ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup สิงคโปร์ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์ม

ASEAN Roundup สิงคโปร์ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์ม

15 กันยายน 2024


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 8-14 กันยายน 2567

  • สิงคโปร์ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์ม
  • สิงคโปร์เป็นผู้นำในการทำธุรกรรมด้วย Stablecoin
  • ฟิลิปปินส์เก็บ VAT 12% จากบริการดิจิทัลต่างชาติ
  • เวียดนาม-สหรัฐฯ เปิดตัวกองทุนความมั่นคงและนวัตกรรมเทคโนโลยีระหว่างประเทศ
  • ท่าเรือสีหนุวิลล์รองรับสินค้ากว่า 2.63 ล้าน TEU ภายในปี 2573
  • รัฐบาลเมียนมาขึ้นภาษีซื้อขายทองคำจากค่าเงินดิ่งลง

    สิงคโปร์ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์ม

    ที่มาภาพ: https://www.straitstimes.com/singapore/platform-workers-in-singapore-to-get-more-bargaining-power-better-representation
    เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 รัฐสภาสิงคโปร์ผ่านร่างกฎหมายแรงงานแพลตฟอร์ม (Platform Workers Bill) ฉบับใหม่ ที่มีเจตจำนงเพื่อยกระดับสวัสดิการของแรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์มในสิงคโปร์ ร่างกฎหมายนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ส่งผลให้สิงคโปร์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศแรกๆ ที่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายแก่พนักงานแพลตฟอร์ม

    กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุม 3 เรื่องหลัก คือ แรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม (platform workers) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม (platform operators) และบริการแพลตฟอร์ม (platform services) พร้อมได้ให้คำจำกัดความตามกฎหมายของแรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และบริการแพลตฟอร์ม ซึ่งสอดคล้องกับเจตจำนงที่จะกำหนดให้แรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม เป็นแรงงานหมวดใหม่ที่แตกต่างออกไป ปัจจัยสำคัญที่สำคัญในการกำหนดว่าเป็นแรงงานแพลตฟอร์มก็คือ แรงงานแพลตฟอร์มนั้นอยู่ภายใต้ “การควบคุมการจัดการ” โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มหรือไม่ เมื่อให้บริการแพลตฟอร์มแก่ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม

    Platform Workers Bill ครอบคลุมแรงงานแพลตฟอร์ม เช่น พนักงานส่งของ คนขับรถรับจ้างส่วนตัว และคนขับแท็กซี่ ให้เป็นหมวดแรงงานที่ต่างออกไปจากพนักงานและผู้มีอาชีพอิสระ (freelance)

    เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ บริษัทที่จัดอยู่ในประเภทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะต้องปฏิบัติตามภาระผูกพันทางกฎหมายและให้ความคุ้มครองแก่พนักงานแพลตฟอร์มของตน

    ร่างกฎหมายนี้ยังมีมาตรการที่

  • ช่วยเหลือแรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม ในเรื่องที่อยู่อาศัยและการเกษียณอายุอย่างเพียงพอ ผ่านการจ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Central Provident Fund หรือ CPF ซึ่งเป็นระบบประกันสังคมที่บริหารจัดการโดย Central Provident Fund Board ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงแรงงานสิงคโปร์)
  • กำหนดให้มีค่าตอบแทนทางการเงินสำหรับแรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม กรณีที่มีการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และ
  • เปิดให้มีการเป็นตัวแทนแรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการผ่านทางสมาคมแรงงานแพลตฟอร์ม (Platform Work Associations หรือ PWA)

    ภายใต้กรอบการเป็นตัวแทนทางกฎหมายใหม่ Platform Work Associations จะสามารถเป็นตัวแทนของแรงงานแพลตฟอร์มในการเจรจากับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มได้ ในลักษณะเดียวกับที่สหภาพแรงงานเป็นตัวแทนของพนักงาน

    กระทรวงแรงงานจะแต่งตั้งนายทะเบียนเพื่อควบคุมและดูแลการดำเนินงานของ PWAs

    กฎหมายใหม่ยังจะช่วยให้แรงงานแพลตฟอร์มสามารถมีที่อยู่อาศัยและการเกษียณอายุที่คล้ายกับพนักงานที่มีรายได้ระดับเดียวกัน โดยกำหนดให้หรือส่งเสริมให้แรงงานแพลตฟอร์มจ่ายเงินสมทบเข้า CPF ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ และกำหนดให้แรงงานแพลตฟอร์มที่เกิดตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นไปต้องจ่ายเงินเข้า CPF เพิ่มขึ้น

    ปัจจุบัน แรงงานแพลตฟอร์มซึ่งไม่ต่างจากผู้ประกอบอาชีพอิสระนัก จะต้องจ่ายเงินมากถึง 10.5% ของรายได้สุทธิเข้าบัญชี CPF Medisave ของตนเอง ขณะที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไม่มีภาระผูกพันใดๆ ที่จะต้องจ่ายเงินเข้า CPF ร่างกฎหมายกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจ่ายเงินสมทบเข้า CPF ให้กับแรงงานแพลตฟอร์ม ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้ อัตราเงินสมทบของ CPF ของแรงงานแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะใกล้เคียงกับพนักงานและนายจ้างปกติ ซึ่งอยู่ที่ 20% สำหรับพนักงานอายุ 55 ปีหรือต่ำกว่า และ 17% สำหรับนายจ้าง

    อัตราการจ่ายเงินภาคบังคับสำหรับแรงงานแพลตฟอร์มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ และให้เวลาตลาดในการปรับตัว อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงิน CPF ที่สูงขึ้นจะมีผลสำหรับแรงงานแพลตฟอร์มที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แต่กลุ่มอื่นๆ สามารถเลือกได้ นอกจากนี้ แรงงานแพลตฟอร์มที่เกิดในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 1995 ไม่สามารถเลือกที่จะไม่จ่ายเงินเข้า CPF ที่สูงขึ้นได้

    เพื่อช่วยแรงงานแพลตฟอร์มที่ค่าจ้างต่ำในช่วงเปลี่ยนผ่าน รัฐบาลจะสนับสนุนผู้ต้องจ่ายเงินเข้า CPF เพิ่มขึ้นผ่านโครงการ Platform Workers CPF Transition Support (PCTS) โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินเต็มจำนวนสำหรับเงินที่ต้องจ่าย CPF เพิ่มขึ้นของแรงงานที่มีรายได้สุทธิน้อยกว่า 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน ดังนั้น แรงงานแพลตฟอร์มกลุ่มนี้จะไม่ต้องจ่ายเงิน CPF ในส่วนที่เพิ่มขึ้น และรายได้ยังคงไม่ลดลงในปี 2568 แต่การชดเชยนี้จะค่อยๆ ลดลงและสิ้นสุดในปี 2572

    นอกจากนี้ รัฐบาลจะคืนเงินให้กับแรงงานแพลตฟอร์ม จากส่วนของ CPF ที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มได้รับเงินสมทบภายใต้โครงการลาที่รัฐบาลจ่ายเงิน เช่น การลาเพื่อคลอดบุตร หรือลาเพื่อทำหน้าที่พ่อแม่ เมื่อคนงานใช้เวลาหยุดงานเพื่อดูแลทารกแรกเกิด

    แรงานแพลตฟอร์มยังมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยการบาดเจ็บจากการทำงาน กรณีที่บาดเจ็บเมื่อรับและส่งผู้โดยสารหรือส่งมอบสินค้า สำหรับแรงงานแพลตฟอร์มที่ได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติงานพร้อมกันสำหรับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน ความรับผิดจะถูกจำกัดอยู่ที่ผู้ดำเนินการแพลตฟอร์มรายเดียวเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อลดความซับซ้อนในกระบวนการขอค่าชดเชย ซึ่งค่าชดเชยจะขึ้นอยู่กับรายได้ของแรงงานแพลตฟอร์มจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทั้งหมด ที่ทำงานด้วยก่อนวันที่เกิดอุบัติเหตุในช่วง 90 วันที่ผ่านมา

    ปัจจุบัน ความคุ้มครองประกันภัยสำหรับแรงงานแพลตฟอร์มแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่พวกเขาทำงานด้วย และส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะต้องจัดให้มีการประกันการบาดเจ็บจากการทำงานในระดับเดียวกับที่พนักงานทั่วไปได้รับภายใต้พระราชบัญญัติการชดเชยการบาดเจ็บจากการทำงานปี 2019 ของสิงคโปร์ (Work Injury Compensation Act 2019 of Singapore หรือ WICA)

    ข้อกำหนดนี้เป็นการเสริมสร้างความรับผิดชอบของแรงงานแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บในที่ทำงาน นอกจากนี้ การยกระดับการชดเชยการบาดเจ็บในที่ทำงานนี้ ยังสร้างความมั่นคงทางการเงินแบบคงที่ให้แรงงานแพลตฟอร์มในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บในที่ทำงาน ซึ่งก่อนหน้านี้แรงงานแพลตฟอร์มทุกคนอาจไม่สามารถเข้าถึงได้

    สิงคโปร์เป็นผู้นำในการทำธุรกรรมด้วย Stablecoin

    ที่มาภาพ: https://fintechnews.sg/101264/crypto/singapore-crypto-stablecoin-payments/

    ตลาดสกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์กำลังเป็นผู้นำในการนำ stablecoin มาใช้ โดยเฉพาะ XSGD

    แม้ว่า stablecoin จะยังไม่แซงหน้าวิธีการชำระเงินแบบเดิม แต่แนวโน้มก็กำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนอย่างมากจากกฎระเบียบที่เอื้อต่อสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพของระบบการเงินทั่วไป

    ขณะที่วิธีการชำระเงินแบบเดิมยังคงได้รับความนิยม โดยมีมูลค่า 56.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว แต่การทำธุรกรรมด้วยเหรียญ stablecoin มีถึง 75% รวมมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดย 25% ของธุรกรรมเหล่านั้นเป็นรายการที่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

    การใช้ stablecoin กำลังเติบโต และตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม Grab ได้เพิ่มฟีเจอร์การเติมเงินในแอปโดยใช้สกุลเงินดิจิทัล และการใช้ crypto scaling ในบริการอื่นๆ

    มาตรการเชิงรุกเหล่านี้ได้รับแรงผลักดันจากความกังวลเกี่ยวกับระบบการเงินทั่วไปและเสถียรภาพของระบบ จากการให้ความเห็นของโรเบิร์ต คิโยซากิ โดยให้เหตุผลว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมมีความเสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดตราสารหนี้ และยังชี้ให้เห็นถึงการพึ่งพาหนี้ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งสัญญาณถึงแนวโน้มที่จะล่มสลายในที่สุด นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่าแม้จะคาดเดาได้ถึงการล่มสลายของธนาคาร แต่ก็ไม่เคยเตรียมพร้อมสำหรับธนาคารล้ม และสกุลเงินดิจิทัลสามารถบรรเทาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้

    ในเดือนสิงหาคม ปี 2566 ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้เสริมสร้างข้อกำหนดด้านกฎระเบียบสำหรับ stablecoin โดยการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการดูแลและรักษาทรัพย์สิน และได้ใช้มาตรการเพิ่มเติมในเดือนเมษายน ปี 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อการควบคุมสกุลเงินดิจิทัลที่ดีขึ้น

    การปรับเปลี่ยนนี้ได้เพิ่มความเชื่อมั่นในเหรียญ stablecoin ของสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการใช้เงินคริปโทที่เพิ่มขึ้น ดัชนี cryptocurrency activity index ของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 0.39 เป็น 0.8 ในต้นปี 2567 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564

    การที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์อนุมัติให้ Paxos ออกเหรียญ stablecoin เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของประเทศในการสร้างสภาพแวดล้อมที่โปร่งใสและเชื่อถือได้สำหรับการเงินดิจิทัล และความร่วมมือกับ DBS Bank ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของ Paxos ในตลาด

    ภูมิภาคเอเชียมีความแข็งขันอย่างมากในการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ ขณะที่ยุโรปอาจมีขั้นตอนสำคัญๆ เกี่ยวกับเหรียญ stablecoin เดียวกัน ซึ่งเป็นการย้ำว่าภูมิภาคนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษ

    ฟิลิปปินส์เก็บ VAT 12% จากบริการดิจิทัลต่างชาติ

    ที่มาภาพ: https://blogs.worldbank.org/en/trade/digital-services-exports-can-help-philippines-overcome-development-hurdles
    ในเดือนกรกฎาคม 2567 รัฐบาลฟิลิปปินส์เริ่มจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 12% สำหรับบริการแบบธุรกิจกับลูกค้า (B2C) จากผู้ที่ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ หรือ non-resident หลังการผ่านร่างกฎหมาย Senate Bill 2528 โดยจุดมุ่งหมายเพื่อดูแลให้ผู้ให้บริการดิจิทัลในประเทศอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แข่งขันได้มากขึ้น

    ฟิลิปปินส์เป็นอีกประเทศหนึ่งในภูมิภาคที่ต้องการรายได้ภาษีมากขึ้นจากผู้ให้บริการดิจิทัลต่างประเทศ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซียออกกฎระเบียบเพื่อกำหนดภาษีดิจิทัลในปี 2563 ในขณะที่ประเทศไทยประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ให้บริการดิจิทัลต่างประเทศในปี 2564

    ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ผู้ให้บริการดิจิทัลต่างประเทศมีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวม ประเมิน และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทรวงการคลังของประเทศคาดการณ์ว่า กฎหมายฉบับนี้จะสร้างรายได้มูลค่าประมาณ 83.8 พันล้านเปโซฟิลิปปินส์ (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ระหว่างปี 2567 ถึง 2571 และเงินที่จัดเก็บได้จากทั้งหมดนี้ สภานิติบัญญัติวางแผนที่จะจัดสรรเงิน 5% เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในท้องถิ่น

    สำหรับคำจำกัดความของบริการดิจิทัลและผู้ให้บริการดิจิทัล กฎหมายบัญญัติไว้ว่าหมายถึง บริการใดๆ ที่จัดหาผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการให้บริการเป็นแบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ครอบคลุมถึงบริการคลาวด์ (cloud service), ตลาดออนไลน์ (online marketplace), สินค้าดิจิทัล (digital goods), โปรแกรมค้นหา (search engines), สื่อออนไลน์ (online media) และ แพลตฟอร์มออนไลน์ (online platforms)

    ส่วนผู้ให้บริการดิจิทัลหมายถึง ผู้จัดหาบริการดิจิทัลที่มีถิ่นที่อยู่หรือไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ให้กับผู้บริโภคที่ใช้บริการดิจิทัลที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในฟิลิปปินส์ ผู้ให้บริการดิจิทัลจะถือเป็นผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศหากไม่มีสถานประกอบการทางกายภาพในประเทศ

    ผู้ให้บริการดิจิทัลจะต้องลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากยอดขายรวมรอบ 12 เดือนเกิน 3 ล้านเปโซ (53,397 ดอลลาร์สหรัฐ) สำนักสรรพากรมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบการลงทะเบียนอัตโนมัติเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน

    ในกรณีหากลูกค้าไม่ได้จดทะเบียน VAT (ธุรกรรม B2C) ผู้ให้บริการดิจิทัลจะเป็นผู้รับผิดชอบในการประเมิน รวบรวม และนำส่ง VAT สำหรับบริการดิจิทัล หากลูกค้าจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ธุรกรรม B2B) ลูกค้ามีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับสำนักสรรพากรภายใต้กลไก reverse charge mechanism (กลไกการจัดเก็บภาษีที่ผู้บริโภคต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มโดยตรงให้แก่หน่วยงานจัดเก็บภาษีแทนที่ผู้ประกอบการจะเป็นผู้จัดเก็บ)

    หากผู้ให้บริการดิจิทัลที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศซึ่งจดทะเบียน VAT ถูกจัดประเภทเป็นตลาดออนไลน์ จะต้องชำระ VAT สำหรับธุรกรรมที่ทำโดยผู้ขายที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นที่อยู่บนแพลตฟอร์มด้วย ข้อนี้จะมีผลใช้บังคับหากตลาดควบคุมประเด็นสำคัญของการขายและดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ 1) กำหนดข้อกำหนดและเงื่อนไขสำหรับการขายสินค้า หรือ 2) มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งซื้อหรือส่งมอบสินค้า

    หลักสูตร การสัมมนา และการฝึกอบรมออนไลน์ที่จัดทำโดยสถาบันการศึกษาเอกชนที่ได้รับการรับรองโดย DEPED, CHED หรือ TESDA รวมถึงหลักสูตรที่เปิดสอนโดยสถาบันการศึกษาของรัฐบาลจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ การขายบริการแบบสมัครสมาชิกออนไลน์ให้กับ DEPED, CHED, TESDA และสถาบันการศึกษาที่หน่วยงานเหล่านี้ยอมรับ ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย

    นอกจากนี้ บริการทางการเงินที่ให้บริการโดยธนาคารและหน่วยงานที่ไม่ใช่ธนาคารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล จะรวมอยู่ในธุรกรรมที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

    เวียดนาม-สหรัฐฯ เปิดตัวกองทุนความมั่นคงและนวัตกรรมเทคโนโลยีระหว่างประเทศ

    ที่มาภาพ: https://en.baochinhphu.vn/viet-nam-us-launch-international-technology-security-innovation-fund-111240912170225315.htm
    เวียดนามและสหรัฐอเมริกาได้เปิดตัวกองทุนเทคโนโลยีความปลอดภัยและนวัตกรรมระหว่างประเทศ หรือ International Technology Security & Innovation Fund (ITSI Fund) ในพิธีที่จัดขึ้นที่กรุงฮานอยเมื่อวันที่ 11 กันยายน งานนี้จัดขึ้นโดยศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติโดยความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สถานทูตสหรัฐฯ ในเวียดนาม และมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา

    กองทุน ITSI เป็นความคิดริเริ่มที่สำคัญของกฎหมาย CHIPS and Science Act ของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขีดความสามารถของเซมิคอนดักเตอร์และความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

    เวียดนามเป็นหนึ่งใน 8 ประเทศเชิงยุทธศาสตร์ที่ได้รับเลือกสำหรับโครงการริเริ่มนี้ เช่นเดียวกับคอสตาริกา เม็กซิโก ปานามา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เคนยา และอินเดีย ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและธุรกิจของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศได้มอบเงินให้ Arizona State University มูลค่า 13.8 ล้านดอลลาร์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผู้มีความสามารถ และจัดทำข้อเสนอแนะด้านนโยบายสาธารณะในประเทศเหล่านี้

    รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุน เหงียน จิ ยวุง กล่าวยืนยันว่า การเปิดตัวกองทุนเป็นมาตรการที่ใช้ได้จริง และมีความหมายเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบปีแรก ของการสถาปนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมเพื่อสันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ

    นอกจากนี้ งานดังกล่าวยังเป็นเหตุการณ์สำคัญในการดำเนินงานตามแผนของโครงการ “การพัฒนาทรัพยากรบุคคลสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จนถึงปี 2573 พร้อมด้วยวิสัยทัศน์สู่ปี 2593” ที่ MPI ได้ทำการวิจัย พัฒนา และเสนอต่อนายกรัฐมนตรี

    นาย เหงียน จิ ยวุง กล่าวว่า นอกเหนือจากกิจกรรมความร่วมมือในการฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แล้ว เวียดนามและสหรัฐฯ ยังได้ตกลงที่จะสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ความร่วมมือทวิภาคี

    การเปิดตัวกองทุน ITSI ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการฝึกอบรมใหม่ ที่มีมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการบรรจุและการทดสอบไมโครชิป สำหรับอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยในเวียดนามเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่การเรียนรู้เทคโนโลยีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ของชาวเวียดนามในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

    ท่าเรือสีหนุวิลล์รองรับสินค้ากว่า 2.63 ล้าน TEU ภายในปี 2573

    ที่มาภาพ: https://pas.gov.kh/en
    วันที่ 12 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ทำเปิดท่าเทียบเรือเพื่อขยายส่วนตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ (Sihanoukville Autonomous Port-PAS) ซึ่งปัจจุบันมีขีดความสามารถในการรองรับการขนส่งสินค้าได้มากถึงหนึ่งล้านตู้สินค้าขนาด 20 ฟุตเทียบเท่า (TEU) ต่อปี

    การขยายดังกล่าวซึ่งเพิ่มความยาวให้กับท่าเรืออีก 253 เมตร เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2566 ด้วยเงินลงทุนรวม 37.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ 10 ล้านดอลลาร์ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากญี่ปุ่น ในขณะที่ 27.5 ล้านดอลลาร์มาจากงบประมาณของ PAS เอง

    นายเพ็ง พุทธนี รัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง ระบุว่า รัฐบาลยังสนับสนุนภาษีศุลกากรและภาษีอีกด้วย

    นายเพ็งอธิบายว่า ส่วนขยายดังกล่าวเพิ่มความสามารถในการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ของท่าเรือจาก 550,000 TEU เป็นหนึ่งล้าน TEU ต่อปี ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้สามารถรองรับเรือที่มีความสูงไม่เกิน 10.4 เมตร ส่งผลให้สัดส่วนของเรือทั่วโลกสามารถเทียบท่าได้เพิ่มจาก 18% เป็น 38% โดยความสามารถในการรองรับในเอเชียเพิ่มขึ้นเป็น 49.25%

    รัฐมนตรียังเน้นย้ำถึงผลการดำเนินงานด้านรายได้ของท่าเรือในปี 2566 ซึ่งรวมถึงตู้คอนเทนเนอร์ที่อยู่ในกระบวนการแปรรูปเกือบ 800,000 TEU เรือ 1,506 ลำที่มีขีดความสามารถในการบรรทุกรวม 19 ล้านตัน และรายได้รวมเกินกว่า 95 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงการเติบโตในเชิงบวก

    “ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ปริมาณสินค้าที่จัดการอยู่ที่ 5.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 26.52% ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ต้องจัดการเกิน 520,000 TEU เพิ่มขึ้น 26.18% รายได้จากธุรกิจทะลุ 66 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นการเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”

    นายพุทธนีให้ข้อมูลว่า ท่าเรือแห่งนี้กำลังก่อสร้างเฟสแรกของท่าเรือน้ำลึกที่มีความยาว 350 เมตร และความลึกของน้ำ 14.5 เมตร และชี้ว่า ทั้งหมดจะเพิ่มขีดความสามารถรวมเป็น 1.4 ล้าน TEU ต่อปี ทำให้ 93% ของเรือในเอเชียแปซิฟิกสามารถจอดเทียบท่าได้ อีกทั้งการขยายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ประมาณ 200 ดอลลาร์ต่อ TEU

    นายพุทธนีให้ข้อมูลต่อว่า กัมพูชาวางแผนที่จะขยายท่าเรือน้ำลึกเพิ่มอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุความสามารถในการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ที่ 2.637 ล้าน TEU ต่อปีภายในปี 2573 จากนั้น ท่าเรือจะเชื่อมต่อโดยตรงกับท่าเรือทั่วโลกโดยไม่ต้องมีข้อจำกัด

    รัฐบาลเมียนมาขึ้นภาษีซื้อขายทองคำจากค่าเงินดิ่งลง

    ที่มาภาพ: https://www.irrawaddy.com/business/myanmar-junta-hikes-tax-on-gold-trading-as-currency-plummets.html#google_vignette
    รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ขึ้นภาษีเป็น 3% สำหรับการซื้อขายทองคำ เพื่อลดความร้อนแรงของตลาด และป้องกันไม่ให้ประชาชนและธุรกิจนำทรัพย์สินไปลงทุนในทองคำ ในขณะที่ค่าเงินจัตร่วงลงอย่างมาก

    เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ผู้นำรัฐบาลทหาร มิน อ่อง หล่าย ได้ทำการปรับเปลี่ยนแปลงบางส่วนในกฎหมายภาษีของประเทศปี 2024 (Union Taxation Law of 2024) ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม โดยเปลี่ยนประเด็นหลัก 2 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำ

    ก่อนหน้านี้กฎหมายภาษีอากรของเมียนมากำหนดว่า ไม่มีการเรียกเก็บภาษีเชิงพาณิชย์จาก “ทองคำบริสุทธิ์ ทองคำแท่ง (ทองคำแท่งมาตรฐาน บล็อกทองคำ เหรียญทอง)”

    แต่มิน ออง หล่าย ได้ลบคำเหล่านี้ออกจากบทที่ 14 (1) เหลือเพียงหยก ทับทิม แซฟไฟร์ อัญมณี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่จำหน่ายในงานแสดงอัญมณีของเมียนมา ซึ่งจัดโดยรัฐบาล