ThaiPublica > เกาะกระแส > KKP มองเศรษฐกิจไทย 2567 ถึงจุดพลิกผัน ปัญหาเชิงโครงสร้าง ฉุดรั้งการเติบโต

KKP มองเศรษฐกิจไทย 2567 ถึงจุดพลิกผัน ปัญหาเชิงโครงสร้าง ฉุดรั้งการเติบโต

31 มกราคม 2024


ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP)

31 มกราคม 2567 “พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” เผย 4 เทรนด์เศรษฐกิจ 2567 จับตาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว-FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า นโยบายรัฐยังไม่แน่นอน ปัญหาเชิงโครงสร้างฉุดรั้งเศรษฐกิจ

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกในปี 2024 ว่ามีแนวโน้มเศรษฐกิจที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 4 ประเด็น

  1. เศรษฐกิจโลกกำลังจะเติบโตสวนทางกัน (Growth divergence) เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีทิศทางชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและสองของโลก นำโดยสหรัฐอเมริกาที่จะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าที่คาด ขณะที่เศรษฐกิจจีนกลับเผชิญกับปัญหาชะลอตัว
  2. อัตราดอกเบี้ยโลกผ่านจุดสูงสุดและเริ่มปรับตัวลดลง เงินเฟ้อโลกเริ่มปรับลดลง ทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังมีความแข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากไม่ได้นัก
  3. การเมืองระหว่างประเทศเป็นประเด็นที่มีความไม่แน่นอน และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะสงคราม และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา
  4. เศรษฐกิจไทยจะยังฟื้นตัวช้าและจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น  การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยวและการฟื้นตัวของการส่งออกเป็นยังแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักในปีนี้ ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะคงอยู่ที่ 2.5% เกือบตลอดทั้งปี แต่มีโอกาสปรับลดลงได้หากการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ หรือแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดไว้

นอกจากประเด็นระยะสั้นแล้วยังมีปัญหาศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเศรษฐกิจไทยกลับเติบโตต่ำลงเรื่อยๆโดยเฉพาะหลังวิกฤติโควิด-19 ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเมื่อผ่านไปเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตได้ตามปกติแต่หลังจากผ่านวิกฤตมาประมาณ 2 ปีเศรษฐกิจไทยยังไม่กลับที่เดิมและฟื้นตัวได้ได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น

ภาคท่องเที่ยวที่เคยเป็นเครื่องจักรสำคัญก่อนโควิด-19 ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปได้ที่จุดเดิมจากนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป ขณะที่การส่งออกที่เดิมไทยเคยอาศัยห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างจีนเป็นประตูสู่ตลาดโลกแต่ในช่วง 2-3 ปีหลังไทยทั้งไม่สามารถขยายตัวในห่วงโซ่อุปทานโลกและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆในสินค้าหลายประเภทเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล็กหรือยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

ดร.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศยังมีความรุนแรงมากขึ้นทั้งปัญหาสังคมสูงอายุ และกำลังแรงงานที่กำลังถดถอย ปัญหาคุณภาพการศึกษาที่สะสมมาตลอดหลายทศวรรษและการลงทุนที่หายไปเกือบ 30 ปีหลังจากวิกฤติต้มยำกุ้ง

“เศรษฐกิจไทยตอนนี้เรียกว่ามาถึงจุดพลิกผันสิ่งที่สำคัญกว่าอาจจะไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไรหรือจะแก้ไขอย่างไรแต่อาจจะเป็นการหาฉันทามติร่วมกันของสังคมว่าจะเริ่มแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไรและเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มพูดคุยกันเพราะการแก้ไขปัญหาพวกนี้ต้องใช้เวลาอาจจะหลายทศวรรษกว่าจะเห็นผล” 

กรณีตัวอย่างเช่นการปฏิรูปเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในยุคของนายชินโสะอะเบะนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2006-07 และ 2012-20 ที่นำเสนอนโยบาย “ลูกศร 3 ดอก” ที่เน้นไปที่นโยบายการเงินนโยบายการคลังที่เน้นการสร้างความเชื่อมั่นและการนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งด้านตลาดแรงงานการเกษตรการกำกับดูแลบริษัทด้านกฎระเบียบต่างๆการแข่งขันของเอกชนการขึ้นภาษีบริโภคและการนำญี่ปุ่นเข้าร่วมข้อตกลงการค้ากระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาเกือบทศวรรษกว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเริ่มฟื้นตัวโดยตลอดระยะเวลาดังกล่าวนายกอะเบะต้องยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจหลายครั้งเพื่อสร้าง “ฉันทามติทางการเมือง” เพราะมีคนทั้งได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์นโยบายปฏิรูป