ภาพซากฉลามกองมหึมาที่ตลาดทะเลไทย มหาชัย ที่มีนักดำน้ำเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้สังคมหันมาให้ความสนใจกับประเด็นการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ฉลามกันอีกครั้ง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนปัญหาอะไรบ้างเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทะเลและการจัดการประมงในปัจจุบัน
เมื่อปี 2021 องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ได้เปิดเผย รายงานเกี่ยวกับฉลามและปลากระเบนทั่วโลกว่าสถานภาพการอนุรักษ์ของสัตว์ทะเลในกลุ่มนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะราวหนึ่งในสามของฉลามและกลุ่มปลากระเบน 1,041 ชนิดทั่วโลกกำลังถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์ และมีแนวโน้มลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ฉลามทั่วโลกหลายกลุ่มมีจำนวนประชากรลดลงกว่า 80-90% ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา
ภัยคุกคามหลักสำหรับฉลามและกลุ่มปลากระเบนคือการจับปลาที่มากเกินไป (overfishing) ในอดีตการถูกจับโดยไม่ตั้งใจหรือเป็นสัตว์น้ำที่ถูกจับโดยบังเอิญ (bycatch) นับเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ประชากรฉลามมีจำนวนลดลง อีกนัยหนึ่งก็คือ ความจริงเรือประมงไม่ได้ต้องการจับฉลาม แต่ได้ฉลามติดมาเองจากเครื่องมือประมงที่จับไม่เลือกประเภท เช่น อวนลากหรือเบ็ดราว
ทว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เพราะความที่ประมงทะเลจับปลาเศรษฐกิจหลักๆ ได้น้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งตลาดรองรับหูฉลามและกระเบน รวมไปถึงอวัยวะทุกส่วนของฉลามที่มีมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้ฉลามและกระเบนที่ถูกจับมาได้เป็นที่ต้องการของตลาด จากปลาที่ไม่เคยมีราคาก็เริ่มกลายเป็นโบนัสก้อนโตของเรือประมง เพราะนอกจากหูฉลาม อวัยวะทุกส่วนก็ขายได้ราคาทั้งสิ้น บางส่วนจึงเริ่มมีการใช้เหยื่อล่อฉลามเป็นการเฉพาะมากขึ้น
ประชากรปลาฉลามในประเทศไทยลดลงอย่างมาก นับตั้งแต่เริ่มใช้การลากอวนเชิงพาณิชย์ใน พ.ศ. 2503 และจากข้อมูลด้านการประมงพบว่า ประเทศไทยเผชิญกับการลดลงของจํานวนปลาฉลามอย่างรวดเร็วที่สุดประเทศหนึ่ง จํานวนปลาฉลามที่จับได้จากการประมงทะเลลดลงอย่างรุนแรงในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จากสถิติการประมงของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2541 ถึง พ.ศ. 2561 พบว่ามีการจับปลาฉลามและปลากระเบนได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี พ.ศ. 2546 โดยมีปริมาณ 14,409 และ 18,131 เมตริกตันตามลําดับ หลังจากนั้นก็จับได้ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยจับได้ต่ำสุดในปี พ.ศ. 2561 โดยจับปลาฉลามได้เพียง 419 เมตริกตัน และปลากระเบน 2,311 เมตริกตัน
ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ามีปริมาณการจับปลาฉลามลดลงถึง 97% และปริมาณการจับปลากระเบนลดลงเกือบ 90% ในเวลาไม่ถึงสองทศวรรษ
แม้ฉลามจะเริ่มกลายเป็นของหายาก แต่ช่วงต้นปีหรือก่อนเทศกาลตรุษจีน มักมีรายงานการพบปลาฉลามและปลากระเบนลอตใหญ่ๆ เข้ามาในแพปลาและตลาดสัตว์น้ำขนาดใหญ่อยู่เสมอ เมื่อ 5-6 ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปสำรวจทรัพยากรทางทะเลที่หมู่เกาะมะริดทางตอนใต้ของประเทศพม่า ความที่ต้องเดินทางออกจากท่าเรือจังหวัดระนองทำให้มีโอกาสได้ไปสังเกตกิจการประมงที่แพปลาจังหวัดระนอง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นตลาดปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ และมักจะมีฉลามและปลากระเบนแปลกๆ มาขึ้นอยู่เสมอๆ
ครั้งนั้นผู้เขียนพบปลาฉลาม ปลากระเบน ปลาโรนิน ปลาโรนันวางจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ มีตั้งแต่ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือปลาส่วนใหญ่เป็นปลาฉลามในวัยอ่อนที่ถูกจับมา ขายเป็นกองๆ หรือเป็นเข่งๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาฉลามหัวค้อน ปลาฉลามครีบดำ ปลาฉลามเสือ ส่วนตัวเต็มวัยก็มีความหลากหลายอย่างยิ่ง เช่น ฉลามหัวบาตร ฉลามหางยาว ฉลามขี้เซา ฉลามหนู ปลาโรนิน กระเบนปีศาจ หรือแม้แต่ฉลามเสือดาว
เหตุการณ์ล่าสุดที่ตลาดทะเลไทยมหาชัยก็ไม่ต่างกัน มีการพบฉลามหลังหนาม ฉลามหัวค้อน และปลาโรนันวางจำนวนเป็นจำนวนมาก นักดำน้ำที่ได้มาพบย่อมต้องตกตะลึงเพราะปลาฉลามหลายชนิดที่หาดูได้ยากยิ่งในธรรมชาติกลับสามารถพบนอนเกลื่อนเป็นกองๆ อยู่ที่นี่น่าสนใจว่าฉลามเหล่านี้ถูกจับมาจากน่านน้ำไทยหรือไม่ นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่าโอกาสที่จะพบฉลามมากมายเช่นนี้ในทะเลไทยหมดไปนานแล้ว
ความเชื่อที่ว่าฉลามจำนวนมากหมดไปจากทะเลไทยนานแล้วน่าจะมีส่วนจริง เพราะรายงานเมื่อปี 2021 ของ IUCN ก็ระบุว่าประเทศไทยและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นับเป็นสองบริเวณที่พบว่าประชากรฉลามและกระเบนหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก
ข้อสันนิษฐานที่มีความเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ฉลามเหล่านี้อาจถูกจับมาจากน่านน้ำในประเทศอื่น อาจไกลถึงอินโดนีเซีย พม่า หรืออินเดียในบริเวณที่การประมงยังไม่หนาแน่นมากนัก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของปลาฉลามในพม่าเปลี่ยนไปอย่างมาก ซึ่งคาดว่าเป็นผลกระทบโดยตรงของการทำประมง นักดำน้ำที่มีประสบการณ์ดำน้ำในประเทศพม่าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จุดเด่นของการดำน้ำในพม่าในอดีตก็คือฝูงปลาขนาดใหญ่ รวมทั้งปลาฉลามและกระเบนตัวโตๆ ที่หาดูได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว นั่นคือความคาดหวังของนักดำน้ำส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจไปดำน้ำในพม่า แต่งานสำรวจที่ผู้เขียนมีส่วนร่วมด้วยในหมู่เกาะมะริดเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วแทบไม่เจอฉลามเลย การดำน้ำกว่า 30 ไดฟ์กับการพบฉลามครีบขาวตัวไม่เต็มวัยเพียงตัวเดียว ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดความคาดหมายของนักวิจัยทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
ภาพฉลามตายเกลื่อนอยู่ที่แพปลาจังหวัดระนองทำให้ผมฉุกคิดว่า การจับฉลามทั้งที่โดยตั้งใจหรือโดยไม่ตั้งใจในปริมาณมากมายขนาดนั้น ย่อมจะส่งผลต่อประชากรในธรรมชาติไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉลามและกระเบนมีลักษณะแตกต่างจากปลาอื่นๆ โดยสิ้นเชิงตรงที่พวกมันโตช้า ออกลูกคราวละไม่กี่ตัว และใช้เวลานานกว่าจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ บางชนิด เช่น ฉลามหัวบาตรใช้เวลาตั้งท้องถึง 10-12 เดือน นานกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ จะว่าไปลักษณะชีววิทยาของฉลามและกระเบนมีลักษณะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด คือมีอัตราการขยายพันธุ์ต่ำโดยธรรมชาติ เมื่อถูกล่าและนำมาใช้ประโยชน์อย่างไม่มีการควบคุม ประชากรในธรรมชาติย่อมไม่อาจทดแทนตัวเองได้ทัน นักวิชาการมักเรียกสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ว่าเป็นชนิดที่จำเป็นต้องได้รับการอนุรักษ์ (conservation-dependent species) หมายความว่าถ้าปล่อยให้มีการใช้ประโยชน์อย่างไร้มาตรการอนุรักษ์ควบคุม ก็มีโอกาสที่จะหมดไปอย่างรวดเร็ว
การเปิดให้มีการค้าขายฉลามซึ่งเป็นสัตว์ผู้ล่าสูงสุดของระบบนิเวศทางทะเลกันอย่างถูกกฎหมายและเปิดเผยโดยไม่มีการควบคุม เป็นเครื่องสะท้อนว่าการอนุรักษ์ทางทะเลยังล้าหลังทางบกอยู่มาก ทั้งในเรื่องของข้อมูล จิตสำนึก ค่านิยม และการศึกษาวิจัย เพราะเราคงไม่มีใครรับได้อีกแล้วหากเดินไปที่ตลาดวันนี้และพบว่ามีคนนำซากเสือชนิดต่างๆ มาขายกันอย่างเปิดเผย แต่ในกรณีของฉลามเรากลับยอมรับได้
รายงานข้อเสนอแนะด้านนโยบายเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารการจัดการปลาฉลามของประเทศไทย (2563) โดยองค์กร WildAid ร่วมกับ WWF ระบุถึงข้อจำกัดและช่องโหว่ในการอนุรักษ์จัดการฉลามในปัจจุบันดังนี้
กลุ่มอนุรักษ์ WildAid และ WWF มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. นโยบายและระเบียบข้อบังคับ:
ประเทศไทยมีกฎระเบียบต่างๆ เพื่อรองรับการจัดการอนุรักษ์ฉลาม แต่ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้ปัจจุบันมาตรการหลายอย่างไม่ได้นำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร กรมประมงได้ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (NPOA-Sharks) พ.ศ. 2563-2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและการจัดทำฐานข้อมูลชีววิทยา นิเวศวิทยา การประมง และการใช้ประโยชน์ฉลามในน่านน้ำไทย 2) ประเมินสถานภาพและภัยคุกคามที่เกิดจากการประมงและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อฉลามอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 3) พัฒนาองค์ความรู้และขีดความสามารถในด้านการบริหารจัดการที่เกี่ยวกับฉลามของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง 4) กำหนดมาตรการอนุรักษ์ ควบคุมการทำประมง และการค้าฉลามที่สอดคล้องกับกฎระเบียบ ข้อกำหนด และพันธกรณีระหว่างประเทศ 5) พัฒนาและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการบริหารจัดการและอนุรักษ์ทรัพยากรฉลาม
แผนดังกล่าวถือเป็นกรอบการทำงานที่เน้นการวิจัยและติดตาม การเสริมสร้างศักยภาพมาตรการอนุรักษ์ในพื้นที่ และความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ยังขาดกลไกในการประสานงานและระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน
นอกจากนี้ แผนดังกล่าวควรคำนึงถึงขั้นตอนที่จำเป็นต่อการติดตามการค้าชนิดพันธุ์ฉลามที่ถูกบรรจุอยู่ในบัญชีแนบท้ายที่ 2 ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ หรือไซเตส รอบล่าสุดด้วย ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมภายใต้วัตถุประสงค์ในแต่ละข้อของแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทยสำหรับแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
สำหรับแนวทางในช่วงต่อจากนี้ กรมประมงควรเป็นผู้นำในการประสานงานและจัดตั้งคณะทำงานระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามแผน NPOA-Sharks รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน ทั้งนี้ เราได้นำเสนอข้อเสนอแนะนำสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตารางด้านล่าง เพื่อให้การดำเนินงานตามแผน NPOA-Sharks เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดทำและปรับปรุงแผน NPOA-Sharks ในระยะที่ 2 (พ.ศ. 2568-2572) ควรพิจารณาถึงอุปสรรคจากการดำเนินงานในแผนฉบับแรก แนวทางแก้ไขและปฏิบัติในระยะต่อไป โดยองค์กร WildAid และ WWF ประเทศไทย ยินดีที่จะสนับสนุนกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปรับปรุงแผนในระยะที่ 2 ต่อไป
2. มาตรการในการอนุรักษ์:
3. การส่งเสริมความตระหนักรู้:
ประเทศไทยมีการดำเนินโครงการรณรงค์สาธารณะเพื่อเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคและการค้าขายสัตว์ทะเลอย่างต่อเนื่อง เช่น ในกรณีของการนำปลานกแก้วออกจากชั้นวางในซูเปอร์มาร์เกต การรณรงค์ที่ประสบความสำเร็จอื่นๆ ได้แก่ โรงแรมและร้านอาหารหูฉลามออกจากเมนู และการปิดพื้นที่ที่อ่อนไหวเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ เนื่องจากนักท่องเที่ยวมากเกินไป เช่น อ่าวมาหยาในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และการปิดเกาะตาชัยในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มาตรการเหล่านี้จะไม่ประสบความสำเร็จหากปราศจากการระดมมวลชน
การรับรู้เรื่องฉลามสำหรับประชาชนทั่วไปจากการนำเสนอของสื่อ ฉลามมักถูกนำเสนอว่าเป็นสัตว์ที่ “อันตราย ดุร้าย เลือดเย็น และก้าวร้าว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉลามกัดคน อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับบทบาทของฉลามในธรรมชาติและความสำคัญทางนิเวศวิทยาดังที่เห็นได้จาก เหตุการณ์ฉลามกัดคนเมื่อไม่นานมานี้ และเห็นว่าควรมีการสร้างความตระหนักให้สาธารณชนเข้าใจว่าฉลามเป็นสัตว์ที่สำคัญต่อการอนุรักษ์ทางทะเลให้มากขึ้น
ฉลามและปลากระเบนยังคงเป็นที่นิยมในการบริโภคและจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ ฉลามตากแห้งยังใช้เป็นขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงและมีการทำการตลาดอย่างกว้างขวางโดยไม่อาจทราบผลกระทบต่อประชากรในธรรมชาติ ก็ยิ่งสะท้อนปัญหาสำคัญของการอนุรักษ์ทะเลไทย ที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจถึงบทบาทความสำคัญของปลาฉลาม ในขณะที่มาตรการเชิงกฎหมายก็ยังเปิดโอกาสให้มีการใช้ประโยชน์อย่างไร้การควบคุม ทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศของท้องทะเล
การหายไปของฉลามอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการทำประมงที่มากเกินกำลังการผลิต การส่งเสริมความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับบทบาททางนิเวศวิทยาของปลาฉลามและสร้างการรับรู้ให้ปลาฉลามเป็นสัญลักษณ์ในการอนุรักษ์ จะเป็นหนึ่งในแนวทางลดการทำประมงที่มากเกินกำลังการผลิตและส่งเสริมอาหารทะเลที่ยั่งยืน
ในขณะที่ประชากรของปลากระเบนนั้นลดน้อยลงอย่างรุนแรงแต่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนน้อยมาก การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปลาฉลามและปลากระเบนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน และการสร้างความตระหนักนี้อาจเริ่มจากชนิดพันธุ์ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในการอนุรักษ์เช่น ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามใน IUCN Red List และชนิดพันธุ์ที่อยู่ในบัญชีไซเตส ที่กำลังให้ความสำคัญของปลากลุ่มนี้เป็นพิเศษ
เรายังมีความเชื่อว่าทะเลเป็นทรัพยากรส่วนกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครอยากใช้อะไรก็ใช้และใช้เท่าไหร่ไม่มีวันหมด แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เรามีตัวอย่างมากมายของความล้มเหลวและการพังทะลายของสมดุลระบบนิเวศจากการจับปลาที่มากเกินไป ผลสรุปสุดท้ายก็คือการล่มสลายของกลุ่มชาวประมงเอง
อ้างอิง
Krajangdara, T. (2019). Sharks and Rays of Thailand. Country Report. Department of Fisheries.
WildAid and WWF. 2023. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย