สิงคโปร์จะเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน(infant care)และดูแลเด็กเล็ก(childcare) ใหม่เกือบ 40,000 แห่ง โดยสำนักงานพัฒนาเด็กปฐมวัย (Early Childhood Development Agency -ECDA) และผู้ดำเนินการหลัก 5 แห่ง ตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2572
ในจำนวนนี้จะรวมถึงสถานรับเลี้ยงเด็กทารกใหม่ประมาณ 6,000 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
นายมาซากอส ซุลกิฟลี รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและครอบครัว ได้ประกาศเรื่องนี้ที่งานเฉลิมฉลองเด็กปฐมวัยที่ Sands Expo and Convention Center เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า การดำเนินการนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าโรงเรียนอนุบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจะสามารถรองรับเด็กก่อนวัยเรียนได้ 80% ในระยะปานกลาง เพิ่มขึ้นจาก 65% ที่ลงทะเบียนเข้าเรียนในปัจจุบัน
นายมาซากอสกล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การยื่นขอรับเงินอุดหนุนก่อนวัยเรียน(pre-school subsidy)ราบรื่นยิ่งขึ้น ผู้ปกครองจะสามารถยื่นขอรับเงินอุดหนุนโดยตรงกับ ECDA ทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน LifeSG แทนการสมัครเข้าเรียนก่อนวัยเรียน
กระบวนการใหม่นี้จะเปิดตัวเป็นระยะๆตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม
ก่อนหน้านี้มีการประกาศในช่วงแถลงงบประมาณปี 2567 ว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ผู้ประกอบการหลักและพันธมิตรจะลดลงค่าธรรมเนียมการดูแลเด็กเต็มวันลง 40 ดอลลาร์เหลือ 640 ดอลลาร์ และ 680 ดอลลาร์ (ไม่รวมภาษีสินค้าและบริการ) ต่อเดือนตามลำดับ
ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2567 ครอบครัวที่มีรายได้น้อยทุกครอบครัวที่มีรายได้รวมต่อเดือนของครัวเรือนที่ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และต่ำกว่าจะมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนการดูแลเด็กสูงสุดตามระดับรายได้
ซึ่งหมายความว่าผู้ปกครองจะจ่ายเงิน 3 ถึง 115 ดอลลาร์ หรืออย่างมาก 2% ของรายได้สำหรับการดูแลเด็กที่ผู้ให้บริการหลัก โดยจะมีการหักลดหย่อนเพิ่มเติมในปี 2568 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กเพิ่มขึ้นอีกกว่า 17,000 คน
EDCA จะยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมและเสริมสร้างระบบนิเวศของการดูแลเด็กปฐมวัย เพื่อสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานและนักการศึกษาในการดูแลและส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับเด็กๆ
ECDA ตระหนักถึงภูมิทัศน์ของการดูแลเด็กปฐมวัย(Early Childhood) ที่หลากหลาย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 จะเริ่มใช้กรอบการรับรองระบบก่อนวัยเรียนของสิงคโปร์(Singapore Preschool Accreditation Framework)หรือ Spark 2.0 ที่ปรับปรุงใหม่ เพื่อให้โรงเรียนเด็กก่อนวัยเรียนประเมินคุณภาพของตนเองตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในเครื่องมือ SPARK ใหม่ Spark 2.0 ก่อนที่จะขอรับการตรวจสอบจาก ECDA
แทนที่จะระบุสิ่งที่สถานดูแลเด็กวัยก่อนเรียนต้องทำ มาตรฐานคุณภาพและตัวชี้วัดจะกระตุ้นให้สถานดูแลเด็กวัยก่อนเรียนดำเนินการตามเจตนาและการออกแบบโปรแกรมและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่ต้องการ ตลอดจนตัวตนและความต้องการของเด็กๆ
“Spark 2.0 ประกอบขึ้นด้วย 3 คุณสมบัติหลักได้แก่ การมุ่งเน้นในการเรียนการสอน ความยืดหยุ่นที่มากขึ้นสำหรับสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียนในการพัฒนาโปรแกรมของตนเอง และความเป็นอิสระที่มากขึ้นในเส้นทางที่มีคุณภาพ” นายมาซากอสกล่าว
เพื่อส่งเสริมให้สถานดูแลเด็กวัยก่อนเรียนให้ความสำคัญของการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การได้รับใบรับรอง SPARK 2.0 ฉบับปรับปรุงใหม่ได้เน้นไปที่เกณฑ์สำคัญ 5 ข้อ (แทนที่จะเป็น 8 เกณฑ์ก่อนหน้านี้) ในขณะเดียวกันก็ทำให้สถานดูแลเด็กวัยก่อนเรียนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย
การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้สถานดูแลเด็กวัยก่อนเรียนพัฒนาโปรแกรมที่เหมาะกับความต้องการของเด็กและจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กก่อนวัยเรียน นอกจากนี้ยังช่วยให้สถานดูแลเด็กวัยก่อนเรียนสามารถวางเส้นทางที่มีคุณภาพมากขึ้นได้ด้วยตนเอง
ECDA ยังปรับ SPARK 2.0 ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่มี เช่น Nurturing Early Learners (NEL) และ Early Years Development Frameworks (EYDF) ซึ่งปรับปรุงแก้ไขไม่นานมานี้ เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของการดูแลเด็กปฐมวัย
นอกจากนี้ แทนที่จะต่ออายุการรับรองภาคบังคับหลังจาก 6 ปี ECDA จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ปฏิบัติงานของสถานดูแลก่อนวัยเรียนเพื่อดูแลการประเมินตนเองของสถานดูแลเด็กก่อนวัยเรียนและการดำเนินการตามแผนการปรับปรุงเพื่อยกระดับคุณภาพของศูนย์อย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสรอมให้ประเมินแนวทางปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อนแนวทางคุณภาพสูงที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางอย่างรอบคอบ
Spark เปิดตัวในปี 2554 เพื่อเป็นกรอบการทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพของภาคส่วนนี้ ปัจจุบัน โรงเรียนอนุบาลประมาณ 1,000 หรือ 60% ได้รับการรับรอง Spark เพิ่มขึ้นจากที่ไม่ถึง 100 แห่งเมื่อเริ่มนำมาใช้ครั้งแรก
นางสาว สิตี ดาเลียนา อาจารย์ใหญ่ของศูนย์ My First Skool ที่ได้เข้าร่วมการทดสอบนำร่องสำหรับ Spark 2.0 ในเดือนกันยายน 2568 บอกกับ The Straits Times ว่า กรอบการทำงานที่ปรับปรุงใหม่ช่วยให้โรงเรียนอนุบาลสามารถนำแนวทางเชิงกลยุทธ์และปรับแต่งมาใช้เพื่อส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพได้
“ด้วย Spark 2.0 เรายังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้กลยุทธ์การสอนที่แตกต่าง ซึ่งตอบสนองความต้องการเฉพาะของเด็ก ๆ ที่ประสบปัญหาในการเรียนรู้ภาษา”
โดยรวมแล้ว โรงเรียนอนุบาล 161 แห่งยังได้รับการยอมรับจากการได้รับใบรับรอง Spark
จากการที่การให้การศึกษาเด็กปฐมวัยและการกระตุ้นพัฒนาการ(Early Intervention-EI) มีความซับซ้อนมากขึ้น และให้ความสำคัญมากขึ้นในการเสริมสร้างความประพฤติและแนวปฏิบัติทางวิชาชีพของนักการศึกษา เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของสาธารณชนในระดับสูงในภาคการดูแลเด็กปฐมวัย
สมาคมนักการศึกษาปฐมวัย (สิงคโปร์) หรือ AECES โดยความร่วมมือกับ ECDA ได้ปรับปรุงหลักจรรยาบรรณ(Code of Ethics) เพื่อสะท้อนถึงการพัฒนาและแนวปฏิบัติล่าสุด และเพื่อให้ใช้ได้ต่อเนื่อง แม้ว่าหลักจรรยาบรรณจะมีจุดประสงค์หลักเพื่อนักการศึกษาเด็กปฐมวัย และการกระตุ้นพัฒนาการ แต่หลักปฏิบัติที่แก้ไขปรับปรุงยังขยายไปถึงนักการศึกษาก่อนวัยเรียนและผู้ปฏิบัติงานก่อนวัยเรียนด้วย
หลักจรรยาบรรณที่ปรับปรุงใหม่นี้ได้ สรุปความรับผิดชอบทางวิชาชีพของแต่ละส่วนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น เด็ก ครอบครัว ชุมชน และนักการศึกษาด้วยกันเอง
เพื่อสนับสนุนนักการศึกษาในการตัดสินอย่างถูกต้องในการปฏิบัติงาน หลักจรรยาบรรณฉบับปรุงจะสรุปความรับผิดชอบทางวิชาชีพของตนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น (เช่น เด็ก ครอบครัว และชุมชน และนักการศึกษาด้วยกันเอง) โดยครอบคลุมกระบวนการตัดสินใจเชิงจริยธรรม 5 ขั้นตอน ควบคู่ไปกับกรณีตัวอย่าง เพื่อช่วยให้นักการศึกษานำหลักจรรยาบรรณไปใช้กับการปฏิบัติประจำวันได้
ดร. คริสติน เฉิน ประธาน AECES บอกกับ The Straits Times ว่าหลักจรรยาบรรณนี้ มีการแก้ไขหลายครั้งในอดีต เพื่อให้ทันกับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของภาคส่วนเด็กปฐมวัย
หลักจรรยาบรรณ นำมาใช้ครั้งแรกในปี 2547
“การพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องผ่านแนวทางปฏิบัติของชุมชนจะทำให้มีการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด และ AECES จะเป็นเวทีสำหรับสมาคมวิชาชีพเดียวกันในการจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ดีของพวกเขาและหยิบยกกรณีศึกษาใหม่ๆ”
จำนวนคดีการล่วงละเมิดเด็กที่ ECDA สอบสวนเพิ่มขึ้นเป็น 147 คดีในปี 2566 จาก 137 คดีในปี 2565 ในจำนวนนี้ มีกรณีการจัดการเด็กที่ไม่เหมาะสม 2 กรณีในศูนย์ก่อนวัยเรียน Kinderland สองแห่ง ได้แก่ Woodlands Mart และ Sunshine Place ที่มีการเปิดเผยใน สิงหาคม 2566 Kinderland ถูกปรับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังมีมีการดำเนินการเพื่อยกระดับความเป็นอยู่และสภาพการทำงานของนักการศึกษา
ตัวอย่างเช่น ECDA ได้ยกเลิกข้อกำหนดสำหรับศูนย์ดูแลเด็กที่ต้องเปิดให้บริการในวันเสาร์ นับตั้งแต่ปี 2568 นอกจากนี้ ยังกำลังเพิ่มจำนวนกลุ่มเจ้าหน้าที่บรรเทาภาระภายในสิ้นปี 2567 เพื่อช่วยให้โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งสามารถตอบสนองความต้องการด้านกำลังคนด้วยต้นทุนการจ้างงานที่สมเหตุสมผล ขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ในความน่าเชื่อถือ มาตรฐานการบริการ
Childcare & Infant Care Centres ในสิงคโปร์
ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก(Childcare centre)
ศูนย์ดูแลเด็กในสิงคโปร์ เปิดให้บริการสำหรับเด็กอายุ 18 เดือนถึง 6 ปี และมีทั้งโปรแกรมครึ่งวันและเต็มวันเพื่อให้เหมาะกับผู้ปกครองที่ทำงาน ศูนย์ดูแลเด็กในสิงคโปร์เปิดตั้งแต่ 07.00 น. ถึง 19.00 น. ศูนย์ดูแลเด็กบางแห่งมีชั้นเรียนครึ่งวันในวันเสาร์ด้วยเช่นกัน แต่ยุติเลิกให้บริการในวันเสาร์ตั้งแต่ปี 2568 ศูนย์ดูแลเด็กเหมาะกับผู้ปกครองที่ทำงานเต็มเวลา เนื่องจากศูนย์จะปิดเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นและปิดเพิ่มอีก 7 วันในหนึ่งปี ดังนั้นพวกเขาจึงนับว่าเปิดทำการตลอด แม้ในช่วงปิดภาคเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ศูนย์ดูแลเด็กจะดูอาหารสำหรับเด็ก โดยโรงเรียนมักจะจัดเตรียมอาหารเช้า อาหารกลางวัน และของว่างสำหรับพักบ่าย ศูนย์ดูแลเด็กบางแห่งในสิงคโปร์ก็จัดสรรเวลาอาบน้ำให้เด็กเช่นกัน
ศูนย์ดูแลเด็กอ่อน(Infant care)
ศูนย์ดูแลเด็กบางแห่งมีโปรแกรมการดูแลเด็กอ่อนสำหรับทารกที่อายุน้อยกว่าสองเดือน ศูนย์ดูแลทารกในสิงคโปร์ยังมีบริการดูแลเต็มวันและอาจเสนอโปรแกรมครึ่งวันด้วย เนื่องจากการดูแลทารกต้องให้ความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญ ค่าธรรมเนียมจึงมักจะสูงกว่าในการดูแลเด็กเล็ก ตารางเวลาสำหรับการดูแลทารกของศูนย์เด็กอ่อนในสิงคโปร์มักจะเหมือนกับตารางเวลาที่ศูนย์ดูแลเด็ก
โรงเรียนก่อนวัยเรียน(Preschool)/อนุบาล(kindergartens)
โรงเรียนก่อนวัยเรียนและโรงเรียนอนุบาลมักให้บริการแก่เด็กอายุ 18 เดือนถึงอายุต่ำกว่า 7 ปี โดยมีโปรแกรมครึ่งวัน บริการก่อนวัยเรียนและโรงเรียนอนุบาลเปิดให้บริการในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และปิดให้บริการในวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดโรงเรียนตามวันที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศ ยกเว้นโรงเรียนอนุบาลที่ใช้หลักสูตรนานาชาติ
ค่าธรรมเนียมและเงินอุดหนุนสำหรับเด็กเล็กและทารก
กรณีที่เด็กเป็นพลเมืองสิงคโปร์ พ่อแม่สามารถรับเงินอุดหนุนขั้นพื้นฐานสูงถึง 300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือนสำหรับการดูแลเด็กเต็มวัน (และสูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนสำหรับการดูแลทารกเต็มวันในสิงคโปร์ เมื่อได้ลงทะเบียนเด็กในครอบครัวกับ ศูนย์ดูแลเด็กที่ได้รับใบอนุญาตจากECDA มารดาที่ทำงานที่มีสิทธิสามารถรับเงินอุดหนุนเพิ่มเติมได้ ครอบครัวที่มีรายได้น้อยจะได้รับเงินอุดหนุนที่สูงขึ้น
ที่มา:https://www.sassymamasg.com/learn-childcare-centres-singapore/