบด้านการแข่งขันของอินโดนีเซีย
“กฎระเบียบเหล่านั้นรวมถึงสิ่งจูงใจและมาตรการกระตุ้น” การ์ตาซัามิตาระบุ และย้ำว่า สิ่งจูงใจดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการทำให้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รัฐบาลอินโดนีเซียใช้มาตรการด้านภาษีเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนใชรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจะเก็บภาษีในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในอัตรา 3% จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต
สิทธิภาษีที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 นี้ยังสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ปัจจุบัน รถยนต์ไฮบริดต้องเสียภาษีการขายสินค้าฟุ่มเฟือย (PPnBM) ในอัตรา 6-12% ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี(BEV) ได้รับประโยชน์จากสิ่งจูงใจต่างๆ รวมถึง PPnBM เป็นศูนย์
รัฐบาลยังเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 10% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ส่วนประกอบภายในประเทศขั้นต่ำที่ 40%
ฮาร์ตาร์โตให้ข้อมูลว่า มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ประมาณ 80,000 คันตั้งแต่ต้นปี
“เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์สันดาปซึ่งมีการใช้งานประมาณ 850,000 คัน ดังนั้น (การใช้รถยนต์ไฟฟ้า) จึงคิดเป็นประมาณ 10% เท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องการเพิ่มจำนวน (ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ)” ฮาร์ตาร์โตกล่าวเมื่อวันอังคาร(17 ธ.ค.2567)
นอกจากนี้ฮาร์ตาร์โต้กล่าวว่า การจัดหาสิทธิทางภาษ๊เพื่อจูงใจให้ใช้ EV คาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น อุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น อินโดนีเซียมีบริษัทที่ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในโมราวาลี ทางตอนกลางของสุลาเวสี
หากสิทธิภาษีจูงให้หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็จะมีผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ รัฐมนตรีกล่าวเสริม
“หากเราทำแบบนั้นได้ เราก็สามารถบรรลุข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนในประเทศที่กำหนดไว้ 60% ซึ่งก็คือเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้เพื่อส่งเสริมให้เพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และส่งเสริมความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้า”
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา อากัส กูมิวัง การ์ตาซาสมิตา รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศกระทรวงเรื่องสิทธิภาษีของรัฐบาล ซึ่งจะครอบคลุมภาระภาษีฟุ่มเฟือย 3% สำหรับรถยนต์ไฮบริด เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลใช้เงินถึง 840 พันล้าน
การ์ตาซาสมิตา กล่าวว่าในกฎกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2564 ว่าด้วยยานยนต์สี่ล้อที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ รัฐบาลได้กำหนดสัดส่วนของส่วนประกอบในท้องถิ่น ที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฮบริดจะต้องปฏิบัติตามจึงจะเข้าร่วมโครงการได้
อินโดนีเซียออกแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 51.65 พันล้านดอลลาร์ปี 2568 ชดเชยขึ้น VAT

รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ศรี มุลยานี อินทราวาตี กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีการจัดทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้การสนับสนุนที่สมดุล โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในสังคม เพื่อดูแลเสถียรภาพทางการเงินแม้จะมีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มก็ตาม
ส่วนสำคัญของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งมีมูลค่า 265.6 ล้านล้านรูเปียะฮ์ จะมุ่งไปสู่สิทธิประโยชน์ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคส่วนต่างๆ ซึ่งรวมถึงวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดกลาง (MSME) อาหารหลักที่จำเป็น การศึกษา การดูแลสุขภาพ การขนส่ง พลังงาน ที่อยู่อาศัยราคาประหยัด และบริการทางการเงิน สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผัก และนม จะยังคงได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม สินค้าพรีเมียม เช่น เนื้อวากิว ผลไม้นำเข้า และบริการฟุ่มเฟือย เช่น การดูแลสุขภาพและการศึกษาระดับไฮเอนด์ จะถูกเก็บภาษีในอัตราใหม่ 12% ตั้งแต่ปี 2568
“รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรได้ตัดสินใจที่จะไม่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าจำเป็นที่จำเป็นสำหรับประชาชน ค่าใช้จ่ายของนโยบายนี้อยู่ที่ประมาณ 265.6 ล้านล้านรูเปียะฮ์” ศรี มุลยานี กล่าวระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567
รัฐบาลยังได้จัดสรรเงินอุดหนุนและการชดเชยพลังงานจำนวน 394 ล้านล้านรูเปียะฮ์ ซึ่งจะครอบคลุมต้นทุนเชื้อเพลิง ไฟฟ้า และ LPG (ก๊าซปิโตรเลียมเหลว) ที่ได้รับการอุดหนุน นอกจากนี้ จะมีการจัดสรรเงิน 38 ล้านล้านรูเปียะฮ์ให้กับการอุดหนุนดอกเบี้ยสำหรับโครงการสินเชื่อรายย่อยของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการขยายนโยบายภาษีเงินได้ขั้นสุดท้าย 0.5% สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง รัฐบาลจัดสรรเงินจำนวน 129 ล้านล้านรูเปียะฮ์ให้กับโครงการช่วยเหลือสังคม ซึ่งจะรวมถึงโครงการ Family Hope Program ความช่วยเหลือด้านอาหาร โครงการ Indonesia Smart Program เงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันสุขภาพภายใต้โครงการประกันสุขภาพแห่งชาติ และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์การว่างงานได้ง่ายขึ้นสำหรับคนงานที่ถูกเลิกจ้าง
ในภาคยานยนต์ รัฐบาลจะมีมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริดจะได้รับการยกเว้นภาษีจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยลง 3% สำหรับรถยนต์ไฮบริด
สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น รัฐบาลจะให้การยกเว้นภาษี การสนับสนุนทางการเงิน และเงินอุดหนุน 50% สำหรับการประกันอุบัติเหตุในที่ทำงาน เพื่อส่งเสริมการสร้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคส่วนนี้
ในภาคที่อยู่อาศัย รัฐบาลจะขยายเวลาการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการซื้อบ้าน “ภาคที่อยู่อาศัยไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบทวีคูณต่อเศรษฐกิจ(multiplier effect)อย่างมีนัยสำคัญ การสร้างงาน และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ศรี มุลยานีกล่าว
ในแง่ของการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอัตรา 12% จะเน้นที่สินค้าและบริการฟุ่มเฟือยเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น เนื้อพรีเมี่ยม เช่น เนื้อวากิวและโกเบ ซึ่งมีราคาสูงถึง 3 ล้านรูเปียะฮ์ต่อกิโลกรัม จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในขณะที่เนื้อวัวราคาที่หาซื้อได้ง่ายกว่า ซึ่งมีราคาระหว่าง 150,000 รูเปียะฮ์ถึง 200,000 รูเปียะฮ์ต่อกิโลกรัม จะยังคงได้รับการยกเว้น ในทำนองเดียวกัน บริการด้านสุขภาพและการศึกษาระดับบนจะถูกเก็บภาษี ในขณะที่บริการขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนทั่วไปจะไม่ถูกเก็บภาษี
“แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมนี้จัดทำเพื่อดูแลเศรษฐกิจ ปกป้องกลุ่มที่เปราะบางที่สุด และส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว” ศรี มุลยานี กล่าว
มาเลเซียเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกผลิตในประเทศ

อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่ผลิตในประเทศอย่างเป็นทางการในงานเปิดตัวเมื่อวันจันทร์(16 ธ.ค.2567)
ภายใต้โครงการริเริ่มการเปลี่ยนผ่านอย่างมีความรับผิดชอบ รถ EV จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของมาเลเซีย โดยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และรักษาการเติบโตของการคมนาคมสีเขียว พลังงานทดแทน และโซลูชั่นการจัดเก็บพลังงาน อันวาร์กล่าว
อันวาร์ย้ำว่า มาเลเซียจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพลังงานกับความมั่นคง ราคาที่สามารถจ่ายได้ และความยั่งยืน
อันวาร์กล่าวว่า มาเลเซียมีพิมพ์เขียวการสัญจรคาร์บอนต่ำ(Low Carbon Mobility Blueprint)เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันจัดเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รายใหญ่อันดับสอง
“กรอบการทำงานของเราประกอบด้วยประเด็นสำคัญ 4 ประการที่เรามุ่งเน้น และการเปิดตัว SUVEV คันแรกของ Proton ในวันนี้นั้นเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ทันการณ์อย่างมาก และมันจะเป็นตัวเร่งที่จะขับเคลื่อนเราไปสู่ยุคถัดไปของการสัญจรแบบคาร์บอนต่ำ” อันวาร์กล่าว
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตในประเทศคันแรกของประเทศ ผลิตโดยโปรตอน(Proton) ผู้ผลิตรถยนต์มาเลเซีย หลังจากที่รัฐบาลให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน
Proton ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย Geely ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ของจีน ได้เปิดตัว e.MAS 7 SUV ที่ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศแห่งมาเลเซียในกรุงกัวลาลัมเปอร์ e.MAS 7 ที่ถูกที่สุดจะมีราคาอยู่ที่ 105,800 ริงกิตมาเลเซีย ในขณะที่รุ่นท็อปสุดจะขายในราคา 123,800 ริงกิตมาเลเซีย
“หวังว่าโมเดล e.MAS 7 EV จะสามารถส่งเสริมความสามารถของเราในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม กล่าวในการเปิดตัวรถยนต์
รถยนต์ที่ผลิตโดย BYD ของจีนและแบรนด์ Tesla ของ Mr Elon Musk มีจำหน่ายแล้วในมาเลเซีย แต่รัฐบาลได้ประกาศแผนสำหรับ EV ที่จะสร้างยอดขายรถยนต์ใหม่ 20% ภายในปี 2573
Geely ถือหุ้น 49.9% ใน Proton และในปี 2566 ได้ประกาศการลงทุนมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโรงงานของบริษัทในเมืองตันหยง มาลิม ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปทางเหนือ 50 กิโลเมตร
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยังกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้า e.MAS 7 ของโปรตอนจะใช้เป็นรถยนต์อย่างเป็นทางการสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนในปีหน้า
“e.MAS 7 จะเป็นรถยนต์อย่างเป็นทางการของเราสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนในปีหน้า” อันวาร์กล่าว
มาเลเซียทำหน้าที่ประธานอาเซียนในปีหน้า ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่การไม่แบ่งแยกและความยั่งยืน
อันวาร์กล่าวอีกว่า มาเลเซียหวังที่จะเป็นตัวอย่างที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความสามารถในการผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์
ก่อนหน้านี้ มาเลเซียเคยสนับสนุนผู้ผลิตรถยนต์ EV ที่มีโรงงานในมาเลเซียให้พิจารณาผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางในการผลิตและให้บริการตลาด EV ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเป็น 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (11.77 พันล้านดอลลาร์ริงกิต) ภายในปี 2570
เวียดนามเผยสิทธิประโยชน์โครงการพลังลม-โซลาร์

ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่มีระบบกักเก็บพลังงานที่เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติจะได้รับสิทธิพิเศษเชิงนโยบายหลายประการ รวมถึงการให้ความสำคัญกับพลังงานจากโครงการเหล่านี้ และมีการเสนอสิ่งจูงใจสำหรับโครงการไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียว
เพื่อดึงดูดการลงทุนด้านพลังงานลมนอกชายฝั่ง กระทรวงฯเสนอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้พื้นที่ทางทะเลในระหว่างการก่อสร้าง โครงการจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ที่ดินและค่าเช่า 50% เป็นเวลา 9 ปีหลังจากเริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ยังรับประกันปริมาณไฟฟ้าตามสัญญาระยะยาว80% ระยะเวลาสูงสุด 12 ปี ขั้น โดยมีเงื่อนไขว่าไฟฟ้าจะขายให้กับระบบโครงข่ายแห่งชาติ
วิสาหกิจที่เป็นของรัฐทั้งหมดและลงทุนในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งสามารถได้รับสินเชื่อที่สูงกว่าวงเงินสูงสุดที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม นโยบายการลงทุนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งจะต้องได้รับการอนุมัติก่อนวันที่ 1 มกราคม 2574 เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เหล่านี้
รัฐวิสาหกิจที่ถือมีทุนก่อตั้ง 100% ได้รับการยกเว้นข้อกำหนดการค้ำประกันการลงทุนภายใต้กฎหมายว่าด้วยการลงทุน และอาจได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่าเกณฑ์ตามกฎหมายภายใต้กฎหมายว่าด้วยสถาบันสินเชื่อ
ภายใต้แผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 8 เวียดนามตั้งเป้าที่จะใช้พลังงานลมนอกชายฝั่ง 6,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 และ 30,000–50,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2593 เพื่อเป็นศูนย์กลางพลังงานลมนอกชายฝั่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจุบันยังไม่มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ดำเนินการในประเทศ
ร่างกฎหมายยังมีข้อกำหนดในการคัดเลือกนักลงทุนต่างชาติเพื่อดำเนินโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในแง่ของกำลังการผลิต
นักลงทุนต่างชาติจะต้องดำเนินโครงการอย่างน้อยหนึ่งโครงการที่มีขนาดใกล้เคียงกันในเวียดนามหรือที่อื่น ๆ และมีสินทรัพย์สุทธิที่ตรวจสอบแล้วทั้งหมดสูงกว่าการลงทุนโครงการในช่วงสามปีที่ผ่านมา โครงการเหล่านี้ต้องมีส่วนร่วมของวิสาหกิจเวียดนามด้วย โดยนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ถือหุ้นไม่เกิน 65% ของทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุน
นอกจากนี้ โครงการจะต้องสอดคล้องกับข้อตกลงของกระทรวงกลาโหม กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และกระทรวงการต่างประเทศ
ร่างกฎหมายสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัย การพัฒนา และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในภาคพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในเวียดนาม ซึ่งรวมถึงโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญสำหรับการผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ กังหันลม และอุปกรณ์แปลงพลังงาน
โครงการในหมวดหมู่พลังงานใหม่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดจึงจะมีสิทธิ์ได้รับสิ่งจูงใจ ซึ่งรวมถึงการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดจากหรือมีส่วนผสมของไฮโดรเจนสีเขียว แอมโมเนียสีเขียว ที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับโครงข่ายแห่งชาติ และเป็นโครงการแรกในประเภทพลังงานใหม่แต่ละประเภท
กฎหมายไฟฟ้าให้คำจำกัดความพลังงานใหม่ว่าเป็นไฟฟ้าที่เกิดจากไฮโดรเจนสีเขียว แอมโมเนียสีเขียว หรือแหล่งพลังงานที่เกิดขึ้นใหม่อื่นๆ ส่วนพลังงานหมุนเวียนรวมถึงไฟฟ้าที่ได้มาจากแหล่งปฐมภูมิ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม มหาสมุทร พลังงานน้ำ ชีวมวล และพลังงานขยะ ไม่รวมขยะจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่จัดว่าเป็นอันตราย
กฎหมายว่าด้วยไฟฟ้าได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน และมีกำหนดมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568
มาเลเซียประธานอาเซียนปี 2568 มุ่งโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน-การก้าวสู่ดิจิทัล

มาเลเซียตั้งเป้าที่จะให้ความสำคัญกับระบบส่งไฟฟ้าและระบบดิจิทัลของอาเซียนเป็นอันดับต้นๆในฐานะประธานอาเซียนในปีหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสนับสนุนการเติบโตของการค้าภายในอาเซียน นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ เสรี อันวาร์ อิบราฮิม กล่าวและว่า เขาได้มีการหารือกับผู้นำคนสำคัญจากหลายประเทศในเรื่องนี้
“ผมได้หารือกับผู้นำของเวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และบรูไน และผมบอกว่า ความสำคัญหลักของเราคือโครงข่ายไฟฟ้าของอาเซียน (ASEAN power grid)” นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 21 ธันวาคม 2567
อันวาร์ได้พบปะกับสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับทิศทางของประเทศเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล ประเด็นต่างๆ ในปัจจุบันและอนาคตของประเทศ
อันวาร์ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยกล่าวว่า โครงข่ายไฟฟ้าของอาเซียนซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งพลังงานทดแทนจากลาวและไทยด้วย ประสบความยากลำบากในขั้นต้น อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่าต้นทุนจะทวีคูณหากไม่ได้ใช้งาน
ในเดือนสิงหาคมของปีนี้ มีรายงานว่าการเจรจาโครงการบูรณาการพลังงานลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาไฟฟ้าสูงถึง 100 เมกะวัตต์จากลาวผ่านทางไทยและมาเลเซีย ประสบความล้มเหลว
อันวาร์เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของมาเลเซียในการยกระดับการดำเนินการด้านดิจิทัล เพื่อสร้างอาเซียนให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลเชิงกลยุทธ์และการแข่งขัน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการค้าภายในอาเซียน
การศึกษาคาดว่าเศรษฐกิจดิจทัลของอาเซียจะขยายตัวโดยมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570 จาก 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
“เราต้องการเพิ่มการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน เนื่องจากพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์มีความปั่นป่วน ดังนั้น เราต้องคิดถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศด้วยการดูแลให้ภาวะเศรษฐกิจที่มั่นคงและแข็งแกร่ง รวมไปถึงเครือข่ายการลงทุนในประเทศให้อยู่ในระดับสูง” อันวาร์กล่าว
ภายใต้แนวคิด “ความทั่วถึงและความยั่งยืน Inclusivity and Sustainability” มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โปรแกรม และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนมากกว่า 300 รายการตลอดปี 2568
มาเลเซียเคยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนมาแล้วในปี พ.ศ. 2520, 2540, 2548 และ 2558