ThaiPublica > คอลัมน์ > คิดถึงหนัง “ยอดมนุษย์ยุทธจักร”…Upskill ตัวเองแบบวิถีเส้าหลิน

คิดถึงหนัง “ยอดมนุษย์ยุทธจักร”…Upskill ตัวเองแบบวิถีเส้าหลิน

2 มิถุนายน 2023


Hesse004

เด็กเจเนเรอชั่น X ที่เติบโตมาในยุค 80 เกือบทุกคนต้องเคยดูหนังจีนของชอว์บราเธอร์ (Shaw Brothers)

Shaw Brothers กลายเป็นตำนานหนังฮ่องกง ด้วยทุนสร้างมหาศาล พล็อตหนังสนุก ไม่ซับซ้อน ได้แง่คิด มีดาราระดับแม่เหล็กในยุค 70-80 อย่างคับคั่ง ทำให้หนังของ Shaw Brothers ได้รับความนิยมอย่างมาก และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้กำกับหนังฟากเอเชียพัฒนาฝีมือทัดเทียมสร้างหนังไม่แพ้ฝั่งตะวันตก

ปี 1978 เป็นปีที่ Shaw Brothers เปิดตัวหนังเรื่อง “ยอดมนุษย์ยุทธจักร” หรือ The 36th Chamber of Shaolin หนังเรื่องนี้กำกับโดย หลิว เจีย หลิง นำแสดงโดย กอร์ดอน หลิว ซึ่งรับบทเป็นหลวงจีนซานเต๋อ (San te)

บทหนังเขียนโดย “อี้กวง” ที่ต้องการสื่อสารถึงศิลปะการต่อสู้ของวัดเส้าหลิน (Shaolin temple) ซึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย ชื่อเสียงของวัดเส้าหลิน กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะต้นกำเนิดกังฟู (Kungfu)

ท้องเรื่องของยอดมนุษย์ยุทธจักรตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน ไม่มีดราม่ามาก โดยกล่าวถึงช่วงเวลาที่ราชวงศ์ชิงกดขี่ชาวฮั่น จนทำให้ชาวฮั่นลุกขึ้นสู้

…วิถีการต่อสู้กับอำนาจรัฐที่เหนือกว่ามักจบลงด้วยความพ่ายแพ้ และผู้แพ้ย่อมกลายเป็นกบฏ

เรื่องราวของหลวงจีนซานเต๋อก็เช่นกัน

…จากบัณฑิตหนุ่ม “หลิวอู่เต๋อ” ที่ต่อสู้อะไรไม่เป็น ไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ แต่มีอุดมการณ์รักความยุติธรรม ต้องการเห็นบ้านเมืองปลดแอกจากการรังแกของกองทัพแมนจู…แต่ท้ายที่สุด คนในครอบครัวถูกฆ่า เพื่อนฝูงถูกจับ และเขาถูกไล่ล่า

สิ่งที่เขาคิด คือ ข้าจะกลับมาเอาคืนผู้กดขี่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีวิทยายุทธ์ที่แกร่งกล้าพอ

“วัดเส้าหลิน” จึงเป็นจุดหมายของหลิวอู่เต๋อ เพราะเขาต้องการฝึกกังฟู เรียนรู้วิทยายุทธ์เพื่อมาล้างแค้น เอาคืนและปลุกให้คนที่อ่อนแอกว่าลุกขึ้นสู้

ถ้าเราดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรก เราจะรู้สึกเพลิดเพลินและสนุกกับฉากการฝึกฝนกังฟูที่ฐานฝึกแต่ละหอฝึกซึ่งถูกออกแบบได้อย่างเนียนตา

The 36th Chamber of Shaolin ทำ Iconic ของวัดเส้าหลิน ประกอบด้วยภาพจำคือ หลวงจีนและวิชากังฟู

ยอดมนุษย์ยุทธจักรออกฉายมาแล้วร่วม 45 ปี ความคลาสสิคยังคงอยู่เหมือนเดิม

การนั่งดูหนัง “ยอดมนุษย์ยุทธจักร” อีกครั้งในวันที่อายุมากขึ้น ทำให้นึกถึงเรื่องที่คนรุ่นนี้กำลังพูดถึงอยู่บ่อย ๆ นั่น คือ การ Upskill เพิ่มพูนทักษะตัวเองเพื่อรับมือโลกที่ผันผวน

เรื่องราวของหลวงจีนซานเต๋อที่กว่าจะฝ่าด่าน 35 หอฝึกฝนมาได้ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ที่เรียนวิชากังฟู… ทำให้เรามองเห็นถึงวิถีเส้าหลิน (Shaolin way) อย่างน้อยสี่เรื่อง กล่าวคือ

เรื่องแรก คือ Shaolin way สอนให้มี Grit mindset การ Upskill แบบเส้าหลิน การฝึกฝนอย่างหนัก การมี Grit mindset มีความสามารถ “ทนทาน” ทั้งร่างกายและจิตใจ คือ พื้นฐานสำคัญเบื้องต้น หากเราต้องการก้าวสู่ความเป็น “เซียน” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียก Mastery

ในหนัง… เราเห็นถึงความพยายามของหลวงจีนชานเต๋อที่มุมานะ อดทน เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ผ่านความหนักหน่วงมาทุกรูปแบบ

…แต่ด้วยใจที่เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ หลวงจีนหนุ่มสามารถฝ่าฟันแบบทดสอบทั้ง 35 หอฝึกออกมาได้

เรื่องที่สอง คือ วิถีเส้าหลินสอนให้มี Growth mindset หาก Grit เน้นความอดทนทางกาย Growth mindset คือ การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ หล่อเลี้ยงความฝัน ความหวัง คิดบวก เข้าอกเข้าใจกับแบบฝึกหัดที่ตัวเองกำลังเจอ

…บางครั้งโจทย์ที่ง่ายที่สุด กลับกลายแบบฝึกหัดที่ยากที่สุด หากเราขาดมุมมองที่เติบโต

เรื่องที่สามของการ Upskill แบบวิถีเส้าหลิน คือ การล้มและลุกได้เร็ว …ภาษาวันนี้เราเรียก Bounce Back Better หรือที่เราคุ้นหูบ่อย ๆ ในยุค Post pandemic เราเรียก Resilience

การล้มจากการฝึกฝน และลุกขึ้นมาใหม่ เรียนรู้จากข้อผิดพลาดข้อบกพร่อง จุดอ่อนตัวเอง ล้วนแล้วแต่เป็นวิถีที่ทำให้เราเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น

ความพ่ายแพ้ต่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การพ่ายแพ้ต่อตัวเองต่างหากที่ทำให้เราไปไม่ถึงตามความมุ่งมั่น ความหวัง ความฝันที่เราตั้งไว้

Resilience แบบเส้าหลิน คือ ล้มแล้วลุกเลย ลุกแล้วค่อยคิดจึงกลับมา “ลุย” ต่อ

…ล้ม ลุก และลุยที่ไม่ใช่แบบเดิม

วิถีเส้าหลินที่ Upskill ในตอนสุดท้าย คือ กระบวนการ Learn how to learn หรือ รู้ว่าเราต้องเรียนรู้อย่างไร

หลวงจีนซานเต๋อ เรียนรู้ทุกบทเรียนด้วยตัวเองโดยมีอาจารย์หลวงจีนทั้ง 35 ห้อง ชี้แนะให้

แต่การเดินตามตำราเป๊ะ ๆ ทั้งหมด ไม่ใช่วิถีเส้าหลิน

สิ่งที่หลวงจีนซานเต๋อพบด้วยตัวเอง คือ อาวุธคู่มือ มวยเพลงคู่ใจ หรือถ้าเรียกแบบหนังจีนกำลังภายใน เราเรียกว่า “กระบวนท่าไม้ตาย” ที่เหมาะกับเรา ถนัดมือกับเราที่สุด

กระบวนการ Learn how to learn คือ กระบวนการพัฒนาขั้นสูงสุดที่เราต้องหาให้เจอว่า เราเหมาะกับอะไร เราถนัดแบบไหน หากเราก้าวไปสู่วิถีเซียนแล้ว นี่แหละ…คือ วิถีแบบเรา