
มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ (11 ธันวาคม 2567) – การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะยังคงมีเสถียรภาพในปีนี้และปีหน้า แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คนใหม่นั้น น่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มระยะยาวของภูมิภาคนี้ ตามรายงานฉบับใหม่ของธนาคารพัฒนาเอเชีย(Asian Development Bank-ADB) หรือ เอดีบี
รายงานการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียประจำปี (Asian Development Outlook: ADO) ฉบับล่าสุดที่เผยแพร่ในวันนี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า การคลัง และการย้ายถิ่นฐานของสหรัฐอมเริกาอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตและการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อในประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิก และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สําคัญเหล่านี้ คาดว่าจะใช้เวลาพอสมควรและดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น ผลกระทบต่อภูมิภาคนี้น่าจะเริ่มปรากฏให้เห็นเริ่มจากปี 2569 เป็นต้นไป และอาจเห็นได้เร็วขึ้นหากการนำนโยบายดังกล่าวไปปฏิบัติเร็วกว่าที่คาดไว้ หรือหากบริษัทในสหรัฐอเมริกาเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่อาจเกิดขึ้น
รายงานระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 4.9%ในปี 2567 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของเอดีบีในเดือนกันยายนที่ 5.0% เล็กน้อย โดยคาดการณ์การเติบโตในปีหน้านั้น ได้ถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 4.8% จาก 4.9% เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศในเอเชียใต้มีแนวโน้มอ่อนแอลง ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อในภูมิภาคนั้น ได้ถูกปรับลดลงจาก 2.8% ในปีนี้ มาอยู่ที่ 2.7% และลดลงจาก 2.9% มาอยู่ที่ 2.6% ในปีหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวลดลง
“อุปสงค์ภายในประเทศโดยรวมและการส่งออกที่แข็งแกร่งนั้น ยังคงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของเราอย่างต่อเนื่อง” นายอัลเบิร์ต พาร์ค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอดีบี กล่าว “อย่างไรก็ตาม นโยบายที่คาดว่าจะดำเนินการโดยรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกานั้น อาจชะลอการเติบโตของจีนได้ในระดับหนึ่ง และผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกหลังจากปีหน้าด้วยเช่นกัน”
เอดีบียังคาดว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายสหรัฐอเมริกาที่แข็งกร้าวขึ้นอาจส่งผลให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลกลดลง 0.5% ในอีก 4 ปีข้างหน้าภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง ในขณะเดียวกันนโยบายภาษีนำเข้าอาจทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศลดลงและเปลี่ยนสู่การผลิตภายในประเทศที่มีราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ การย้ายถิ่นฐานที่ลดลงอาจทำให้อุปทานในตลาดแรงงานสหรัฐอเมริกาตึงตัว ทั้งกำแพงภาษีนำเข้าและการสกัดกั้นการอพยพย้ายถิ่นกอรปกับแนวโน้มการขยายตัวทางการคลังภายใต้การบริหารของทรัมป์อาจก่อให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออีกครั้งในสหรัฐอเมริกา
แม้จะมีการคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะภาษีนำเข้า ผลกระทบดังกล่าวต่อประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกยังอยู่ในวงจำกัดแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของจีนอาจจะชะลอตัวลงเพียงร้อยละ 0.3 ต่อปีไปจนถึงปี 2571 แม้จะไม่มีนโยบายสนับสนุนออกมาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ผลกระทบทางลบที่ส่งผลต่อภูมิภาคผ่านช่องทางการค้าและช่องทางต่างๆ น่าจะได้รับการชดเชยจากการย้ายฐานการผลิตดจากจีนไปสู่ประเทศอื่นๆ
นอกเหนือจากความไม่แน่นอนอันสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกา ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกยังเผชิญความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตและเงินเฟ้อได้ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนไวของจีน
ในระยะสั้น แนวโน้มเศรษฐกิจสำหรับประเทศในภูมิภาคค่อนข้างมั่นคง อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 4.8% ในปีนี้ และ 4.5% ในปีหน้า ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียคาดว่าจะขยายตัวลดลงจาก 7.0% เหลือ 6.5% ในปีนี้ และจาก 7.2% ในปีนี้เป็น 7.0% ในปีหน้า เนื่องจากการลดลงที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของการลงทุนภาคเอกชนและความต้องการซื้อบ้าน
สำหรับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของคอเคซัสและเอเชียกลางคาดว่าจะปรับขึ้นเป็น 4.9% ในปีนี้ และ 5.3%ในปีหน้า จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 4.7% และ 5.2% ตามลำดับ ส่วนการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิกจะยังคงไว้ในระดับเดิมที่ 3.4% ในปี้ และ 4.1% ในปีหน้า
อาเซียนโต 4.7% ปี 2567
แนวโน้มการเจริญเติบโตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะอยู่ที่ 4.7% ในปีนี้ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านั้นที่ 4.5% เนื่องจากการผลิตเพื่อส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐที่แข็งแกร่งขึ้น ส่วนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 4.7% เช่นเดิม
ภาคการผลิตและการค้าของอนุภูมิภาคได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่ดีขึ้น โดยผู้ส่งออกเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้รับผลบวกจากยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้นในมาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และการลงทุนภาครัฐที่ต่อเนื่องขณะที่เวียดนามมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็ยังคงเป็นไปตามการคาดการณ์การเติบโตก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การค้าที่ตลาดแยกออกเป็นกลุ่มและเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น ไต้ฝุ่นยางิ และพายุโซนร้อนจ่ามี ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเติบโต โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงผ่อนคลายทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากราคาอาหารและน้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับลดลงเป็น 3.0% จาก 3.3% ในปี 2567 และ 3.1% จาก 3.2% ในปี 2568 การคาดการณ์ใน ADO กันยายน 2024 มีเพียงการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับกัมพูชาและเมียนมาเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงในปี 2567 ในทางตรงกันข้ามแรงกดดันด้านราคาคาดว่าจะผ่อนคลายลงในบรูไนดารุสซาลาม สปป. ลาว มาเลเซีย และไทยในปี 2568 ในประเทศส่วนใหญ่ อัตราเงินเฟ้อที่อ่อนลงทำให้มีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ภายหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน
อินโดนีเซียโต 5% ปีนี้และปีหน้า
การคาดการณ์การเติบโตของอินโดนีเซียในปี 2567 และ 2568 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 5.0% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการลงทุนทยอยฟื้นตัว
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียขยายตัว 5.0% ในไตรมาสที่ 3 และเฉลี่ย 5.0% ใน 3 ไตรมาสแรก ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ ADO ในเดือนกันยายน การบริโภคภาคเอกชนยังแข็งแกร่ง ขณะที่การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 โดยได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาในเมืองหลวงใหม่และการก่อสร้างทางด่วน การส่งออกสุทธิมีส่วนต่อการเติบโตเล็กน้อยเนื่องจากการนำเข้าเติบโตเร็วขึ้นในไตรมาสที่ 3 โดยได้แรงหนุนจากกิจกรรมภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การเลือกตั้งระดับภูมิภาคจะสนับสนุนการเติบโตในไตรมาสที่ 4 ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 6.0% ในเดือนกันยายน เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความเสี่ยงที่ไม่ร้ายแรงต่อเสถียรภาพด้านราคา
อัตราเงินเฟ้อในอินโดนีเซียยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของรัฐบาลและธนาคารกลางอินโดนีเซีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นในวงกว้างมากขึ้นจากแนวโน้มเสถียรภาพราคาที่จะสนับสนุนกำลังซื้อของครัวเรือน อัตราเงินเฟ้อลดลงจาก 2.6% ในเดือนมกราคมเป็น 1.7% ในเดือนตุลาคม เงินเฟ้อเฉลี่ย 2.5% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นค่ากลางของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ 1.5% – 3.5% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงทรงตัวในเดือนกันยายนและตุลาคม การฟื้นตัวของราคาอาหารหลังการเก็บเกี่ยวและราคาทองคำที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนอัตราเงินเฟ้อ ADO ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อปี 2567 ลงจาก 2.8% เป็น 2.4%
มาเลเซียขยายตัว 5.0% ปีนี้
สำหรับมาเลเซีย ADB ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 5.0% จาก 4.5% และคงไว้ที่ 4.6% ในปี 2568 เศรษฐกิจของมาเลเซียเติบโตดีกว่าคาดเนื่องจากการส่งออก การลงทุนคงที่ และการใช้จ่ายภาครัฐพุ่งสูงขึ้นในไตรมาสที่ 3
การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 5.2% ในเดือนมกราคมถึงกันยายน จากที่หดตัว 8.4% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากสหรัฐฯ ไทเป จีน อาเซียน และอินเดีย การส่งออกที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อเนื่องไปยังกิจกรรมการผลิต ซึ่งเติบโตอย่างมากในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 กิจกรรมการก่อสร้างขยายตัวเกือบ 20% ในไตรมาสที่ 3 โดยได้แรงหนุนจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่สำคัญ เช่น การสร้างถนนเชื่อมซาราวัก-ซาบาห์ระยะที่ 1 และทางหลวงแพนบอร์เนียว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้นและสภาวะตลาดแรงงานที่เอื้อต่อการบริโภคภาคเอกชน
อัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียในช่วง 9 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางมาเลเซียที่ 2.0%-3.5% อัตราเงินเฟ้อของอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งคิดเป็น 29.8% ของ CPI เฉลี่ยอยู่ที่ 1.8% ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน ซึ่งต่ำกว่า 5.5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ในบรรดาสินค้าโภคภัณฑ์ อัตราเงินเฟ้อของที่อยู่อาศัย น้ำ ไฟฟ้า ก๊าซ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาก เฉลี่ย 3.0% จาก 1.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำโดยเฉลี่ย 1.8% แต่ ADO ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2567 ลงจาก 2.4% เป็น 2.2% และจาก 2.7% เป็น 2.6% ในปี 2568 โดยอาจมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากการลดเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงตามแผนในช่วงหลังของปี
ฟิลิปปินส์เงินเฟ้ออ่อนตัวลงมาที่ 3.3% ในปีนี้
การคาดการณ์การเติบโตของฟิลิปปินส์ไม่เปลี่ยนแปลงในปี 2566 และ 25685 โดย GDP เฉลี่ยอยู่ที่ 5.8% ใน 3 ไตรมาสแรก การบริโภคและการลงทุนในครัวเรือนยังคงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 3 อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นปานกลางและการผ่อนคลายนโยบายการเงินน่าจะสนับสนุนการเติบโตต่อไป ในด้านอุปทาน ภาคบริการ การก่อสร้าง และการผลิตที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีส่วนต่อการเติบโตโดยรวม ภาคบริการต่าง ๆ จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่โดดเด่น โดยภาคการค้าปลีก การท่องเที่ยว และเทคโนโลยีสารสนเทศ คือการบริการบริการบริหารจัดการระบบงานธุรกิจ เป็นภาคหลักที่มีส่วนร่วม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(Puechasing’s Manager Index- PMI)ของภาคการผลิตยังคงสูงกว่าระดับ 50(ดัชนีมีค่ามากกว่า 50 หมายถึง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวจากระดับปัจจุบัน)ที่ 53.8 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 2 ปี โดยมีการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในด้านการผลิตและการจ้างงาน โครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการก่อสร้างภาคเอกชนที่ขยายตัวรวดเร็ว
ในฟิลิปปินส์ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2% ในช่วง 11 เดือนแรก เทียบกับ 6.2% ในช่วงเดียวกันของปี 2566 การลดภาษีนำเข้าข้าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ช่วยลดอัตราเงินเฟ้อด้านอาหาร อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารอยู่ที่ 3.5% ในเดือนพฤศจิกายน และเฉลี่ย 4.6% ในช่วง 11 เดือนแรก อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับปานกลางโดยเฉลี่ย 3.0% ในช่วงเวลาเดียวกัน คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในเป้าหมาย 2% ถึง 4% ของธนาคารกลาง ซึ่งช่วยให้มีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงรวม 0.50% ในเดือนสิงหาคมและตุลาคม 2567 การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2567 มีการปรับลดลงเหลือ 3.3% จาก 3.6% และคงไว้ที่ 3.2% ในปี 2568
สิงคโปร์การส่งออกอิเล็กทรอนิคส์แข็งแกร่ง
ในสิงคโปร์ การคาดการณ์ GDP ในปี 2024 ปรับขึ้นเป็น 3.5% จาก 2.6% และคงไว้ที่ 2.6% ในปี 2025 การเติบโตด้านการผลิตที่ดีกว่าที่คาดไว้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตที่แข็งแกร่งของสิงคโปร์ในช่วงที่เหลือของปี 2567 ซึ่งนำโดยผลผลิตทางอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง ภาคการผลิตดีดตัวขึ้น 11.0% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 3 โดยพลิกกลับจากการหดตัว 1.1% ในไตรมาสที่ 2 ท่ามกลางการขยายตัวของผลผลิตในเกือบทุกกลุ่มการผลิต ดัชนี PMI ของภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในขอบเขตขยายตัวในเดือนตุลาคมที่ 50.8 โดยได้แรงหนุนจากการผลิตที่เพิ่มขึ้น คำสั่งซื้อใหม่ และคำสั่งซื้อการส่งออกใหม่ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคการผลิตยังคงเป็นบวก แม้จะมีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน การเติบโตของการก่อสร้างในช่วงไตรมาสดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการก่อสร้างของภาครัฐ การส่งออกในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังคงผลักดันการเติบโตของการส่งออก
ไทยเติบโตจากภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบ
อัตราการเติบโตของ GDP ประเทศไทยปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 2.6% สะท้อนการใช้จ่ายภาครัฐและการฟื้นตัวของการส่งออกที่แข็งแกร่งเกินคาด และคงไว้ที่ 2.7% ในปี 2568 เศรษฐกิจขยายตัวเร็วขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตที่สูงขึ้น การใช้จ่ายภาครัฐ การท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง การขยายการผลิต และการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้น การบริโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 6.3% และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 25.9% ในไตรมาสที่ 3 อัตราการเติบโตที่สูงมากส่วนหนึ่งสะท้อนถึงการนำงบประมาณปีงบประมาณ 2567 มาใช้ล่าช้า โดยมีการเบิกจ่ายออกไปในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ นโยบายการคลัง รวมถึงโครงการแจกเงินสด จะยังคงสนับสนุนการเติบโตต่อไป การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 8.9% โดยการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 8.3% นำโดยการส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สินค้าอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เครื่องปรับอากาศ และเครื่องจักร) การส่งออกทองคำก็ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน การส่งออกบริการเพิ่มขึ้น 21.9% จากการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งขึ้น
เวียดนามโตโดดเด่นปีนี้และปีหน้า
การคาดการณ์การเติบโตของเวียดนามในปี 2567 มีการเพิ่มขึ้นเป็น 6.4% จาก 6.0% และสำหรับปี 2568 ปรับขึ้นเป็น 6.6% จาก 6.2% จากการค้าที่แข็งแกร่ง การฟื้นตัวของการผลิตที่เน้นการส่งออก และมาตรการกระตุ้นทางการคลังที่กำลังดำเนินอยู่ได้ผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามเป็น 6.8% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการผลิตและการค้าที่เน้นการส่งออกได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวได้ดี และคาดว่าจะสนับสนุนการเติบโตของ GDP ต่อไป การลงทุนภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นและนโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลายคาดว่าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศต่อไป แม้ได้ผลกระทบร้ายแรงที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นยางิในหลายพื้นที่ของประเทศ แต่การตอบสนองอย่างรวดเร็วของรัฐบาลและความพยายามในการฟื้นฟูจำกัดผลกระทบต่อการเติบโต
ADO ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์ ไทย และเวียดนามลงเช่นกัน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงตุลาคมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 0.3% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของ ADO เดือนกันยายน 2567 ในเดือนตุลาคม ธปท. ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาที่ 2.25% จาก 2.5% ซึ่งช่วยลดภาระการชำระหนี้ของผู้กู้ยืม ด้วยพัฒนาการเหล่านี้การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อลดลงเล็กน้อยจาก 0.7% เป็น 0.5% ในปี 2567 และจาก 1.3% เป็น 1.2% ในปี 2568 แม้จะมีการปรับราคาขึ้นในหมวดการศึกษาและการดูแลสุขภาพที่รัฐบาลควบคุม ควบคู่ไปกับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของเวียดนาม ปรับลดเล็กน้อยเหลือ 3.9% ในปี 2567 นโยบายการเงินของประเทศที่รอบคอบและยืดหยุ่นประกอบกับ ราคาน้ำมันโลกที่ตกลง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวที่ 4.0% ในปี 2568 ส่วนในสิงคโปร์ อัตราเงินเฟ้อผ่อนคลายลงจากราคานำเข้าที่ชะลอลงและแรงกดดันด้านต้นทุนในประเทศที่ลดลง
เอดีบีมุ่งมั่นในการพัฒนาภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกให้เจริญรุ่งเรือง มีการพัฒนาอย่างทั่วถึง พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และมีความยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ยังคงพยายามในการขจัดปัญหาความยากจนต่อไป เอดีบีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2509 โดยมีประเทศสมาชิกทั้งหมด 68 ประเทศ โดย 49 ประเทศ มาจากประเทศในภูมิภาค