ThaiPublica > เกาะกระแส > ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ข้าม “เส้นแดง” ทำให้เสี่ยงจะเกิดสงครามทั่วตะวันออกกลาง

ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ข้าม “เส้นแดง” ทำให้เสี่ยงจะเกิดสงครามทั่วตะวันออกกลาง

19 เมษายน 2024


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

อิสราเอลโจมตีสถานทูตอิหร่านในดามัสกัส ซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/2024_Iranian_strikes_in_Israel

เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว ที่อิสราเอลและอิหร่านได้ต่อสู้กันในที่ต่างๆทั่วตะวันออกกลาง ด้วยรูปแบบ “สงครามในความมืด” (shadow war) โดยใช้วิธีการโจมตีทางบก ทางทะเล ทางอากาศ และทางคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อวันที่ 13 เมษายน อิหร่านเปิดปฏิบัติการทางทหารชื่อ Operation True Promise เพื่อตอบโต้อิสราเอล ที่โจมตีสถานทูตอิหร่านในดามัสกัส ซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน

ภายในเวลา 24 ชม. อิหร่านยิงโดรนและขีปนาวุธมากกว่า 300 ลูก โจมตีที่ตั้งทางทหารของอิสราเอล ขีปนาวุธบางส่วนเป็นการโจมตีโดยตรง จากดินแดนอิหร่านต่ออิสราเอล แม้อิสราเอลและพันธมิตรประสบความสำเร็จ ในการยิงทำลายขีปนาวุธดังกล่าวได้แทบทั้งหมด แต่ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของอิหร่านก็ประกาศความสำเร็จในการโจมตีครั้งนี้

ปฏิบัติการข้ามจุดเรียกว่า “เส้นแดง”

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า อิหร่านจะตอบโต้อิสราเอล ที่โจมตีสถานทูตอิหร่านในซีเรีย ทำให้ผู้บัญชาการระดับสูงอิหร่านหลายคนเสียชีวิต แต่ก็คิดว่าอิหร่านอาจใช้วิธีการตอบโต้แบบที่เคยทำในอดีต คือการโจมตีในทางอ้อมและแบบลับๆ แต่ในครั้งนี้ ปฏิบัติการของอิหร่านได้ข้าม “เส้นแดง” (red line) หรือจุดที่อีกฝ่ายจะไม่ผ่อนปรนใดๆ เพราะฉะนั้นฉากความขัดแย้งต่อไปของสองประเทศนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง กับความไม่แน่นอนอย่างมาก และเป็นอันตรายต่อภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด

เมื่อรูปแบบการตอบโตของอิหร่านปรากฏออกมา และความสำเร็จของอิสราเอลในการทำลายการโจมตี บรรดาผู้นำประเทศต่างๆก็แสดงความหวังออกมาว่า ความขัดแย้งสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ขยายตัวออกไปได้ โจ ไบเดนบอกกับเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลว่า อิสราเอลควรจะถือเป็นชัยชนะ และสหรัฐฯคัดค้านการตอบโต้ของอิสราเอล

อิหร่านยิงโดรนและขีปนาวุธมากกว่า 300 ลูก โจมตีที่ตั้งทางทหารของอิสราเอล ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/2024_Iranian_strikes_in_Israel

อันตรายจาก “การคาดการณ์ผิด”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า ลักษณะความขัดแย้ง อิสราเอล-อิหร่าน ที่คุกรุ่นมายาวนาน ได้เปลี่ยนไปแล้ว ทำให้ยากมากขึ้นที่แต่ละฝ่ายจะคาดการณ์ว่า อะไรคือเป้าหมาย และปฏิกิริยาตอบโต้ของอีกฝ่ายหนึ่ง Ali Vaez จาก International Crisis Group กล่าวกับ New York Times ว่า

“เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายอ้างชัยชนะ อิหร่านพูดได้ว่าตัวเองได้แก้แค้น อิสราเอลพูดได้ว่าตัวเองเอาชนะการโจมตีจากอิหร่าน สหรัฐฯพูดได้ว่า สามารถยับยั้งอิหร่าน และปกป้องอิสราเอล หากมีการตอบโต้กันและกันรอบใหม่ ง่ายที่เหตุการณ์จะคุมไม่อยู่ ไม่เพียงแต่ระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล แต่กับภูมิภาคทั้งหมด และทั่วโลก”

เป็นเวลาหลายปีที่อิหร่านใช้วิธีการต่อสู้กับอิสราเอล ในสิ่งที่นักยุทธศาสตร์ของอิสราเอลเรียกว่า “วงแหวนไฟ” ที่ล้อมรอบอิสราเอล โดยการให้การสนับสนุนทางอาวุธแก่กลุ่มฮิซบอลล์เลาะห์ในเลบานอน กลุ่มฮามาส กลุ่มอิสลามิก จิฮัดปาเลสไตน์ กลุ่มสนับสนุนอิหร่านในซีเรีย กลุ่มฮูติในเยเมน และกองกำลังติดอาวุธในอิรัก อิหร่านยังดำเนินโครงการนิวเคลียร์ ที่อิสราเอลถือเป็นภัยต่อการดำรงอยู่ของอิสราเอล

ในการตอบโต้กลุ่มพันธมิตรอิหร่านในหลายแนวรบ อิสราเอลอาศัยการรณรงค์ต่อต้านอิหร่านด้วยตัวเอง อิสราเอลใช้ปฏิบัติการลับในดินแดนอิหร่าน ที่มีเป้าหมายที่แหล่งดำเนินงานด้านนิวเคลียรน์ และต่อตัวนักวิทยาศาสตร์อิหร่าน เล็งเป้าหมายที่การขนส่งอาวุธของอิหร่าน มายังซีเรียและเลบานอน

แต่ทั้งสองฝ่ายก็ระวังไม่ให้การโจมตีตอบโต้กันและกัน ขยายตัวออกไปจนคลุมไม่อยู่ แต่การพยายามรักษาเสถียรภาพดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีชุมชนชาวยิวที่อยู่รอบๆกาซ่า เพื่อแสดงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในกาซ่า กองกำลังติดอาวุธสนับสนุนอิหร่านเริ่มโจมตีที่ตั้งทางทหารอิสราเอลและสหรัฐฯ

ฝ่ายอิสราเอลตอบโต้ ด้วยการโจมตีกลุ่มที่อิหร่านหนุนหลัง ในเลบานอนและซีเรีย และต่อมาคือโจมตีบุคลากรทางทหารของอิหร่าน ช่วงธันวาคม-มีนาคม ที่ผ่านมา อิสราเอลสังหารผู้บัญชาการและที่ปรึกษา กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม 10 กว่าคน ปฏิบัติการของอิสราเอลมาจบลงที่การโจมตีทางอากาศต่อสถานทูตอิหร่านในเมืองดามัสกัส ซีเรีย เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยสังหานายพล Mohammad Reza Zahedi ที่รับผิดชอบประสานงานกองกำลังปฏิบัติการพิเศษ (Quds Force) ของอิหร่าน ในซีเรียและเลบานอน

New York Times รายงานว่า นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ความขัดแย้งที่กลายเป็นสงครามเปิดเผยระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน มาจากการคาดการณ์ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่อิสราเอล ในการโจมตีสถานทูตอิหร่านในซีเรีย ที่สังหารเจ้าหน้าที่ทหารอิหร่าน 7 คน เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 คน การโจมตีครั้งนี้ ทำให้อิหร่านเปิดการโจมตีเป็นครั้งแรกต่อดินแดนอิสราเอล ต่อมาเจ้าหน้าที่อิสราเอลก็ยอมรับว่า คาดการณ์ผิดต่อปฏิกิริยาตอบโต้จากอิหร่าน

ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/2024_Iranian_strikes_in_Israel

ท่าทีที่เปลี่ยนไปของอิหร่าน

การโจมตีโดยตรงต่ออิสราเอล สะท้อนการเปลี่ยนความคิดของอิหร่าน ที่ผ่านมาในอดีต ท่าทีของอิหร่านคือ “ความอดทนทางยุทธศาสตร์” (strategic patience) ต่ออิสราเอลกับสหรัฐฯ โดยสนับสนุนและเสริมสร้างกองกำลังที่เป็นตัวแทน และไม่ใช่การตอบโต้ที่เป็นการยั่วยุ อิหร่านเชื่อว่าเครือข่าย “วงแหวนไฟ” ที่สร้างขึ้นมา จะช่วยแสดงถึงอำนาจของอิหร่าน โดยไม่ต้องมีการเผชิญหน้าโดยตรง

แม้ผู้นำสายแข็งกร้าวของอิหร่านอาจมองว่า ท่าทีที่อดทนเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่รัฐบาลอิหร่านก็ไม่ต้องการที่จะไปไกลกว่านี้ การโจมตีเมื่อวันที่ 13 เมษายนของอิหร่าน จึงเป็นปฏิบัติการ ทั้งที่แสดงอำนาจทางทหารของอิหร่าน และการหลีกเลี่ยงการตอบโต้จากอิสราเอลและจากสหรัฐฯ

ก่อนการโจมตี อิหร่านได้ส่งสัญญาณล่วงหน้าถึงสหรัฐฯและรัฐบาลในตะวันออกกลาง เพื่อให้มีการเตรียมป้องกันตัว อิหร่านเน้นว่า การตอบโต้จะเป็นแบบจำกัดและได้สัดส่วน ทางทำเนียบขาวเองก็กล่าวว่า อิหร่านจะโจมตีเฉพาะที่ตั้งทางทหาร หลังจากการโจมตีสิ้นสุดลง หัวหน้าเสนาธิการทหารของอิหร่านก็ประกาศว่า ปฏิบัติการของอิหร่านสิ้นสุดลงแล้ว และอิหร่านไม่ประสงค์จะปฏิบัติการต่อเนื่อง

แต่คำประกาศของอิหร่าน อาจเป็นบทสรุปต่อความขัดแย้งที่มีต่ออิสราเอล แต่ฝ่ายอิสราเอลก็มีสิทธิ์ที่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้เหมือนกัน แม้ระบบป้องกันของอิสราเอลจะประสบความสำเร็จในการรับมือกับขีปนาวุธจากอิหร่าน อิสราเอลก็อาจเลือกที่จะตอบโต้

หากอิสราเอลตอบโต้โดยโจมตีในดินแดนอิหร่าน สถานการณ์จะปานปลายอย่างรวดเร็ว สองประเทศนี้อาจตกอยู่ในสถาณการณ์ที่กลายเป็นศัตรูกันโดยตรงอย่างเรื้อรัง กลายเป็นปัจจัยที่ทำลายเสถียรภาพของตะวันออกกลาง ที่อันตรายอยู่แล้ว มากขึ้นไปอีก ความขัดแย้งนี้สามารถกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

สหรัฐฯที่ถูกกดดันให้ปกป้องอิสราเอล ก็จะเข้ามามีส่วนโดยตรงกับความขัดแย้ง กองกำลังสนับสนุนอิหร่านจะใช้ความรุนแรงมากขึ้น อิหร่านจะหันไปเป็นพันธมิตรกับจีนและรัสเซียมากขึ้น

ทาง IMF ก็ออกมาเตือนว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่ขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น ทำให้เสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น ทำให้กระแสเงินเฟ้อที่กำลังอ่อนตัวลง หวนกลับมาใหม่ และทำลายบรรยากาศที่สดใสของตลาดเงิน ที่กำลังมองว่า เศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะ Soft Landing หรือเติบโตต่ำ โดยมีภาวะเงินเฟ้อต่ำลง อัตราดอกเบี้ยลดลง และสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย

แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะทำให้มีความหวังว่า ความขัดแย้งที่จะขยายตัวออกไป เป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สหรัฐฯพยายามมาตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว ที่จะไม่ให้เกิดความขัดแย้งทั่วภูมิภาค สหรัฐฯส่งข้อความถึงเนทันยาฮูว่า ให้ถือเป็นชัยชนะ ที่ระบบป้องกันของอิสราเอลสามารถทำลายการโจมตีจากอิหร่าน แต่สหรัฐฯก็ไม่สามารถประกันได้ว่า ผู้นำอิสราเอลจะอยู่นิ่งเฉย

ผู้นำอิหร่านก็ประกาศว่า หากอิสราเอลตอบโต้ ก็พร้อมที่จะขยายความขัดแย้ง ตะวันออกกลางจึงมีความเสี่ยง ที่ความขัดแย้งจะกว้างขวางมากขึ้น โดยไม่มีฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะ

เอกสารประกอบ
Miscalculation Leads to Escalation as Israel and Iran Clash, April 17, 2024, nytimes.com
The Middle East Could Still Explode, Ali Vaez, April 15, 2024, foreignaffairs.com
Middle East conflict risks sharp rise in oil prices, say IMF, 16 April 2024, theguardian.com