ThaiPublica > เกาะกระแส > สรรพากรจับมือ บก.ปอศ.บุกจับขบวนการขายใบกำกับภาษีปลอม มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

สรรพากรจับมือ บก.ปอศ.บุกจับขบวนการขายใบกำกับภาษีปลอม มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท

15 กุมภาพันธ์ 2024


เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร และพล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับแถลงข่าวผลการจับกุมขบวนการขายใบกำกับภาษีปลอม ที่กรมสรรพากร

กรมสรรพากร จับมือ บก. ปอศ. บุกจับกลุ่มบุคคล – บริษัท ขายใบกำกับภาษีปลอม ยึดเอกสาร – ต้นขั้วใบกำกับภาษีปลอม รวมมูลค่าความเสียภายกว่า 100 ล้านบาท เตือนบริษัท ห้างร้าน ที่นำใบกำกับภาษีปลอมไปใช้เครดิตภาษี ตรวจเจอมีโทษอาญาจำคุก 3 เดือน – 7ปี ปรับ 2,000 – 200,000 บาท

ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า  กรมสรรพากรร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้เข้าตรวจค้นสถานที่ออกใบกำกับภาษีปลอม จำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้น ได้ยึดเอกสารใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย และได้จับกุมผู้กระทำความผิดได้ ณ สถานที่ตรวจค้นในความผิดฐาน “ร่วมกันมีเจตนาออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออก” อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร

สำหรับพฤติการณ์ สืบเนื่องมาจากการสืบสวนสอบสวนของกรมสรรพากร พบว่า มีการนำใบกำกับภาษีของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายอื่นมาทำการออกใบกำกับภาษีโดยไม่ใช่ผู้ขายสินค้าตัวจริง กรมสรรพากรจึงได้ดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริง กระทั่งพบสถานที่ที่ใช้ออกใบกำกับภาษีดังกล่าว และในส่วนของ บก. ปอศ. ได้ดำเนินการล่อซื้อใบกำกับภาษีจากผู้ออกใบกำกับภาษี โดยไม่ได้มีการซื้อขายสินค้ากันจริง ซึ่งจากการตรวจค้นทั้ง 5 แห่ง พบใบกำกับภาษีจำนวนมากมีมูลค่าความเสียหายกว่าร้อยล้านบาท

ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร

“สำหรับผู้ประกอบการทั้งที่เป็นผู้ออกใบกำกับภาษี และผู้ใช้ใบกำกับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมิได้มีการประกอบกิจการจริง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย มาตรา 86/13 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลรัษฎากร มีโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยโทษทางแพ่ง ต้องรับผิดเบี้ยปรับ 2 เท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมายอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือ เศษของเดือนของจำนวนเงินภาษี และโทษทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท”

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวต่อว่า “การกระทำดังกล่าว เป็นการทำลายระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ที่ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายกันจริง ในส่วนของผู้ออกต้องรับผิดทางแพ่งแล้ว ยังมีโทษทางอาญาด้วยในฐานความผิด โดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือ พยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออก ส่วนผู้ที่นำใบกำกับภาษีไปใช้ ถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามไม่มีสิทธินำมาใช้เป็นเครดิตต้องรับผิดทางแพ่ง และมีโทษทางอาญาในฐานความผิดใช้ใบกำกับภาษีปลอมโดยเจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษี มีโทษต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท

ดร.กุลยา  กล่าวด้วยว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทผู้ใช้ใบกำกับภาษีต้องซื้อสินค้า หรือ บริการจากผู้ประกอบกิจการซึ่งมีตัวตนจริง และเป็นผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีเท่านั้น กรมสรรพากรขอแนะนำให้ผู้ประกอบกิจการเข้าสู่ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice & e-Receipt) เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกปลอมแปลงใบกำกับภาษี ลดความซ้ำซ้อนและลดปัญหาการจัดการเอกสารที่อยู่ในรูปของกระดาษ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเอกสาร เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กร เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต ตามมาตรฐานสากลต่อไป

พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

ด้าน พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า เนื่องจากว่า บก.ปอศ. ได้รับคำร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีบุคคล หรือ นิติบุคคลกระทำความผิดเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษี โดยไม่มีสิทธิออก โดยออกใบกำกับภาษีให้กับผู้ประกอบการทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก ความเสียหายกว่าร้อยล้านบาท

โดยไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการเกิดขึ้นจริง เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.๒ บก.ปอศ. จึงได้ทำการสืบสวน โดยให้สายลับเจรจาล่อซื้อใบกำกับภาษี จากกลุ่มบุคคลดังกล่าว จำนวน 5 ครั้ง โดยมีการออกใบกำกับภาษี โดยไม่มีสิทธิที่จะออกจำนวน 30 ใบ ต่อมาได้ไปตรวจสอบสถานประกอบการ ซึ่งจดทะเบียนเป็นสำนักงานนิติบุคคล พบว่า ไม่มีลักษณะเป็นสถานประกอบการแต่อย่างใด แท้จริงแล้วได้เปิดกิจการเพื่อขายใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการทำลายระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชน จึงได้รีบดำเนินการโดยเร่งรัด