ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > EIC > SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยยังไปต่อ ชี้ความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา

SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยยังไปต่อ ชี้ความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา

19 พฤษภาคม 2023


SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยยังไปต่อ ชี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา

เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกจะทยอยปรับดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2 แต่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการยังมีความแตกต่างกันมาก

นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นทั้งจากปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินและความไม่แน่นอนในการขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลในสหรัฐฯกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยายตัวชะลอลงในเดือน เม.ย.เศรษฐกิจยุโรปที่ยังอ่อนแอแม้จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในครึ่งหลังของปีนี้จากปัจจัยกดดันที่เพิ่มขึ้น

อัตราเงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มปรับลดลงเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของธนาคารกลางมากขึ้นตามราคาพลังงานโลกที่ลดลงและอุปทานคอขวดที่ปรับดีขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้ช้ากว่า ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
มีแนวโน้มจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตลอดปี ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)
จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งสู่ระดับ 3.75% และ 5% ตามลำดับ เนื่องจากภูมิภาคยุโรปเผชิญแรงกดดันเงินเฟ้อรุนแรงกว่า สำหรับธนาคารกลางญี่ปุน (BOJ)มีแนวโน้มปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายน้อยลงจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการเติบโตของเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด โดยมองว่า BOJ จะปรับเงื่อนไขนโยบายควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve Control) เพิ่มเติมในเดือน ก.ค. นี้

เศรษฐกิจไทยจะยังได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีในช่วงที่เหลือของปี สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.7% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนในภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิดได้ในช่วงกลางปีนี้

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัวตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเล็กน้อยเนื่องจากเข้าสู่ช่วงLow season นอกจากนี้การลงทุนและภาคการผลิตมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ดี SCB EIC ยังคงมุมมองมูลค่าการส่งออกสินค้าปีนี้เติบโตที่ 1.2% ท่ามกลางความเสี่ยงด้านต่ำจากเศรษฐกิจโลกที่สูงขึ้น โดยคาดว่า การส่งออกในไตรมาสที่ 2 จะยังหดตัวจากปัจจัยฐาน แต่จะเริ่มขยายตัวตามอุปสงค์จีนที่ปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลในปีนี้จากทั้งดุลการค้าและดุลบริการ

เงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะขยายตัวลดลงอย่างชัดเจนในเดือน พ.ค.จากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มชะลอตัวและผลจากปัจจัยฐานแต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูงในระยะต่อไปจากการทยอยส่งผ่านต้นทุนมายังราคาผู้บริโภคและผลจากปัจจัยฐานที่ลดลง
สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มขยายตัวลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ดีเงินเฟ้อไทยยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นความเสี่ยงในประเทศที่ต้องติดตามแม้ความน่าจะเป็นที่ฝ่ายเสรีนิยมจะได้จัดตั้งรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากหลังทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในกรณีฐาน SCB EIC มองการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะไม่กระทบทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยคาดว่า จะเห็นผลกระทบด้านลบในไตรมาสที่ 4 จากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 อยู่บ้าง แต่คาดว่าจะกลับมาเร่งเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นปี 2567 พร้อมการผลักดันนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่ที่จะเริ่มมีผลบวกสู่เศรษฐกิจ

SCB EIC คาดนโยบายการเงินไทยจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องสู่Terminal rate ที่ 2.5% ในไตรมาส 3ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่อเนื่องและแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังมีเงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วในเดือนที่ผ่านมาจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์การจัดการเลือกตั้งที่เป็นไปอย่างราบรื่น และเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าสำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปีนี้คาดว่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะปรับดีขึ้นและเงินดอลลาร์สหรัฐที่คาดว่าจะกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาส 2 นี้คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.20-34.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและกลับมาแข็งค่าอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี