ASEAN Roundup ประจำวันที่ 8-14 กันยายน 2567
สิงคโปร์ออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์ม

กฎหมายฉบับนี้ครอบคลุม 3 เรื่องหลัก คือ แรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม (platform workers) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม (platform operators) และบริการแพลตฟอร์ม (platform services) พร้อมได้ให้คำจำกัดความตามกฎหมายของแรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และบริการแพลตฟอร์ม ซึ่งสอดคล้องกับเจตจำนงที่จะกำหนดให้แรงงานที่ทำงานด้วยแพลตฟอร์ม เป็นแรงงานหมวดใหม่ที่แตกต่างออกไป ปัจจัยสำคัญที่สำคัญในการกำหนดว่าเป็นแรงงานแพลตฟอร์มก็คือ แรงงานแพลตฟอร์มนั้นอยู่ภายใต้ “การควบคุมการจัดการ” โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มหรือไม่ เมื่อให้บริการแพลตฟอร์มแก่ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
Platform Workers Bill ครอบคลุมแรงงานแพลตฟอร์ม เช่น พนักงานส่งของ คนขับรถรับจ้างส่วนตัว และคนขับแท็กซี่ ให้เป็นหมวดแรงงานที่ต่างออกไปจากพนักงานและผู้มีอาชีพอิสระ (freelance)
เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ บริษัทที่จัดอยู่ในประเภทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะต้องปฏิบัติตามภาระผูกพันทางกฎหมายและให้ความคุ้มครองแก่พนักงานแพลตฟอร์มของตน
ร่างกฎหมายนี้ยังมีมาตรการที่
ภายใต้กรอบการเป็นตัวแทนทางกฎหมายใหม่ Platform Work Associations จะสามารถเป็นตัวแทนของแรงงานแพลตฟอร์มในการเจรจากับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มได้ ในลักษณะเดียวกับที่สหภาพแรงงานเป็นตัวแทนของพนักงาน
กระทรวงแรงงานจะแต่งตั้งนายทะเบียนเพื่อควบคุมและดูแลการดำเนินงานของ PWAs
กฎหมายใหม่ยังจะช่วยให้แรงงานแพลตฟอร์มสามารถมีที่อยู่อาศัยและการเกษียณอายุที่คล้ายกับพนักงานที่มีรายได้ระดับเดียวกัน โดยกำหนดให้หรือส่งเสริมให้แรงงานแพลตฟอร์มจ่ายเงินสมทบเข้า CPF ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ และกำหนดให้แรงงานแพลตฟอร์มที่เกิดตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นไปต้องจ่ายเงินเข้า CPF เพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน แรงงานแพลตฟอร์มซึ่งไม่ต่างจากผู้ประกอบอาชีพอิสระนัก จะต้องจ่ายเงินมากถึง 10.5% ของรายได้สุทธิเข้าบัญชี CPF Medisave ของตนเอง ขณะที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไม่มีภาระผูกพันใดๆ ที่จะต้องจ่ายเงินเข้า CPF ร่างกฎหมายกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจ่ายเงินสมทบเข้า CPF ให้กับแรงงานแพลตฟอร์ม ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับนี้ อัตราเงินสมทบของ CPF ของแรงงานแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะใกล้เคียงกับพนักงานและนายจ้างปกติ ซึ่งอยู่ที่ 20% สำหรับพนักงานอายุ 55 ปีหรือต่ำกว่า และ 17% สำหรับนายจ้าง
อัตราการจ่ายเงินภาคบังคับสำหรับแรงงานแพลตฟอร์มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ และให้เวลาตลาดในการปรับตัว อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงิน CPF ที่สูงขึ้นจะมีผลสำหรับแรงงานแพลตฟอร์มที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แต่กลุ่มอื่นๆ สามารถเลือกได้ นอกจากนี้ แรงงานแพลตฟอร์มที่เกิดในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 1995 ไม่สามารถเลือกที่จะไม่จ่ายเงินเข้า CPF ที่สูงขึ้นได้
เพื่อช่วยแรงงานแพลตฟอร์มที่ค่าจ้างต่ำในช่วงเปลี่ยนผ่าน รัฐบาลจะสนับสนุนผู้ต้องจ่ายเงินเข้า CPF เพิ่มขึ้นผ่านโครงการ Platform Workers CPF Transition Support (PCTS) โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินเต็มจำนวนสำหรับเงินที่ต้องจ่าย CPF เพิ่มขึ้นของแรงงานที่มีรายได้สุทธิน้อยกว่า 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน ดังนั้น แรงงานแพลตฟอร์มกลุ่มนี้จะไม่ต้องจ่ายเงิน CPF ในส่วนที่เพิ่มขึ้น และรายได้ยังคงไม่ลดลงในปี 2568 แต่การชดเชยนี้จะค่อยๆ ลดลงและสิ้นสุดในปี 2572
นอกจากนี้ รัฐบาลจะคืนเงินให้กับแรงงานแพลตฟอร์ม จากส่วนของ CPF ที่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มได้รับเงินสมทบภายใต้โครงการลาที่รัฐบาลจ่ายเงิน เช่น การลาเพื่อคลอดบุตร หรือลาเพื่อทำหน้าที่พ่อแม่ เมื่อคนงานใช้เวลาหยุดงานเพื่อดูแลทารกแรกเกิด
แรงานแพลตฟอร์มยังมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยการบาดเจ็บจากการทำงาน กรณีที่บาดเจ็บเมื่อรับและส่งผู้โดยสารหรือส่งมอบสินค้า สำหรับแรงงานแพลตฟอร์มที่ได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติงานพร้อมกันสำหรับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน ความรับผิดจะถูกจำกัดอยู่ที่ผู้ดำเนินการแพลตฟอร์มรายเดียวเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อลดความซับซ้อนในกระบวนการขอค่าชดเชย ซึ่งค่าชดเชยจะขึ้นอยู่กับรายได้ของแรงงานแพลตฟอร์มจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทั้งหมด ที่ทำงานด้วยก่อนวันที่เกิดอุบัติเหตุในช่วง 90 วันที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ความคุ้มครองประกันภัยสำหรับแรงงานแพลตฟอร์มแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่พวกเขาทำงานด้วย และส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะต้องจัดให้มีการประกันการบาดเจ็บจากการทำงานในระดับเดียวกับที่พนักงานทั่วไปได้รับภายใต้พระราชบัญญัติการชดเชยการบาดเจ็บจากการทำงานปี 2019 ของสิงคโปร์ (Work Injury Compensation Act 2019 of Singapore หรือ WICA)
ข้อกำหนดนี้เป็นการเสริมสร้างความรับผิดชอบของแรงงานแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บในที่ทำงาน นอกจากนี้ การยกระดับการชดเชยการบาดเจ็บในที่ทำงานนี้ ยังสร้างความมั่นคงทางการเงินแบบคงที่ให้แรงงานแพลตฟอร์มในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บในที่ทำงาน ซึ่งก่อนหน้านี้แรงงานแพลตฟอร์มทุกคนอาจไม่สามารถเข้าถึงได้
สิงคโปร์เป็นผู้นำในการทำธุรกรรมด้วย Stablecoin

ตลาดสกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์กำลังเป็นผู้นำในการนำ stablecoin มาใช้ โดยเฉพาะ XSGD
แม้ว่า stablecoin จะยังไม่แซงหน้าวิธีการชำระเงินแบบเดิม แต่แนวโน้มก็กำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนอย่างมากจากกฎระเบียบที่เอื้อต่อสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพของระบบการเงินทั่วไป
ขณะที่วิธีการชำระเงินแบบเดิมยังคงได้รับความนิยม โดยมีมูลค่า 56.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว แต่การทำธุรกรรมด้วยเหรียญ stablecoin มีถึง 75% รวมมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดย 25% ของธุรกรรมเหล่านั้นเป็นรายการที่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
การใช้ stablecoin กำลังเติบโต และตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม Grab ได้เพิ่มฟีเจอร์การเติมเงินในแอปโดยใช้สกุลเงินดิจิทัล และการใช้ crypto scaling ในบริการอื่นๆ
มาตรการเชิงรุกเหล่านี้ได้รับแรงผลักดันจากความกังวลเกี่ยวกับระบบการเงินทั่วไปและเสถียรภาพของระบบ จากการให้ความเห็นของโรเบิร์ต คิโยซากิ โดยให้เหตุผลว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมมีความเสี่ยงอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดตราสารหนี้ และยังชี้ให้เห็นถึงการพึ่งพาหนี้ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งสัญญาณถึงแนวโน้มที่จะล่มสลายในที่สุด นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นว่าแม้จะคาดเดาได้ถึงการล่มสลายของธนาคาร แต่ก็ไม่เคยเตรียมพร้อมสำหรับธนาคารล้ม และสกุลเงินดิจิทัลสามารถบรรเทาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้
ในเดือนสิงหาคม ปี 2566 ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้เสริมสร้างข้อกำหนดด้านกฎระเบียบสำหรับ stablecoin โดยการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการดูแลและรักษาทรัพย์สิน และได้ใช้มาตรการเพิ่มเติมในเดือนเมษายน ปี 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อการควบคุมสกุลเงินดิจิทัลที่ดีขึ้น
การปรับเปลี่ยนนี้ได้เพิ่มความเชื่อมั่นในเหรียญ stablecoin ของสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการใช้เงินคริปโทที่เพิ่มขึ้น ดัชนี cryptocurrency activity index ของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 0.39 เป็น 0.8 ในต้นปี 2567 ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564
การที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์อนุมัติให้ Paxos ออกเหรียญ stablecoin เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของประเทศในการสร้างสภาพแวดล้อมที่โปร่งใสและเชื่อถือได้สำหรับการเงินดิจิทัล และความร่วมมือกับ DBS Bank ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของ Paxos ในตลาด
ภูมิภาคเอเชียมีความแข็งขันอย่างมากในการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ ขณะที่ยุโรปอาจมีขั้นตอนสำคัญๆ เกี่ยวกับเหรียญ stablecoin เดียวกัน ซึ่งเป็นการย้ำว่าภูมิภาคนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษ
ฟิลิปปินส์เก็บ VAT 12% จากบริการดิจิทัลต่างชาติ

ฟิลิปปินส์เป็นอีกประเทศหนึ่งในภูมิภาคที่ต้องการรายได้ภาษีมากขึ้นจากผู้ให้บริการดิจิทัลต่างประเทศ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซียออกกฎระเบียบเพื่อกำหนดภาษีดิจิทัลในปี 2563 ในขณะที่ประเทศไทยประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ให้บริการดิจิทัลต่างประเทศในปี 2564
ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ผู้ให้บริการดิจิทัลต่างประเทศมีหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวม ประเมิน และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทรวงการคลังของประเทศคาดการณ์ว่า กฎหมายฉบับนี้จะสร้างรายได้มูลค่าประมาณ 83.8 พันล้านเปโซฟิลิปปินส์ (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ระหว่างปี 2567 ถึง 2571 และเงินที่จัดเก็บได้จากทั้งหมดนี้ สภานิติบัญญัติวางแผนที่จะจัดสรรเงิน 5% เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในท้องถิ่น
สำหรับคำจำกัดความของบริการดิจิทัลและผู้ให้บริการดิจิทัล กฎหมายบัญญัติไว้ว่าหมายถึง บริการใดๆ ที่จัดหาผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการให้บริการเป็นแบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ครอบคลุมถึงบริการคลาวด์ (cloud service), ตลาดออนไลน์ (online marketplace), สินค้าดิจิทัล (digital goods), โปรแกรมค้นหา (search engines), สื่อออนไลน์ (online media) และ แพลตฟอร์มออนไลน์ (online platforms)
ส่วนผู้ให้บริการดิจิทัลหมายถึง ผู้จัดหาบริการดิจิทัลที่มีถิ่นที่อยู่หรือไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ ให้กับผู้บริโภคที่ใช้บริการดิจิทัลที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในฟิลิปปินส์ ผู้ให้บริการดิจิทัลจะถือเป็นผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศหากไม่มีสถานประกอบการทางกายภาพในประเทศ
ผู้ให้บริการดิจิทัลจะต้องลงทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หากยอดขายรวมรอบ 12 เดือนเกิน 3 ล้านเปโซ (53,397 ดอลลาร์สหรัฐ) สำนักสรรพากรมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบการลงทะเบียนอัตโนมัติเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน
ในกรณีหากลูกค้าไม่ได้จดทะเบียน VAT (ธุรกรรม B2C) ผู้ให้บริการดิจิทัลจะเป็นผู้รับผิดชอบในการประเมิน รวบรวม และนำส่ง VAT สำหรับบริการดิจิทัล หากลูกค้าจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ธุรกรรม B2B) ลูกค้ามีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับสำนักสรรพากรภายใต้กลไก reverse charge mechanism (กลไกการจัดเก็บภาษีที่ผู้บริโภคต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มโดยตรงให้แก่หน่วยงานจัดเก็บภาษีแทนที่ผู้ประกอบการจะเป็นผู้จัดเก็บ)
หากผู้ให้บริการดิจิทัลที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศซึ่งจดทะเบียน VAT ถูกจัดประเภทเป็นตลาดออนไลน์ จะต้องชำระ VAT สำหรับธุรกรรมที่ทำโดยผู้ขายที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นที่อยู่บนแพลตฟอร์มด้วย ข้อนี้จะมีผลใช้บังคับหากตลาดควบคุมประเด็นสำคัญของการขายและดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ 1) กำหนดข้อกำหนดและเงื่อนไขสำหรับการขายสินค้า หรือ 2) มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งซื้อหรือส่งมอบสินค้า
หลักสูตร การสัมมนา และการฝึกอบรมออนไลน์ที่จัดทำโดยสถาบันการศึกษาเอกชนที่ได้รับการรับรองโดย DEPED, CHED หรือ TESDA รวมถึงหลักสูตรที่เปิดสอนโดยสถาบันการศึกษาของรัฐบาลจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ การขายบริการแบบสมัครสมาชิกออนไลน์ให้กับ DEPED, CHED, TESDA และสถาบันการศึกษาที่หน่วยงานเหล่านี้ยอมรับ ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
นอกจากนี้ บริการทางการเงินที่ให้บริการโดยธนาคารและหน่วยงานที่ไม่ใช่ธนาคารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล จะรวมอยู่ในธุรกรรมที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
เวียดนาม-สหรัฐฯ เปิดตัวกองทุนความมั่นคงและนวัตกรรมเทคโนโลยีระหว่างประเทศ

กองทุน ITSI เป็นความคิดริเริ่มที่สำคัญของกฎหมาย CHIPS and Science Act ของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขีดความสามารถของเซมิคอนดักเตอร์และความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
เวียดนามเป็นหนึ่งใน 8 ประเทศเชิงยุทธศาสตร์ที่ได้รับเลือกสำหรับโครงการริเริ่มนี้ เช่นเดียวกับคอสตาริกา เม็กซิโก ปานามา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เคนยา และอินเดีย ทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและธุรกิจของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศได้มอบเงินให้ Arizona State University มูลค่า 13.8 ล้านดอลลาร์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผู้มีความสามารถ และจัดทำข้อเสนอแนะด้านนโยบายสาธารณะในประเทศเหล่านี้
รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุน เหงียน จิ ยวุง กล่าวยืนยันว่า การเปิดตัวกองทุนเป็นมาตรการที่ใช้ได้จริง และมีความหมายเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบปีแรก ของการสถาปนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมเพื่อสันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ
นอกจากนี้ งานดังกล่าวยังเป็นเหตุการณ์สำคัญในการดำเนินงานตามแผนของโครงการ “การพัฒนาทรัพยากรบุคคลสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จนถึงปี 2573 พร้อมด้วยวิสัยทัศน์สู่ปี 2593” ที่ MPI ได้ทำการวิจัย พัฒนา และเสนอต่อนายกรัฐมนตรี
นาย เหงียน จิ ยวุง กล่าวว่า นอกเหนือจากกิจกรรมความร่วมมือในการฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แล้ว เวียดนามและสหรัฐฯ ยังได้ตกลงที่จะสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ความร่วมมือทวิภาคี
การเปิดตัวกองทุน ITSI ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการฝึกอบรมใหม่ ที่มีมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการบรรจุและการทดสอบไมโครชิป สำหรับอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยในเวียดนามเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่การเรียนรู้เทคโนโลยีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ของชาวเวียดนามในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ท่าเรือสีหนุวิลล์รองรับสินค้ากว่า 2.63 ล้าน TEU ภายในปี 2573

การขยายดังกล่าวซึ่งเพิ่มความยาวให้กับท่าเรืออีก 253 เมตร เริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2566 ด้วยเงินลงทุนรวม 37.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ 10 ล้านดอลลาร์ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากญี่ปุ่น ในขณะที่ 27.5 ล้านดอลลาร์มาจากงบประมาณของ PAS เอง
นายเพ็ง พุทธนี รัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง ระบุว่า รัฐบาลยังสนับสนุนภาษีศุลกากรและภาษีอีกด้วย
นายเพ็งอธิบายว่า ส่วนขยายดังกล่าวเพิ่มความสามารถในการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ของท่าเรือจาก 550,000 TEU เป็นหนึ่งล้าน TEU ต่อปี ปัจจุบันท่าเรือแห่งนี้สามารถรองรับเรือที่มีความสูงไม่เกิน 10.4 เมตร ส่งผลให้สัดส่วนของเรือทั่วโลกสามารถเทียบท่าได้เพิ่มจาก 18% เป็น 38% โดยความสามารถในการรองรับในเอเชียเพิ่มขึ้นเป็น 49.25%
รัฐมนตรียังเน้นย้ำถึงผลการดำเนินงานด้านรายได้ของท่าเรือในปี 2566 ซึ่งรวมถึงตู้คอนเทนเนอร์ที่อยู่ในกระบวนการแปรรูปเกือบ 800,000 TEU เรือ 1,506 ลำที่มีขีดความสามารถในการบรรทุกรวม 19 ล้านตัน และรายได้รวมเกินกว่า 95 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงการเติบโตในเชิงบวก
“ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ปริมาณสินค้าที่จัดการอยู่ที่ 5.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 26.52% ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ต้องจัดการเกิน 520,000 TEU เพิ่มขึ้น 26.18% รายได้จากธุรกิจทะลุ 66 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นการเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
นายพุทธนีให้ข้อมูลว่า ท่าเรือแห่งนี้กำลังก่อสร้างเฟสแรกของท่าเรือน้ำลึกที่มีความยาว 350 เมตร และความลึกของน้ำ 14.5 เมตร และชี้ว่า ทั้งหมดจะเพิ่มขีดความสามารถรวมเป็น 1.4 ล้าน TEU ต่อปี ทำให้ 93% ของเรือในเอเชียแปซิฟิกสามารถจอดเทียบท่าได้ อีกทั้งการขยายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ประมาณ 200 ดอลลาร์ต่อ TEU
นายพุทธนีให้ข้อมูลต่อว่า กัมพูชาวางแผนที่จะขยายท่าเรือน้ำลึกเพิ่มอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุความสามารถในการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ที่ 2.637 ล้าน TEU ต่อปีภายในปี 2573 จากนั้น ท่าเรือจะเชื่อมต่อโดยตรงกับท่าเรือทั่วโลกโดยไม่ต้องมีข้อจำกัด
รัฐบาลเมียนมาขึ้นภาษีซื้อขายทองคำจากค่าเงินดิ่งลง

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ผู้นำรัฐบาลทหาร มิน อ่อง หล่าย ได้ทำการปรับเปลี่ยนแปลงบางส่วนในกฎหมายภาษีของประเทศปี 2024 (Union Taxation Law of 2024) ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม โดยเปลี่ยนประเด็นหลัก 2 ข้อที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทองคำ
ก่อนหน้านี้กฎหมายภาษีอากรของเมียนมากำหนดว่า ไม่มีการเรียกเก็บภาษีเชิงพาณิชย์จาก “ทองคำบริสุทธิ์ ทองคำแท่ง (ทองคำแท่งมาตรฐาน บล็อกทองคำ เหรียญทอง)”
แต่มิน ออง หล่าย ได้ลบคำเหล่านี้ออกจากบทที่ 14 (1) เหลือเพียงหยก ทับทิม แซฟไฟร์ อัญมณี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่จำหน่ายในงานแสดงอัญมณีของเมียนมา ซึ่งจัดโดยรัฐบาล