ThaiPublica > เกาะกระแส > เสียงกลองรบระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน “หากคุณชอบ (สงคราม) อิรักกับอัฟกานิสถาน คุณจะรักอิหร่าน”

เสียงกลองรบระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน “หากคุณชอบ (สงคราม) อิรักกับอัฟกานิสถาน คุณจะรักอิหร่าน”

23 มิถุนายน 2019


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

โดรน Global Hawk ที่ถูกยิงตก ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Northrop_Grumman_RQ-4_Global_Hawk#/media/File:Global_Hawk_1.jpg

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน กำลังปานปลายไปสู่ความขัดแย้งทางการทหาร เหตุการณ์ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติให้โจมตีทางทหารต่ออิหร่าน เพื่อตอบโต้กรณีที่เครื่องบินไร้คนขับหรือโดรนของสหรัฐฯ ถูกอิหร่านยิงตก เมื่อเช้าวันพฤหัสที่ 20 มิถุนายน แต่แล้วทรัมป์ก็มีคำสั่งให้ระงับการโจมตีดังกล่าว ทั้งๆ ที่เครื่องบินรบสหรัฐฯ ได้บินขึ้นเพื่อปฏิบัติการโจมตีแล้ว

เครื่องโดรนที่ถูกยิงตก เป็นการเผชิญหน้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน อิหร่านกล่าวว่า เครื่องโดรนบินเหนือน่านฟ้าอิหร่าน ส่วนสหรัฐฯ กล่าวว่า บินอยู่บนน่านฟ้าสากล วิกฤติระหว่าง 2 ประเทศ เริ่มต้นจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวฝ่ายเดียวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านปี 2015 เพื่อใช้นโยบาย “มาตรการกดดันสูงสุด” ต่ออิหร่าน และการตอบโต้ของอิหร่าน จากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้น

ความเป็นมาของความขัดแย้ง

การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านเริ่มต้นเมื่อหนึ่งปีมาแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2018 สหรัฐฯ ถอนตัวฝ่ายเดียวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 กับอิหร่าน แต่ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ รัสเซีย และจีน ประกาศว่า จะยังคงรักษาข้อตกลงนี้ แต่ทรัมป์ก็บอกกับชาติในยุโรปว่า บริษัทยุโรปจะถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ หากยังทำธุรกิจกับอิหร่าน

ในเดือนเมษายน 2019 รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า กองกำลังปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard) ของอิหร่าน เป็นองค์กรก่อการร้าย นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ระบุว่าองค์กรของรัฐบาลต่างประเทศเป็นภัยคุกคาม มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแรงกดดันสูงสุดต่ออิหร่าน ที่มีเป้าหมายให้ให้อิหร่านเลิกล้มนโยบายขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง

วันที่ 5 พฤษภาคม 2019 นายจอห์น โบลตัน (John Bolton) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว ประกาศว่า สหรัฐฯ จะส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเครื่องบินทิ้งระเบิดไปตะวันออกกลาง ทั้งนี้เพื่อส่งสัญญาณให้รัฐบาลอิหร่านเห็นว่า การโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และพันธมิตรจะต้องเผชิญกับการตอบโต้

วันที่ 8 พฤษภาคม 2019 ทรัมป์ออกมาตรการใหม่โดยคว่ำบาตรการส่งออกโลหะอุตสาหกรรมของอิหร่าน โดยทรัมป์ประกาศว่า จะไม่อดทนกับการที่ประเทศอื่นๆ อนุญาตให้มีการขนส่งเหล็กกล้าและโลหะอุตสาหกรรมอื่นๆ มายังท่าเรือของประเทศนั้น ยิ่งกว่านั้น ทรัมป์โจมตีการส่งออกน้ำมันของอิหร่านโดยตรง โดยห้ามไม่ให้ประเทศอื่นๆ ซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ไม่เช่นนั้นจะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร หลังจากที่สหรัฐฯ เคยให้การยกเว้น โดยไม่ถูกสหรัฐฯ ลงโทษ

ที่มาภาพ : สำนักข่าว Iranian News Agency

วันที่ 13 มิถุนายน 2109 เกิดระเบิดขึ้นที่เรือบรรทุกน้ำมันของญี่ปุ่นและนอร์เวย์ ที่แล่นในอ่าวโอมาน กองบัญชาการทหารสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง เผยแพร่วิดีโอที่เรือของกองกำลังอิหร่านเข้าไปจอดเทียบเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อเคลื่อนย้ายระเบิดที่ไม่ทำงานออกไป สหรัฐฯ กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการระเบิด ขณะที่นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เสนอให้มีการสอบสวนอย่างอิสระต่อเหตุการณ์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในภูมิภาคนี้ เหตุการณ์นี้ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 3%

กรณีเครื่องโดรน Global Hawk

ในวันที่ 20 มิถุนายน 2019 เครื่องโดรน Global Hawk ของสหรัฐฯ ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธจากพื้นดินสู่อากาศของอิหร่าน ขณะที่กำลังบินในระดับสูง เพื่อตรวจการเหนือช่องแคบฮอร์มุซ อิหร่านกล่าวหาว่า เครื่องโดรนบินอยู่เหนือน่านน้ำอิหร่าน แต่ฝ่ายทหารของสหรัฐฯ กล่าวว่า บินเหนือน่านน้ำสากล กรณีล่าสุดนี้ ทำให้ทรัมป์สั่งให้มีการตอบโต้ทางทหาร แต่ในที่สุดก็ให้ระงับการโจมตี

ในบทความชื่อ Not All Drones Are Created Equal ในเว็บไซต์ theatlantic.com กล่าวว่า เครื่องโดรนมีอยู่หลายประเภท บางประเภทใช้บินหาข่าว บางประเภทสามารถโจมตีทางทหาร และบางประเภทสามารถทำหน้าที่ได้ทั้ง 2 อย่าง แต่เครื่องโดรน Global Hawk เป็นเครื่องบินไร้คนขับ ที่บินหาข่าวและเก็บข้อมูล เหมือนกับเครื่องบินจารกรรม U-2 ของสหรัฐฯ ในอดีต ที่เคยถูกสหภาพโซเวียตยิงตกมาแล้วในปี 1960

โดรน Global Hawk ไม่สามารถโจมตีทางทหารต่อเป้าหมาย การป้องกันตัวเองอาศัยระดับการบินที่สูงกว่า 65,000 ฟุตหรือ 20 กิโลเมตรขึ้นไป หรือบินได้สูง 2 เท่าของเครื่องบินพาณิชย์ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงระบบป้องกันทางอากาศของฝ่ายตรงกันข้าม เครื่องสามารถบินได้นาน 30 ชั่วโมง เพื่อถ่ายภาพและจับสัญญาณการสื่อสารต่างๆ เครื่องโดรนรุ่นนี้มีราคา 130 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงพอๆ กับราคาเครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 737

บทความของ theatlantic.com กล่าวอีกว่า สหรัฐฯ มีเครื่องโดรนแบบ Predators และ Reapers ที่ใช้โจมตีเป้าหมายผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและเยเมน เครื่องโดรนนี้จะบินเหนือเป้าหมายอยู่นานเป็นวันหรือสัปดาห์เพื่อดูสถานการณ์ แล้วยิงขีปนาวุธสู่เป้าหมาย แต่เนื่องจากเป็นโดรนที่บินระดับต่ำและช้า โดรนแบบนี้จึงทำงานได้ไม่มากในประเทศที่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ดี และก็เสี่ยงที่จะทำให้ความขัดแย้งขยายตัว เพราะฝ่ายตรงกันข้ามไม่รู้ว่าโดรน Predators และ Reapers บินเข้ามาหาข้อมูล หรือว่าจะบินมาโจมตี เมื่อมีความไม่แน่นอน ก็ย่อมเสี่ยงที่จะเกิดการคาดการณ์ที่ผิดพลาดขึ้นมา

ผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน

การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเสี่ยงที่จะกระทบต่อระบบอุปทานของน้ำมันโลก เพราะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นเส้นทางลำเลียงที่สำคัญสุดของน้ำมันโลก ประเทศในอ่าวเปอร์เซียเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของน้ำมันโลก ล้วนต้องอาศัยเส้นทางลำเลียงผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งจุดที่แคบสุดมีความกว้าง 33.7 กิโลเมตร ที่เรือบรรทุกน้ำมันจะต้องแล่นผ่าน ก่อนจะไปสู่ตลาดน้ำมันในโลก

เดือนเมษายนที่ผ่านมา อิหร่านขู่ที่จะปิดเส้นทางขนส่งน้ำมันทางช่องแคบฮอร์มุซ เมื่อทรัมป์ยกเลิกการผ่อนปรนให้ประเทศที่ยังสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน เพราะมาตรการนี้ของสหรัฐฯ กระทบอย่างมากต่อรายได้ของอิหร่าน พลตรีโมฮัมหมัด บาเคอรี (Mohammad Baqery) ผู้บัญชาการ กองทัพอิหร่านก็ประกาศว่า “หากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านตัดสินใจที่จะขวางการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ก็มีความเข็มแข็งทางทางทหารพอ ที่จะทำสิ่งนี้ได้อย่างเต็มที่และอย่างเปิดเผย” ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ถือว่าเสรีภาพในการเดินเรือทางทะเล เป็นผลประโยชน์สำคัญสุดของสหรัฐฯ

ช่องแคบฮอร์มุซ ยังเป็นจุดที่มีปริมาณขนส่งน้ำมันมากสุดของโลก ที่มาภาพ : maritime- executive.com

ช่องแคบฮอร์มุซมีลักษณะเป็นรูปตัว V ที่เชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับมหาสมุทรอินเดีย ทางเหนือคืออิหร่าน ส่วนทางใต้คือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และโอมาน ช่องแคบฮอร์มุซมีความสำคัญอย่างมากต่อการค้าน้ำมันโลก ปีที่แล้ว ในแต่ละวัน มีเรือบรรทุกที่ขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติปริมาณ 20.7 ล้านตันต่อวัน แล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน อิรัก ยูเออี คูเวต และกาตาร์ ล้วนส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ ผ่านช่องแคบ

หากชอบสงคราม จะรักอิหร่าน

เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) อดีตผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต เขียนลง theguardian.com ในบทความชื่อ We must stop the US from going to war with Iran ว่า สงครามกับอิหร่านจะกลายเป็นหายนะภัย เหมือนกับที่อดีตผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง นายพลแอนโทนี ซินไน (Athony Zinni) เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณชอบ (สงคราม) อิรักกับอัฟกานิสถาน คุณจะรักอิหร่าน”

หากสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน อิหร่านสามารถจะตอบโต้โดยการโจมตีทหารสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เหตุการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การไร้เสถียรภาพในภูมิภาคนี้แบบที่ไม่อาจจะคาดคิดออกมาได้ ผลที่ตามมาก็คือ ภาวะการทำสงครามที่ยืดเยื้อหลายปี

เบอร์นี แซนเดอร์ส เขียนไว้ว่า เมื่อ 16 ปีที่แล้ว สหรัฐฯ ทำความผิดพลาดด้านนโยบายต่างประเทศครั้งที่เลวร้ายสุดโดยการโจมตีอิรัก สงครามครั้งนั้นมีการนำมาเสนอขายให้กับคนอเมริกันด้วยเรื่องราวความเท็จเกี่ยวกับอาวุธทำลายล้าง สงครามนี้ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 4,400 นาย พลเรือนอิรักตายหลายแสนคน สงครามอิรักยังก่อให้เกิดคลื่นความคิดหัวรุนแรง และความปั่นป่วนทั่วตะวันออกกลาง

เบอร์นี แซนเดอร์ส กล่าวสรุปว่า อิหร่านดำเนินนโยบายไม่ดีหลายอย่าง เช่น ปราบปรามประชาชนของตัวเองอย่างรุนแรง และสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงทั่วภูมิภาค แต่สิ่งนี้ก็สามารถพูดได้ว่า พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างซาอุดีอาระเบียก็มีนโยบายแบบเดียวกัน สหรัฐฯ จำเป็นต้องมีท่าทีที่เที่ยงธรรมมากขึ้นต่อตะวันออกกลาง ไม่ใช่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งที่ต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง ในเรื่องปัญหาความขัดแย้งของภูมิภาคตะวันออกกลาง สหรัฐฯ มีความเข้มแข็งพอที่จะอาศัยวิธีการทางการทูตมาแก้ปัญหา โดยการร่วมมือกับประเทศพันธมิตรต่างๆ ทั่วโลก

เอกสารประกอบ
The U.S. Has Turned Up Pressure on Iran. See the Timeline of Events, Helene Cooper, The New York Times, June 14, 2019.
Not All Drones Are Created Equal, Amy Zegart, theatlantic.com, 22 June 2019.
We must stop the US from going to war with Iran, Bernie Sanders, 21 June 2019.