Krungthai COMPASS วิเคราะห์ Net zero supply chain เทรนด์ธุรกิจพลิกโฉมห่วงโซ่อุปทาน สู่ความยั่งยืน โดยมองว่า
……
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain management) ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 ที่สร้างความท้าทายจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก (Supply chain disruption) เนื่องจากการขาดแคลนสินค้าและความล่าช้าในการขนส่ง นอกจากนั้น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) อย่างความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเข้ามาสร้างแรงกระเพื่อมต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอยู่ไม่น้อย อาทิ ด้านต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกและนำเข้าสินค้าต้องปรับทัพการดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น (Resilience) อยู่ตลอดเวลา
หากมองไปในอนาคตอันใกล้นี้ มีอีก 2 ปัจจัยท้าทายสำคัญ ที่จะส่งผลต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน นั่นคือ 1) การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจโลก (Decoupling) จากความขัดแย้งระหว่างสองขั้วมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนบทบาทคู่ค้าและห่วงโซ่อุปทานโลก เช่น การย้ายฐานการผลิตในรูปแบบ “Reshoring” หรือ “Friend-shoring” ซึ่งจะส่งผลต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราเป็นประเทศเปิดขนาดเล็กที่มีความเกี่ยวโยงกับสหรัฐฯ และจีนค่อนข้างสูง และ 2) เทรนด์ Net zero supply chain หรือหมายถึงหลักคิดใหม่ในการดำเนินงานธุรกิจที่มุ่งเน้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นทิศทางที่ผู้ประกอบการทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการค้าและการลงทุน ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวให้สอดรับ เพื่อเพิ่มโอกาส ลดความท้าทาย และปูทางไปสู่ห่วงโซ่อุปทานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Supply Chain)
หลังจากที่ Krungthai COMPASS เคยนำเสนอบทความเกี่ยวกับการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจโลกไปแล้วในช่วงก่อนหน้า บทความฉบับนี้ จึงขอหยิบยกประเด็น Net zero supply chain มานำเสนอ ว่าหมายถึงอะไร ทำไมจึงสำคัญ และผู้ประกอบการสามารถดำเนินการตามแนวทาง Net zero supply chain ได้อย่างไร มีนัยและคำแนะนำต่อการดำเนินธุรกิจและบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
Net zero supply chain การลดก๊าซเรือนกระจกทั้งห่วงโซ่อุปทาน
Net zero supply chain หรือ Green supply chain คือแนวคิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำ (Upstream) จนถึงปลายน้ำ (Downstream) ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ กระบวนการผลิตและการให้บริการ การขนส่ง การจัดจำหน่าย การบริโภค และการบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) ซึ่งครอบคลุมทุกขอบเขตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้ง Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 โดย Scope 1 หมายถึงก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กรโดยตรง เช่น การเผาไหม้ของเครื่องจักร และการใช้พาหนะขององค์กร ขณะที่ Scope 2 หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานขององค์กร เช่น การใช้ไฟฟ้า ส่วน Scope 3 หมายถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ก๊าซเรือนกระจกจากวัตถุดิบในการผลิตและจากการเดินทางของพนักงาน ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า Net zero supply chain นั้น มิได้เกี่ยวข้องเฉพาะกิจกรรมภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงกิจกรรมของคู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่นๆ ด้วย
ทำไม Net zero supply chain จึงมีความสำคัญ
ก๊าซเรือนกระจกของบริษัทขนาดใหญ่ในไทย ส่วนใหญ่ 58% มาจาก Scope 3 โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ล่าสุดปี 2565 ในกลุ่มตัวอย่างที่มีการรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกต่อสาธารณชนครอบคลุมทั้ง Scope 1-3 นั้น พบว่าก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ 58% เกิดจากกิจกรรมอื่นๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) ขณะที่รองลงมา 34% คือ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของบริษัทโดยตรง (Scope 1) และที่เหลืออีก 8% คือ ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการใช้พลังงานและไฟฟ้าในบริษัท (Scope 2) นอกจากนั้น หากพิจารณาเฉพาะบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม SET100 จะพบว่ามีสัดส่วนของก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 สูงถึง 62%
ดังนั้น หากบริษัทต่างๆ จะดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่ Net zero emission อย่างเข้มข้น จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 โดยเฉพาะบริษัทที่มีแผนจะตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่อิงกับหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets Initiative) หรือ SBTi1 ซึ่งมีข้อกำหนดว่าบริษัทใดมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 เกินกว่า 40% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด จำเป็นต้องมีการวัดและตั้งเป้าหมายในการลด Scope 3 ด้วย ทั้งนี้ จากกลุ่มตัวอย่างข้อมูลบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทย 161 ราย พบว่ามีจำนวน 74 ราย (40%) ที่มี Scope 3 เกินกว่า 40%
หลายกลุ่มธุรกิจมีก๊าซเรือนกระจกในส่วนของ Scope 3 สูงเกินกว่า 70% ซึ่งสะท้อนว่าเป็นกลุ่มที่ควรมุ่งเน้นการลดก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 หรือตามแนวทาง Net zero supply chain เป็นลำดับแรกๆ ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่น (เช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป) การพาณิชย์ พัฒนาอสังหา-ริมทรัพย์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ สินค้าของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ และวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร
ข้อมูลของไทยข้างต้นสอดคล้องกับข้อมูลในระดับโลก ดังที่งานวิจัยโดย Accenture ชี้ว่าก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งโลกกว่า 60% มาจากในส่วนของ Supply chain อีกทั้ง Scope 3 emissions คิดเป็น 11.4 เท่าของ Scope 1 และ Scope 2 รวมกัน2 ขณะที่ข้อมูลจากงานวิจัยโดย World Economic Forum (WEF) และ Boston Consulting Group (BCG) สะท้อนว่าหลายอุตสาหกรรมมีสัดส่วนก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 อยู่ในระดับสูงถึง 60-90% เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ ก่อสร้าง ยานยนต์ อาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods)3 เพราะบริษัททั่วโลกกำลังมุ่งเน้นลดก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุม Scope 3
บริษัททั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน สะท้อนจากผลสำรวจ CEO ล่าสุดโดย UNGC และ Accenture ที่พบว่า 34% กำลังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3
โดยเฉพาะ CEO ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ระบุถึงแนวทางนี้มากถึง 58% ขณะที่ 47% ของ CEO ระบุว่า Responsible supply chains เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท นอกจากนั้น ยังพบอีกว่ามีจำนวนบริษัททั่วโลกที่แสดงความมุ่งมั่นและกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกตามหลักวิทยาศาสตร์ (SBTi) ล่าสุด ณ ก.ย. 2566 รวมกัน 5,919 ราย เพิ่มขึ้นมากถึง 40% จาก ณ สิ้นปี 2565 โดยมีบริษัทในไทยจำนวน 27 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทที่มีการกำหนดเป้าหมายและได้รับการรับรองจาก SBTi แล้วจำนวน 7 บริษัท และบริษัทที่แสดงความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจกและอยู่ในขั้นตอนการตั้งเป้าหมายอีก 20 บริษัท ทั้งนี้ ในปี 2565 พบว่า 96% ของบริษัททั่วโลกที่มีการกำหนดเป้าหมายตาม SBTi ได้ครอบคลุมไปถึงการลดก๊าซเรือนกระจกใน scope 3 ด้วย ทิศทางการลดก๊าซเรือนกระจกของบริษัทเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นความสำคัญว่าผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทต่างชาติหรือ SME ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทขนาดใหญ่ในไทย ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแผนการลดก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 ของบริษัทเหล่านี้ด้วย
แนวทางสำหรับดำเนินการ Net zero supply chain
ผู้ประกอบการสามารถดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่ Net zero supply chain ได้ใน 9 ขั้นตอนสำคัญ ซึ่งอ้างอิงจากงานวิจัยของ WEF BCG และ HSBC โดยเริ่มตั้งแต่การตรวจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมทั้ง Scope 1-3 ซึ่งต้องอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ Supplier และทุกฝ่ายที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานด้วย ก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ในการลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างตรงจุดและเหมาะสม เช่น ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนการจัดหาปัจจัยการผลิตใหม่ การผนวกตัวชี้วัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กร และการร่วมกับ Supplier เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Supplier ด้วยโดยเฉพาะ SMEs ที่อาจมีความพร้อมน้อยกว่ารายใหญ่
นอกจากนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้มแข็งในการดำเนินงานที่มุ่งสู่ Net zero supply chain ผู้ประกอบการจึงควรร่วมกันสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการผลักดันแนวทางนี้ เช่น ด้วยการรวมกลุ่มกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน และร่วมมือกับพันธมิตร เช่น สถาบันการเงิน เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนต่างๆ เช่น โครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ และโครงการ Sustainable supply chain finance ตลอดจนการกระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อสินค้าที่ให้เห็นความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนจากด้าน Demand ทั้งนี้ Enabler สำคัญที่จะขับเคลื่อน Net zero supply chain ได้ คือ การมีแนวทางการกำกับดูแลกิจการแบบคาร์บอนต่ำ (low-carbon governance) เพื่อสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นการดำเนินงานที่ลดก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร
อย่างไรก็ดี หนทางสู่ Net zero supply chain ยังมีความท้าทายรออยู่อีกมาก สะท้อนจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการทั่วโลกต่อมุมมองความท้าทายในการดำเนินงานที่เกี่ยวกับ Net zero supply chain โดย SBTi ซึ่งพบว่า 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามชี้ว่าอุปสรรคสำคัญในการกำหนดเป้าหมายคือเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลรายละเอียดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Supplier รวมถึงปัญหาด้านมาตรฐานของข้อมูล (Accounting standards) หรือการได้รับการรับรองจากหน่วยงงานที่น่าเชื่อถือ นอกจากนั้น ผู้ประกอบการยังสะท้อนอีกว่าความท้าทาย 3 อันดับแรก ในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในส่วนของ Scope 3 นั้น ได้แก่ 1) ความสามารถในการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้ง Supply chain 2) ต้นทุนในการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น ต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และ 3) ความสามารถในการติดตามความคืบหน้า เพราะมีข้อจำกัดด้านข้อมูล
หมายเหตุ
1.เป็นโครงการที่ก่อตั้งเพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจทั่วโลกเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา Climate change ผ่านการตั้งเป้าหมายและดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่อิงกับหลักวิทยาศาสตร์ โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่าง CDP, World Wide Fund for Nature Inc., World Resources Institute และ United Nations Global Compact
2.รายงานของ accenture ณ 30 มี.ค. 2566
3.ข้อมูลปี 2562 รายงาน ณ ปี 2564 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก CDP