ASEAN Roundup ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม- – 3 สิงหาคม 2567
เวียดนาม ฟิลิปปินส์ นำการเติบโตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทศวรรษหน้า

รายงานชื่อ “Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024 – 34” คาดการณ์ว่า ประเทศเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มีจำนวนมากมากกว่า 600 ล้านคน และความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับประเทศเศรษฐกิจหลักๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้เผชิญกับความท้าทาย เช่น ลัทธิกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่พัฒนาแล้ว และการลดการพัฒนาอุตสาหกรรม (deindustrialization)ในวงกว้าง ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของพลวัตทางการแข่งขัน
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในระดับปานกลาง โดยเวียดนามประสบความสำเร็จขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในแทบทุกตัวชี้วัด อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตช้ากว่าจีนหรืออินเดียอย่างมาก
ระหว่างปี 1993 ถึง 2023 การเติบโตของ GDP ต่อหัวเฉลี่ยอย่างน้อย 2.2 เท่าใน 5 จาก 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงเวลาเดียวกัน จีนมี GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้น 9.1 เท่า และอินเดียเพิ่มขึ้น 4.3 เท่า
ในทศวรรษหน้า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มที่จะเติบโตเร็วกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง GDP และ FDI รวมเพิ่มขึ้นสูงกว่าจีนเป็นครั้งแรก การเติบโตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมาจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น และการฟื้นตัวของการลงทุนซึ่งมาจากการสร้างห่วงโซ่อุปทาน “จีน + 1” หรือ ‘China+1’
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจเติบโตเกินที่ประมาณการไว้ คาดหากการเติบโตทั่วโลกและเงื่อนไขการค้าแข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นอยู่กับการค้ามากกว่าภูมิภาคหลักอื่นๆ ถึง 2-5 เท่า ปริมาณการค้าคิดเป็น 89% ของ GDP ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ในด้าน FDI นั้น ระหว่างปี 2561 ถึง 2565 การเติบโตของ FDI ส่งผลดีต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉลี่ยแล้ว FDI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับจีนที่เพิ่มขึ้น 10%
สิงคโปร์มีความโดดเด่นในด้าน FDI สัดส่วน FDI ของสิงคโปร์เทียบกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจาก 56% ในปี 2556-2560 เป็น 62% ภายใน 5 ปี

ในทศวรรษหน้า เวียดนาม และฟิลิปปินส์คาดว่าจะเป็นประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด โดยเวียดนามยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.6% จากเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งออกที่แข็งแกร่งที่จะคว้าโอกาสจาก “จีน +1” ไว้ได้ อีกทั้ง แหล่งที่มาของ FDI มีความหลากหลายมาก การแข่งขันระหว่างจังหวัดภายในประเทศก็มีประสิทธิภาพ และมีแรงงานที่มีคุณภาพและการศึกษาระดับสูง
แม้จะมีข้อได้เปรียบเหล่านี้ แต่เวียดนามก็เผชิญกับความท้าทาย เช่น ผลข้างเคียงของการต่อต้านการคอร์รัปชัน สินเชื่อที่ชะลอตัว การขาดแคลนพลังงานและน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่คืบหน้า และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวช้า
ฟิลิปปินส์คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6.1% ในสิบปีข้างหน้า จากการบริหารที่เน้นการเติบโต, การให้ความสำคัญของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นอันดับต้นๆ โดยโครงการพลังงานหมุนเวียนได้รับความสนใจจากนักลงทุน FDI รวมไปถึงจำนวนประชากรและแรงงานที่เพิ่มขึ้น
ความท้าทายของฟิลิปปินส์ ก็คือ ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตแบบดั้งเดิมตามหลังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน,ประสิทธิภาพของรัฐบาล) และมีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความตึงเครียดกับจีน อาจบานปลายและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว
อินโดนีเซีย มีการเติบโตในอัตรารองลงมาคือเฉลี่ย 5.7% ในทศวรรษหน้า จากภาคการแปรรูปโลหะพื้นฐานที่กำลังขยายตัว ภาคเหมืองแร่ และโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงมีการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น และยังเป็นผู้นำในการพลิกโฉมของผู้ประกอบการ การใช้เทคโนโลยี ตลอดจนจำนวนประชากรและแรงงานที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยเชิงลบของอินโดนีเซีย ก็คือ กิจกรรมในภาคการผลิตมีมูลค่าเพิ่มต่ำ นอกเหนือจากสินค้าโภคภัณฑ์ อีกทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง และอาจจะใช้นโยบายประชานิมมากขึ้น ตลอดจนอาจจะใช้มาตรการกีดดันทางการค้าต่อไปอีก
มาเลเซีย คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.5% ในสิบปีข้างหน้า ด้วยการเปลี่ยนจุดยืนไปส่งเสริมการเติบโตเพื่อดึงดูด FDI บวกกับความสำเร็จในอดีตในด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และศูนย์ข้อมูลให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า รวมทั้งยังเต็มใจที่จะดำเนินการปฏิรูปโครงสร้าง เช่น การตัดเงินอุดหนุน และอาจจะได้ประโยชน์จากความร่วมมือกับสิงคโปร์
ปัจจัยเชิงลบของมาเลเซียในอีกสิบปีข้างหน้า ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงแนวร่วมทางการเมือง, การเปลี่ยนแปลงนโยบายและอำนาจของรัฐบาลที่อ่อนแอ, เกิดภาวะสมองไหลอย่างช้าๆและต่อเนื่อง รวมทั้งผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตามคำมั่นการลงทุนระยะยาว (เช่น รถไฟความเร็วสูง)
ไทยจะเติบโตในอัตรา 2.8% ในช่วงปี 2024-2034 จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การเป็นศูนย์กลางยานยนต์ที่สำคัญของภูมิภาคพร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างดี และการมีกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (ซีพี เซ็นทรัล ปตท. สยามซีเมนต์ ไทยยูเนี่ยน) อยู่ในภูมิภาคมากกว่าคู่แข่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับความท้าทายของไทยได้แก่ สถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนและปั่นป่วน, ความกังวลต่อการควบรวมกิจการในบางภาคธุรกิจ(ค้าปลีก,เทเลคอม) และปัญหาโครงสร้างประชากร
รายงานคาดว่า สิงคโปร์จะเติบโตเฉลี่ย 2.5% ในสิบปีข้างหน้า จากกระบบเศรษฐกิจแบบเปิดและหลากหลาย พร้อมด้วยจุดแข็งด้านการผลิต บริการ และการท่องเที่ยวขั้นสูง รวมทั้งดึงดูดคนที่มีความสามารถระดับโลกจากทุกประเทศเศรษฐกิจหลักด้วยสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคง และรัฐบาลสนับสนุนเงินทุนอย่างดีเพื่อรักษาการเติบโต
ข้อเสียเปรียบของสิงคโปร์ คือ ความท้าทายด้านประชากร, นโยบายการย้ายถิ่นฐานเผชิญกับอุปสรรคทางการเมือง, มีข้อจำกัดด้านที่ดินและแรงงาน รวมทั้งต้นทุนทางธุรกิจที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม 6 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายงานระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรเรียนรู้จากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศอื่นๆ และจัดการกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและธุรกิจ การลงทุนที่สำคัญที่สุดคือทุนมนุษย์ (การศึกษา การฝึกอบรมสายอาชีพ สุขภาพของพนักงาน) และธรรมาภิบาล
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตเร็วกว่าที่คาดการณ์ได้ หากมุ่งไปที่ 5 ด้าน ได้แก่ การลงทุนในภาคการเติบโตที่เกิดขึ้นใหม่, เสริมสร้างตลาดทุน, ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการพลิกโฉม, เร่งการเปลี่ยนผ่านสีเขียว และมุ่งมั่นต่อความคิดริเริ่มระดับพหุภาคีที่มีผลบวกต่อการเติบโต ซึ่งรวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) และโครงข่ายไฟฟ้าข้ามชาติ
ปัจจุบัน RCEP เป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมทั้งประชากรและ GDP เกือบหนึ่งในสามของโลก ข้อกำหนดใน RCEP เกี่ยวกับการลงทุนจากต่างประเทศและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอาจดึงดูดบริษัทข้ามชาติเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อตกลง RCEPยังเพิ่มอำนาจการต่อรองโดยรวมของภูมิภาคเทียบกับการแข่งขันกับจีนเป็นรายประเทศ
สำหรับการลงทุนในภาคการเติบโตใหม่ๆ รายงานระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มุ่งเน้นการส่งออก จึงมีโครงสร้างพื้นฐาน มีความสัมพันธ์กับบริษัทข้ามชาติ และการสนับสนุนจากรัฐบาลในการพัฒนาภาคส่วนใหม่ที่มีการเติบโตสูง
แม้การไล่ตามทุกๆโอกาสจะดึงดูดใจ แต่การเลือกสรรเป็นยุทธศาสตร์ที่ฉลาดกว่า การก้าวเข้าสู่ภาคส่วนใหม่นั้นยากกว่าการต่อยอดจากความสำเร็จในอดีต ซึ่งเห็นได้จากความท้าทายที่ฟิลิปปินส์เผชิญ ในการพยายามดึงดูดการลงทุนในภาคส่วนเหล่านี้
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดแข็งที่สามารถต่อยอดได้มากพอที่จะเริ่ม มาเลเซียมีโครงสร้างพื้นฐานที่วางใจได้สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ด้านยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้ และสิงคโปร์สามารถนำทักษะการผลิตขั้นสูงมาใช้กับเซมิคอนดักเตอร์และเภสัชกรรมรุ่นใหม่ได้
ภาคส่วนใหม่ๆ เช่น แบตเตอรี่ ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเคลื่อนไหวเชิงรุก อย่างเช่น อินโดนีเซียที่พยายามจะเชื่อมโยงการจัดหานิกเกิลกับการดำเนินงานขั้นปลายน้ำ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่จำเป็นต้องวางวิสัยทัศน์ว่าต้องเป็นตลาดร่วม แต่ละประเทศควรมุ่งมั่นในการยกระดับนโยบายของตนเอง โครงการริเริ่มที่ประสานงานกันของอาเซียนสามารถเพิ่มการเติบโตได้มากที่สุด แต่ไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนพื้นฐานเฉพาะประเทศได้
ยุทธศาสตร์ของประเทศได้วิวัฒนาการไป ความเป็นผู้นำของเวียดนามเริ่มไม่แน่นอน ขณะที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซียได้หาโอกาสให้กับตนเอง อินโดนีเซีย ไทย และสิงคโปร์ ยังคงอยู่บนเส้นทางที่วางไว้ก่อนเกิดโรคระบาด
สิงคโปร์เตรียมพื้นที่เพิ่มรับยักษ์ใหญ่เซมิคอนดักเตอร์จับกระแส AI

JTC หน่วยงานด้านการวางแผนอุตสาหกรรมของรัฐบาลเปิดเผยกับสำนักข่าว CNA ว่า กำลังเตรียมที่ดินเพิ่มขึ้น 11%ในนิคมอุตสาหกรรมผลิตเวเฟอร์ของสิงคโปร์ เพื่อดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำให้มากขึ้นและจับกระแสเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI)
ภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มีการจ้างงานประมาณ 35,000 คน และคิดเป็นเกือบ 20% ของผลผลิตภาคการผลิตของประเทศ
การผลิตถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศถึงกว่า 20%
ปัจจุบัน บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำ 9 ใน 15 แห่งได้ตั้งโรงงานในสิงคโปร์ ได้แก่ Micron ผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกัน และ Siltronic ผู้ผลิตเวเฟอร์สัญชาติเยอรมัน ซึ่งเปิดโรงงานผลิตขั้นสูงมูลค่า 2.9 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเมืองแทมปิเนส เมื่อเดือนที่แล้ว
ปัจจุบันบริษัทเซมิคอนดักเตอร์เหล่านี้รวมกลุ่มอยู่ในแหล่งผลิตเวเฟอร์สี่แห่งซึ่งมีพื้นที่ 374 เฮกตาร์ หรือมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลมากกว่า 500 สนามรวมกัน
นิคมอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ในปาร์ซีร์ ริส, แทมปิเนส, วูดแลนด์ส และชายฝั่งทางเหนือ โดยมี JTC เป็นผู้วางแผนหลักและผู้พัฒนาที่ดิน
JTC กล่าวว่า พื้นที่แปลงใหม่ซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกของสิงคโปร์ จะพร้อมใช้ภายในสิ้นปีนี้ บริษัทต่างๆ ที่ต้องการจัดตั้งในพื้นที่นั้นจะสามารถปรับแต่งถนนและแม้แต่ท่อประปาใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การตกลงง่ายขึ้น
เนื่องจากการผลิตชิปเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน โรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์จึงต้องอยู่ใกล้กับพลังงานและน้ำที่เสถียรเพื่อการระบายความร้อนอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถอยู่ใกล้สถานี MRT หรืออุตสาหกรรมหนักอื่นๆ ได้ เนื่องจากการสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลต่อการผลิต
GlobalFoundries ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อันดับสามของโลก ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2010 โดยเป็นหนึ่งในโรงงานเวเฟอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ และสามารถผลิตเวเฟอร์ขนาด 300 มิลลิเมตร ได้ประมาณ 1.5 ล้านชิ้นต่อปี
เมื่อปีที่แล้ว บริษัทได้ขยายพื้นที่เพิ่ม 23,000 ตารางเมตร (เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลประมาณ 4 สนาม) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตท่ามกลางความต้องการที่เพิ่มขึ้น
บริษัทผลิตวงจรรวมบนเวเฟอร์ที่ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่อัจฉริยะและตลาดต่างๆ เช่น ยานยนต์ การบินและอวกาศ และการป้องกันประเทศ ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัท ได้แก่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Qualcomm
ตัน ยิว กง รองประธานอาวุโสของบริษัท GlobalFoundries กล่าวว่า JTC มี “บทบาทสำคัญมาก” ในการขยายโรงงานผลิตมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ของบริษัท
ตัน ยิว กงกล่าวกับ CNA ว่า สิงคโปร์ซึ่งมีประวัติด้านเซมิคอนดักเตอร์มาเป็นเวลา 55 ปี สามารถจัดหาเครือข่ายในการจัดหาวัสดุและโครงสร้างพื้นฐานได้
“เราจะอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน และเมื่อพิจารณาถึงความเชื่อมั่นของตลาดในด้านการเชื่อมโยงภายในภูมิภาค การยายฐานการผลิตไปประเทศพันธมิตร ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าการมีที่ตั้งอย่างสิงคโปร์เพื่อรองรับการดำเนินงานทั่วโลกเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก” นายตันกล่าว
นายตันชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหมายความว่าการสร้างโรงงานล่วงหน้านั้น “สำคัญมาก”
“เรากำลังเตรียมพร้อมไว้เพื่อที่เมื่อตลาดเกิด ชุดเครื่องมือของเราทั้งหมดก็พร้อมเข่าวดีก็คือ เครื่องมือของเราอยู่ที่นี่แล้ว เราแค่ต้องจุดินเครื่อง และเตรียมพร้อม” นายตันกล่าว
ในขณะที่การแข่งขันภายในภูมิภาคดุเดือดมากขึ้น สิงคโปร์ก็หันมาใช้แนวทางอื่นเพื่อดึงดูดธุรกิจด้วย โดยได้ใช้ไปนานแล้วในนิคมแห่งอื่น คือ Jurong Innovation District ซึ่งเป็นที่ตั้งของการผลิตขั้นสูง โซลูชันเมือง และสตาร์ทอัพด้านวิศวกรรม
“เรายังให้บริการฟรีเพื่อช่วยเหลือผู้คน ดังนั้นสำหรับ (เขตนวัตกรรมจูร่ง) เราจึงมีหลายสิ่ง เช่น อาหารและเครื่องดื่ม บริการค้าปลีก และแม้แต่บริการดูแลเด็ก” หว่อง เว่ย ลุง ผู้อำนวยการกลุ่ม JTC กล่าว
“เราหวังว่าการทำแบบนี้ เราจะสร้างพื้นที่ที่คึกคัก ซึ่งธุรกิจและผู้คนของเราเติบโตได้ และนั่นเป็นสิ่งสำคัญมากในการช่วยอุตสาหกรรมให้เติบโตในอนาคต”
อินโดนีเซียพร้อมแข่งประเทศอื่นส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

รัฐบาลอินโดนีเซียยังคงสนับสนุน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจสำหรับอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต
นายแอร์ลังกากล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมการศึกษาร่วมกันครั้งแรกเกี่ยวกับการภาคยานุวัติของอินโดนีเซียเพื่อเป็นสมาชิก OECD แลtความตกลงหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (Comprehensive and Progressive Agreement for the Trans-Pacific Partnership :CPTPP)
“ขอบเขตของความร่วมมือในที่นี้คือการศึกษาภาคยานุวัติของอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับ OECD และ CPTPP โดย ERIA จะดำเนินการทบทวนผลประโยชน์ การจำลองสถานการณ์ และการก่อตั้งสำนักงานบริหารโครงการ (Project Management Office:PMO) มากกว่าที่จะเป็น OECD” นายแอร์ลังกาล่าวหลังการลงนาม บันทึกความเข้าใจ ในวันอังคารที่ 30 กรกฎาคม
นอกจากนี้ MoU ฉบับที่สองคือความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อาเซียน (ASEAN Zero Emission Center) ซึ่งจะเปิดตัวในปลายเดือนสิงหาคม 2567
สำหรับ MoU ฉบับที่ 3 ได้แก่ ความร่วมมือใน ASEAN Ready Feature เพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์เพื่อขยายตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์และแบตเตอรี่
“สำหรับการศึกษาห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล และการศึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์รุ่นต่อไปในอาเซียน เพื่อเป็นแหล่งอุปทานในระดับโลก รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้แบตเตอรี่”
นายแอร์ลังกากล่าวถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยอิงจากส่วนแบ่งตลาดที่มีศักยภาพในอาเซียนในปี 2572 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งการตลาดของอินเดียในฐานะคู่แข่งของอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่า 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
“การสนับสนุนของ ERIA สำหรับ ASEAN Future Ready เมื่อเทียบกับห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกของอาเซียนในอาเซียนและอินเดีย ส่วนแบ่งของอาเซียนเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2572 คาดว่าจะมีมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอินเดียน่าจะได้ 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเราจึงแข่งขันกับอินเดีย” แอร์ลังกากล่าว
สำหรับรูปแบบความร่วมมือกับ ERIA อยู่ในรูปแบบของการศึกษาเชิงลึกและการตีพิมพ์ ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถด้านทรัพยากรบุคคล และแผนความร่วมมือใน 2 ปีและสามารถขยายได้
“จากนั้น ERIA จะเตรียมศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งอยู่ในรูปแบบของการวิจัยการเปลี่ยนโฉมทางดิจิทัลและระบบนิเวศสตาร์ทอัพในภูมิภาคอาเซียน”
กัมพูชาได้ฤกษ์ขุดคลองฟูนันเตโช 5 ส.ค.นี้

คลองฟูนันเตโชเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่มุ่งปรับปรุงการจัดการน้ำ การคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค การขุดคลองถือเป็นก้าวสำคัญในความพยายามของกัมพูชาในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัย และเพิ่มขีดความสามารถด้านการเกษตร
หนังสือเวียนของนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงความสำคัญของคลองฟูนันเตโช โดยอธิบายว่า เป็นโครงการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากแก่ชาวกัมพูชา คลองนี้คาดว่าจะส่งผลให้การชลประทานดีขึ้นเพื่อการเกษตร ปรับปรุงการระบายน้ำ และเป็นเส้นทางใหม่สำหรับการขนส่งและการค้า
เพื่อฉลองพิธีเปิด รัฐบาลได้ตัดสินใจให้ประชาชนได้หยุดหนึ่งวันในวันที่ 5 สิงหาคม เพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลอง งานดังกล่าวจะมีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วม ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของโครงการที่มีต่อประเทศชาติ
พิธีเริ่มขุดคลองฟูนันเตโชที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 สิงหาคม เป็นวันเดียวกันกับ วันเกิดปีที่ 72 ของสมเด็จฮุนเซนอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา
คลองนี้จะตัดผ่านทางภาคตะวันออกของประเทศ และเชื่อมต่อเมืองหลวงกรุงพนมเปญเข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ในเมืองสีหนุวิลล์และกำปอตในอ่าวไทยในที่สุด
รัฐบาลกัมพูชาเชื่อว่าเส้นทางน้ำที่มีมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์จะลดการพึ่งพาเวียดนามของกัมพูชา โดยผ่านท่าเรือที่มีการนำเข้าและส่งออกส่วนใหญ่ของกัมพูชา และคาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจสำหรับประเทศ ด้วยการขนส่งที่ถูกกว่าทำให้สินค้าของกัมพูชาสามารถแข่งขันได้มากขึ้น และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
พิธีจะเริ่มขึ้นในเวลา 9.09 น. โดยมีนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตเป็นประธาน คาดว่าจะมีประชาชนมากกว่า 10,000 คนเข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์สำหรับโครงการคลองฟูนันเตโช ซึ่งจะจัดขึ้นที่หมู่บ้านเปรกตาแก้ว ตำบลสำโรงธม อำเภอเกียนสวาย จังหวัดกันดาล ขณะที่มีสื่อลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 90 คน จากการรายงานของ Phnom Penh Post
คลองที่สร้างเสร็จจะมีความยาว 180 กิโลเมตร เริ่มต้นจากคลองตาแก้ว บนแม่น้ำโขงในชุมชนสำโรงธม อำเภอเกียนสวาย จังหวัดกันดาล เชื่อมกับแม่น้ำบาสักที่อำเภอเกาะธม จังหวัดกันดาล และต่อไปจนถึงทะเลผ่านจังหวัดกันดาล ตาแก้ว กำปอต และแกบ โครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาสี่ปีจึงจะแล้วเสร็จ
เจต เจียลี อธิการบดีมหาวิทยาลัยรอยัลแห่งกรุงพนมเปญ กล่าวในงานเสวนาที่จัดโดยสื่อกัมพูชา Thmey เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ว่าโครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของชาติ เนื่องจากชาวกัมพูชาเกือบทั้งหมดให้การสนับสนุน
“มันแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีในชาติที่ยิ่งใหญ่ของชาวเขมรในยุคสมัยใหม่นี้” เขากล่าว “[เรารู้ว่า] เขมรแตกแยกหลังยุคอังกอร์ มีความแตกแยกระหว่างรัฐบาลและประชาชน ต่อมาไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรคนก็คิดว่าเป็นเพียงการหาทางกดขี่พวกเขาโดยเฉพาะหลังระบอบการปกครองเขมรแดง ”
“สิ่งที่น่าทึ่งของสถานการณ์ปัจจุบันคือคลองฟูนันเตโช ซึ่งแสดงถึงนโยบายที่ถูกต้องจากรัฐบาลและได้รับการสนับสนุนจากทั่วประเทศ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเราในขณะนี้ และเราควรจะภาคภูมิใจกับมัน”
เจียลีถือว่าคลองเป็นนโยบายแห่งความหวัง ด้วยมุมมองที่มีวิสัยทัศน์จากผู้นำประเทศ และชี้ไปที่ผลประโยชน์ทางสังคมว่า “ไม่เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองเท่านั้น แต่ยังเพื่อศักดิ์ศรีของประเทศของเราด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรากลับมารวมกันอีกครั้งหลังจากหลายปีของการแบ่งแยก”
นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการน้ำ โดยให้นึกย้อนถึงการก่อสร้างบาราย (อ่างเก็บน้ำ) ในยุคอังกอร์ ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าแม้แต่ระบอบการปกครองของพอล พต แม้จะมีความโหดร้าย ก็ยังให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำด้วยการแทนที่ประชาชนเพื่อปฏิบัติตามนโยบายต่างๆ เช่น การขุดบ่อน้ำหรือคลอง
เจียลีเชื่อว่าผู้ที่ไม่สนับสนุนโครงการกำลังต่อต้านเอกภาพและความก้าวหน้าของประเทศ
ลาวหารือปรับค่าแรงขั้นต่ำให้พอกับค่าครองชีพ

ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา ค่าแรงขั้นต่ำได้มีการปรับขึ้น 10 ครั้ง โดปรับขึ้นครั้งล่าสุดในปี 2566 มาที่ 1,600,000 กีบต่อเดือน อย่างไรก็ตาม บางใบคำชี้ว่า ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพของคนงานในปัจจุบันอีกต่อไป
ในช่วงปลายปี 2566 กระทรวงฯได้ทำการสำรวจค่าจ้างและค่าครองชีพของคนงานใน 27 หน่วยแรงงานทั่วภาคการผลิต บริการ และเกษตรกรรมของเวียงจันทน์
ผลสำรวจพบว่าค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนของคนงานอยู่ที่ 2,849,383 กีบ ในขณะที่ค่าครองชีพเฉลี่ยอยู่ที่ 3,357,956 กีบต่อเดือน จากผลการวิจัยเหล่านี้ การศึกษาเสนอค่าแรงขั้นต่ำควรอยู่ที่ประมาณ 4,191,504 กีบต่อเดือน
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำยังพิจารณาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน
“การวิจัยและการปรับค่าแรงขั้นต่ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ เนื่องจากภูมิภาคและประเทศยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเงิน ความท้าทายเหล่านี้รวมถึงความไม่แน่นอนของราคาเชื้อเพลิง ราคาสินค้าที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อ และการอ่อนค่าของเงินกีบ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของคนงาน”นางใบคำกล่าว
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้คนงานเข้าสู่ตลาดแรงงานในประเทศได้ยาก เนื่องจากรายได้ไม่ครอบคลุมค่าครองชีพ “ประเด็นเร่งด่วนและสำคัญเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ” นางใบคำกล่าว
รัฐบาลทหารเมียนมาขยายสถานการณ์ฉุกเฉินอีก 6 เดือน

นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้ทำรัฐประหารกล่าวในที่ประชุมสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ (National Defense and Security Council:NDSC) ว่า หลังจากที่เขายึดอำนาจครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลของเขาวางแผนที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศครั้งใหม่เมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินระยะเวลา 2 ปีสิ้นสุดลง ตามที่สื่อรัฐบาลทหารรายงาน
การกลับมาของการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขัดขวางจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยังยืดเยื้อ สื่อของรัฐบาลทหารอ้างคำพูดของ นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในการประชุมช่วงเช้าวันพุธที่ศูนย์บัญชาการของรัฐบาลทหารในกรุงเนปีดอว์
นายพลมิน อ่อง หล่าย ยังกล่าวอีกว่า การสำรวจสำมะโนทั่วประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่ารายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง “ถูกต้อง” สำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งอาจมีขึ้นในปี 2568 และการที่ต้องพยายามสร้างเสถียรภาพและความปลอดภัยต่อเนื่อง มีสาเหตุมาจาก “การก่อการร้าย” จากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติของพลเรือน(National Unity Government :NUG) ที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากการรัฐประหาร กองกำลังติดอาวุธ กองกำลังปกป้องประชาชน (People’s Defense Force:PDF) และกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์
การขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งล่าสุดมีความจำเป็นสำหรับการดำเนินมาตรการที่จำเป็นต่อไป เพื่อดูแลให้มีเสถียรภาพและการพัฒนาของประเทศ สื่อของรัฐบาลทหารอ้างคำกล่าวของนายพลมิน อ่อง หล่าย
รัฐบาลทหารกล่าวว่าสมาชิก NDSC “มีมติเป็นเอกฉันท์ตัดสินใจขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีกหกเดือน”
นายพลมิน ออง หล่าย วัย 68 ปี เข้ามารับตำแหน่งแทนรักษาการประธานาธิบดี อู มี้นต์ ส่วย วัย 73 ปี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม หลังมีรายงานว่าเขาลาป่วยและไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
มี้นต์ ส่วย เป็นรองประธานาธิบดีที่ได้รับการแต่งตั้งโดยกองทัพ ภายใต้รัฐบาลสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยที่ได้รับเลือกตั้ง แต่ถูกโค่นล้มในการรัฐประหาร เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นรักษาการประธานาธิบดี หลังจากที่ประธานาธิบดี วิน มิ้นต์ ถูกจับกุมระหว่างรัฐประหาร
มี้นต์ ส่วย ถูกมอว่าเป็นหุ่นเชิดของหัวหน้ารัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งมีอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการโดยสมบูรณ์
นายพลมิน อ่อง หล่าย ได้รับการกล่าวถึงในฐานะรักษาการประธานาธิบดีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายกลาโหมในการประชุม NDSC เมื่อวันพุธ
ทหารประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อขับไล่รัฐบาลของนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งทั่วไป 2563
กว่าสามปีต่อมา รัฐบาลทหารพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมการต่อต้านการปกครองในวงกว้างทั่วประเทศ และได้รับความพ่ายแพ้อย่างน่าอัปยศด้วยน้ำมือของกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และ PDFs โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตกของเมียนมา
รัฐธรรมนูญของเมียนมาระบุว่าสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งแรกได้เป็นเวลาหนึ่งปี และสามารถขยายเวลา “ตามปกติ” ออกไปได้สูงสุด 2 วาระ วาระละครึ่งปี ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ NDSC ที่ครอบงำโดยทหาร
อย่างไรก็ตาม นายพลมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหาร ได้ขยายภาวะฉุกเฉินออกไปแล้ว 6 ครั้ง แต่ละครั้งเขากล่าวถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่เขาสัญญาไว้หลังรัฐประหารเกิดขึ้นได้
Assistance Association for Political Prisoners รายงานว่า ได้ตรวจสอบแล้วว่าพลเรือนอย่างน้อย 5,464 คนถูกสังหารโดยรัฐบาลทหารนับตั้งแต่การรัฐประหาร และอีกกว่า 27,000 คนถูกจับกุม ตัวเลขเหล่านี้มีแนวโน้มว่ารายงานการเสียชีวิตและการจับกุมต่ำกว่าที่รายงาน เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้รวมเฉพาะที่สามารถตรวจสอบได้