ThaiPublica > เกาะกระแส > ‘หม่อมอุ๋ย – ณรงค์ชัย – คุรุจิต’ ส่ง จม.เปิดผนึกถึงนายกฯ จี้ทบทวนนโยบายพลังงาน ก่อนหนี้ท่วม!

‘หม่อมอุ๋ย – ณรงค์ชัย – คุรุจิต’ ส่ง จม.เปิดผนึกถึงนายกฯ จี้ทบทวนนโยบายพลังงาน ก่อนหนี้ท่วม!

1 มีนาคม 2024


เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และดร.คุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน แถลงข่าวเรื่องการทำหนังสือเปิดผนึกเกี่ยวกับความเสียหายของนโยบายพลังงานที่เป็นมาและกำลังจะเป็นไปในรัฐบาลชุดนี้ ถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ณ สถาบันคึกฤทธิ์ ซอยงามดูพลีทุ่งมหาเมฆ กทม.

‘หม่อมอุ๋ย – ณรงค์ชัย – คุรุจิต’ ส่ง จม.เปิดผนึกถึงนายกฯ จี้ รมว.พลังงานทบทวนนโยบายพลังงาน พร้อมเร่งสางหนี้กองทุนน้ำมันฯ – หนี้ กฟผ.สะสมกว่า 2 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน แถลงข่าวเรื่องการทำหนังสือเปิดผนึกเกี่ยวกับความเสียหายของนโยบายพลังงานที่เป็นมาและกำลังจะเป็นไปในรัฐบาลชุดนี้ ถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีรายละเอียดดังนี้

พวกกระผมที่มีรายนามปรากฏท้ายหนังสือนี้ มีความเป็นห่วงในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง อันเนื่องมาจากนโยบายพลังงานในหลาย ๆเรื่องที่รัฐบาลของ ฯพณฯ กำลังขับเคลื่อนอยู่ จึงใคร่ขอเรียนให้ทราบถึงความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นดังต่อไปนี้

1. เมื่อรัฐบาลปัจจุบันเริ่มเข้าบริหารงาน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระหนี้สินจำนวน 48,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลให้หนี้สินจำนวนนี้ลดลงไป หรือ อย่างน้อย ก็ไม่เพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่าเพียงแค่ 5 เดือนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2567 หนี้สินกองทุนน้ำมันฯได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 84,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพราะกระทรวงพลังงานได้กดราคาน้ำมันดีเซลลง จากลิตรละ 32 บาท เป็นลิตรละ 30 บาท และได้ลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ลงอีกลิตรละ 2.50 บาท อันเป็นผลให้กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาสำหรับน้ำมันดีเซลและลดการเก็บเงินเข้ากองทุนฯจากน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ รวมถึงตรึงราคา LPG ไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากปล่อยไปเช่นนี้ หนี้ของกองทุนน้ำมันก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกจนถึงเพดานหนี้ตามที่กฎหมายกำหนดกรอบไว้ขณะนี้ คือ 110,000 ล้านบาทในเวลาอีกไม่นานนัก การลดราคาน้ำมันลงเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของรถก็จริง แต่เมื่อหนี้ของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งที่เกินความสามารถที่จะชำระคืน รัฐบาลก็คงต้องนำเงินจากภาษีที่เก็บจากประชาชนทั้งประเทศไปล้างหนี้ดังกล่าว ซึ่งเท่ากับว่าในส่วนของราคาน้ำมัน ประชาชนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ต้องมาช่วยแบกภาระหนี้แทนเจ้าของรถที่มีฐานะดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลที่ดีพึงระวังไม่ให้เกิดขึ้น

ในช่วงนี้ที่น้ำมันในตลาดโลกราคายังมิได้ผันผวนถึงขั้นวิกฤติ คือ ค่อนข้างนิ่งและมีแนวโน้มลดลงมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2586 จนถึงปัจจุบัน จึงควรเรียกเก็บเงินเข้าเพื่อมาคืนสภาพคล่อง และลดหนี้ให้แก่กองทุนฯ

2. ในรัฐบาลที่แล้ว เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมากอันเนื่องมาจากภาวะสงครามในยุโรป รัฐบาลก่อนได้ชะลอการปรับค่าไฟฟ้า Ft ไว้เพื่อไม่ให้ค่าไฟฟ้าที่จะเก็บจากประชาชนเพิ่มขึ้นในจำนวนสูงเกินไป โดยให้ กฟผ.รับภาระราคาก๊าซ LNG ที่เพิ่มสูงขึ้นไว้ก่อนแล้ว จึงจะค่อยทยอยผ่อนคืน กฟผ.โดยการขึ้นค่า Ft ทีละนิดในงวดถัด ๆไป

ณ สิ้นเดือน สิงหาคม 2566 หนี้ค่า Ft ที่ กฟผ.แบกรับไว้มียอดค้างอยู่ 110,000 ล้านบาท พอรัฐบาลชุดใหม่รับงาน เป็นจังหวะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะต้องอนุมัติปรับค่าไฟฟ้า ซึ่งตั้งใจจะปรับลดจากงวดก่อน จากหน่วยละ 4.70 บาท เป็นหน่วยละ 4.45 บาท (ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2566) เพื่อให้พอมีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่ กฟผ.แบกรับไว้ลงบ้าง ปรากฎว่ารัฐบาลใหม่กลับประกาศกดราคาค่าไฟฟ้าลงไปอีกเหลือหน่วยละ 3.99 บาท ซึ่งมีผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นอีก คือเพิ่มสูงขึ้นเป็น 137,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 หากปล่อยไปเช่นนี้ ในที่สุดก็คงจะต้องนำเงินภาษีของประชาชนไปล้างหนี้จำนวนนี้ให้ กฟผ.เพื่อให้ กฟผ.ดำเนินกิจการต่อไปได้

รัฐบาลที่ดีย่อมจะต้องตระหนักว่า มีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลไม่ให้มีการหมักหมมปัญหา และหมกหนี้ไว้ที่หน่วยงานของรัฐ และตั้งใจหามาตรการที่จะทยอยลดหนี้ใด้ตั้งแต่ที่ปัญหายังไม่หนักเกินไป ก็จะสามารถสะสางปัญหาให้จบลงด้วยดีได้ โดยไม่ต้องรบกวนภาษีของประชาชน

3. รัฐบาลไทยในอดีตได้ออกนโยบายที่เป็นคุณต่อสิ่งแวดล้อมในอากาศ คือ วางแผนให้มีการผลิตน้ำมันคุณภาพสูงขึ้นเป็นมาตรฐาน Euro 5 โดยได้มีการขอความร่วมมือและจูงใจให้โรงกลั่นในประเทศทั้ง 6 โรง ลงทุนก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ปรับกระบวนการผลิตให้ได้น้ำมันคุณภาพ Euro 5 ซึ่งใช้เงินลงทุนไปจำนวนมากหลายหมื่นล้านบาท พร้อมกันนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ดำเนินการออกมาตรฐานรถยนต์ใหม่ให้รองรับคุณภาพน้ำมันใหม่ และกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกมาตรฐานบังคับใช้คุณภาพน้ำมันที่ลดกำมะถันลงให้เหลือไม่เกิน 10 ppm กับลดค่า NOx และฝุ่น PM ลงไม่เกิน 8% ภายใน 5 ปี โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 โดยเป็นที่เข้าใจกันว่ากระทรวงพลังงานจะปรับสูตรสำหรับคิดราคาน้ำมันอ้างอิงที่หน้าโรงกลั่นให้สะท้อนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน เพื่อให้มีความสามารถในการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพสูงขึ้นเป็นระดับ Euro 5

ปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ ทั้ง ๆที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศให้ใช้น้ำมันระดับ Euro 5 แล้ว กระทรวงพลังงานภายใต้รัฐบาลใหม่ ยังนิ่งเฉย แสดงท่าทีไม่ยอมรับคุณภาพน้ำมันสะอาดใหม่นี้ โดยไม่พิจารณาปรับราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นของเบนชิน/แก๊สโซฮอล์และดีเซล จนภาคเอกชน คือ สภาอุตสาหกรรมฯ ต้องออกมาเรียกร้องขอให้ปรับสูตรราคาอ้างอิงดังกล่าว หากรัฐบาลเพิกเฉยไม่ทำอันใด ในที่สุดผู้ค้าน้ำมัน ก็คงจะไม่ยอมรับในราคาอ้างอิงในแบบเดิม ๆที่รัฐกำหนด และเลือกใช้วิธีกำหนดราคาขายหน้าปั๊มเอง ซึ่งอาจมีผลเสียต่อผู้บริโภคมากกว่า และโรงกลั่น ก็จะไม่ยอมลงทุนอะไรไปก่อนอีก ตามที่รัฐขอความร่วมมือในอนาคต นอกจากนี้ นโยบายของรัฐในสายตาของนักลงทุนก็จะขาดความน่าเชื่อถือและเสื่อมถอยลงด้วย

4. คุณภาพอากาศกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ปัญหาของฝุ่นควันในต่างจังหวัดเกิดจากการเผาไร่ และเผาป่าเป็นสาเหตุใหญ่ ในขณะที่สาเหตุหลักของฝุ่นควันในอากาศบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ คือ ควันพิษจากรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เบนซิน และแก๊สโซฮอล์ รัฐบาลในอดีตและปัจจุบันมีนโยบายที่จะกระตุ้นให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้าสาธารณะ หรือ ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นพาหนะส่วนตัว เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาควันพิษในอากาศลงบ้าง แต่การลดราคาน้ำมันต่ำลง ย่อมเป็นการกระตุ้นให้มีการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างฟุ่มเฟือย และก่อให้เกิดควันพิษมากขึ้น ดูเป็นนโยบายที่ขัด หรือ ย้อนแย้งกับเรื่องการดูแลคุณภาพอากาศและพลังงานสะอาดอย่างชัดเจน ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะลดปัญหาควันพิษในอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน กับจะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จริงหรือไม่?

5. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 กระทรวงพลังงานใช้กลเม็ดการคิดเลขในการหาต้นทุนที่ต่ำลง สำหรับก๊าซใน Pool Gas ที่ใช้สำหรับผลิตไฟฟ้า โดยมิได้เป็นการจัดหาและนำก๊าซต้นทุนต่ำมาเพิ่มเติมใน Pool Gas แต่อย่างใด กล่าวคือ กระทรวงพลังงานปรับสูตรการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติใน Pool Gas ใหม่ โดยนำราคาก๊าซธรมชาติจากอ่าวไทย (ซึ่งมีราคาต่ำกว่าราคาก๊าซจากพม่า และก๊าซ LNG) ส่วนที่เคยส่งเป็นวัตถุดิบไปเข้าโรงแยกก๊าซ เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ คือ อีเทนและโพรเพน ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเอามารวมคำนวณเป็นราคาใน Pool Gas เพื่อให้ได้ราคาเฉลี่ย สำหรับการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำลง ผลที่ตามมาก็ คือ ราคาของก๊าซส่วนที่แยกไปใช้ผลิตเป็นวัตถุดิบในโรงแยกก๊าซ (GSP)เพิ่มสูงขึ้นทันที อันส่งผลต่อการทำผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง และทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของปิโตรเคมี ทั้งระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบอันส่งผลความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีอำนาจเพียงกำหนดอัตราค่าบริการก๊าซธรรมชาติ ก็แต่เฉพาะก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นพลังงานเท่านั้น มิได้มีอำนาจกำหนดราคาก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบนโยบายที่มอบให้กกพ.นี้จึงสุ่มเสี่ยงที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายด้วย

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประเทศไทยใช้เวลามากกว่า 39 ปีในการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมปีโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอาทิ พลาสติก สิ่งทอ และอะไหล่รถยนต์หลายพันกิจการ ก่อให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมระดับโลกขึ้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง และความโชติช่วงชัชวาลขึ้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และช่วยทำให้ GDP และการส่งออกของไทยเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งในปี 2564 เฉพาะกลุ่มปีโตรเคมีและกลุ่มแปรูรูปพลาสติก มียอดขายรวมถึง 1,720,000 ล้านบาท หรือ 10.7% ของรายได้ประชาชาติของไทย มีการจ้างงานรวมกว่า 400,000 คน ตันทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมากทันที เพราะการกำหนดสูตรราคาก๊าซใหม่นี้ โดยเพิ่มขึ้นระหว่าง 30-40% จะกระทบอย่างรุนแรงต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเหล่านี้อย่างแน่นอน หากปล่อยไว้นานเกินไปจะกระทบถึงฐานะของกิจการจนต้องทยอยปิดลง กระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาวได้

ผมเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดผลเสียในลักษณะดังกล่าว และยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ โดยการกลับไปใช้สูตรการคำนวนราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม

พวกกระผมเข้าใจดีว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้ผู้บริโภคได้ใช้น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม LPG และไฟฟ้าที่ราคาถูก แต่ในการดำเนินนโยบายเพื่อความตั้งใจดีนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผลเสียที่เกิดขึ้นด้วย

พวกกระผมเห็นว่าผลเสียที่กำลังเกิดขึ้นใหญ่หลวงทีเดียว และจะขยายตัวอย่างรวดเร็วกับก่อกระทบในวงกว้าง จึงได้เขียนหนังสือนี้ถึง ฯพณฯ ด้วยเห็นว่า ฯพณฯ เป็นคนเดียวที่สามารถบันดาลให้มีการปรับแก้นโยบายของกระทรวงพลังงานทุกเรื่องที่กล่าวถึงนั้นได้ พวกกระผมเห็นในความตั้งใจของ ฯพณฯ ที่มุมานะพยายามทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง และมีความหวังว่า ฯพณฯ จะแก้ปัญหา และหยุดยั้งความเสียหายต่อประเทศชาติในครั้งนี้ใด้ ขอแสดงความนับถือ ลงชื่อ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี , นายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน