ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯแจงซื้อไฟสีเขียว แค่อนุมัติเฉยๆ-ไม่เป็นภาระ ปชช.- มติ ครม.ชง กกต.ให้ส่วนลด 150 บาท ช่วยผู้ใช้ไฟ 500 หน่วย

นายกฯแจงซื้อไฟสีเขียว แค่อนุมัติเฉยๆ-ไม่เป็นภาระ ปชช.- มติ ครม.ชง กกต.ให้ส่วนลด 150 บาท ช่วยผู้ใช้ไฟ 500 หน่วย

25 เมษายน 2023


เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังการประชุม ครม. ณ ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายกฯแจงซื้อไฟสีเขียว แค่อนุมัติเฉยๆ – ยังไม่เป็นภาระ ปชช.
  • เผยที่ผ่านมาใช้งบฯอุ้มค่าไฟกว่าแสนล้าน
  • ให้อัยการตรวจสัญญาซื้อไฟเป็นธรรมหรือไม่
  • ย้ำค่าไฟแพงให้ดูปริมาณการใช้เทียบเดือนก่อน
  • ทอ. จัดเครื่องบินรับคนไทยในซูดานกลับถึงบ้าน 27 เม.ย.นี้
  • มติ ครม.ชง กกต.ให้ส่วนลด 150 บาท ช่วยผู้ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วย
  • แจงความก้าวหน้าโครงการลงทุนใน EEC ปี’65
  • ต่ออายุ “เสธ.ไก่อู” นั่งอธิบดีกรมประชาฯ จนเกษียณ
  • เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น พลเอก ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน รวมทั้งมอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ

    ให้ส่วนลด 150 บาท ช่วยผู้ใช้ไฟบ้านไม่เกิน 500 หน่วย

    พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกคนอยากทราบว่ารัฐบาลดูแลพลังงานหรือไม่ อย่างไร ที่ผ่านมาต้องย้อนกลับไปดูว่า รัฐบาลดูแล 150 หน่วยอย่างไร และ 300 หน่วย ดูแลอย่างไร จนวันนี้เพิ่มเป็น 500 หน่วย ให้ส่วนลด 150 บาท ก็เพิ่มให้ ซึ่งความเป็นมาของเรื่องพลังงานมีรายละเอียดปลีกย่อยอีก

    แจงซื้อไฟสีเขียว แค่อนุมัติเฉยๆ ยังไม่สร้างเลย

    พลเอกประยุทธ์ กล่าวถึงพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนว่า ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง ไม่ได้ใช้งบประมาณตรงนั้นมากลบตรงนี้ มันเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องพลังงานทดแทนเป็นการเตรียมการสู่อนาคต ซึ่งคณะกรรมการกำกับนโยบายพลังงานจะมีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม

    “ก็ขอให้ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เราพยายามจะทำดีที่สุด ก็เป็นข้อกังวลเหมือนกันที่มีการหาเสียงว่าจะลดเท่านั้นเท่านี้ ถ้ามาดูไส้ในจริง ๆ จะรู้ว่ามันมีรายละเอียดมากมาย มีทั้งเหตุผลและความจำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตและรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ที่มีการพูดถึงว่ารัฐบาลอนุมัติไป 2 งวด ทำให้เกิดภาระ ซึ่งจริงๆ แล้วยังไม่ได้สร้างเลย เป็นการอนุมัติเฉยๆ ฉะนั้นที่ว่าปริมาณไฟฟ้าสำรองเกินไป 50-60% ไม่ใช่ตัวเลขนั้น ต้องเข้าใจกันน่ะ อย่าไปหาเสียงให้เกิดความตื่นตระหนก หรือ ทำให้บริหารไม่ได้ พลเอกประยุทธ์ กล่าว

    พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ครม.เห็นชอบการอนุมัติเพิ่มเติมให้ 150 บาทต่อ 500 หน่วย เพิ่มขึ้น ซึ่งวันนี้ค่าเฉลี่ยทั้งด้านอุตสาหกรรมและประชาชนเท่ากัน จากเดิมเสียสละมาเป็น 5 บาท อะไรทำนอง

    แต่ตอนนี้ก็ลดลงมา ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภาระของภาคอุตสาหกรรม แต่รัฐบาลก็ดูแลหมด การดูแลคนส่วนใหญ่มันลำบากเหมือนกัน แต่ละประเภทมีคนจำนวนเท่าไหร่ ก็มุ่งเป้าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

    เผยที่ผ่านมาใช้งบฯอุ้มค่าไฟกว่าแสนล้าน

    เมื่อถามว่า การช่วยเหลือค่าไฟใช้งบประมาณเท่าไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า 3,500 ล้านบาท และไม่ได้คิดของเดิมที่ใช้จ่ายไปแล้วแสนกว่าล้าน วันนี้ก็ใช้อีก 3,500 ล้านบาท ถ้าใช้ต่อไปอีกทั้งหมดน่าจะประมาณหมื่นกว่าล้านบาท

    ถามต่อว่าจะดูแลประมาณกี่เดือน และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า วันนี้ผ่านครม.ก็ต้องนำส่งให้ กกต.พิจารณา ซึ่งสถานการณ์ค่าพลังงานยังไม่แน่นอน ต้องดูว่าจะทำอย่างไร

    ให้อัยการสัญญาซื้อ-ขายไฟเป็นธรรมหรือไม่

    “ปัญหาคืองบประมาณมีจำกัดพอสมควร หนี้สินเก่าจากการลดโน้น ลดนี่ให้เขา ก็มีอยู่เพราะเป็นการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจด้วย ขอยืนยันรัฐบาลจะให้ความเป็นธรรมทุกภาคส่วนที่ร่วมกันบริหารจัดการพลังงาน เพราะรัฐบาลไม่สามารถที่จะลงทุนทั้งหมดได้เอกชนได้มาร่วมลงทุนด้วย แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายกติกาที่มีอยู่ทุกประการที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ คือปัญหาหาทางกฎหมายได้ให้กระทรวงพลังงานส่งสัญญาต่าง ๆ ไปให้อัยการพิจารณาแล้วว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม เพราะหลายสัญญาทำมานานพอสมควร พลเอกประยุทธ์ ตอบ

    ย้ำค่าไฟแพงให้ดูปริมาณการใช้ – ต่างจากเดือนก่อนอย่างไร

    ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ระยะเวลาในการดูแลประมาณกี่เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “หน้าร้อนเดือนนึง เพราะนี่คือหน้าร้อน อากาศร้อนคนก็มีโอกาสใช้พลังงานสูงขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะการเร่งความเย็น เขาชี้แจงมาแล้วว่าเพิ่มการใช้พลังงาน 2 ถึง 3 เท่ากว่าปกติ หลายคนคิดว่าเปิดเหมือนเดิม แต่ถ้าเร่งแอร์ให้เย็นขึ้น ก็เป็นการเพิ่มการใช้พลังงาน 2 ถึง 3 เท่า”

    “ต้องฟังเหตุผลบ้าง การที่จะนำบิลเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้ามาดู อย่าเทียบเฉพาะทางขวามือที่เป็นราคาค่าไฟฟ้าประจำเดือน กรุณาดูให้ครบทั้งซ้ายและขวา ทางซ้ายคือจำนวนหน่วยพลังงานที่ใช้เดือนที่แล้วกับเดือนนี้ มันต่างกันอย่างไร ตรงนั้นคือประเด็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจกันผิดทั้งหมด” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

    พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องดูแลกลุ่มเปราะบางให้มากที่สุด เพราะมีคนหลายสิบล้านคนอยู่ตรงนี้ เราต้องระมัดระวังการใช้งบประมาณให้พอเพียง มุ่งเป้าไปตรงไหน อย่างไร

    พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า “เรื่องพลังงานพอแล้ว ผมว่าปวดหัว”

    เตรียมอพยพคนไทยในซูดานกลับประเทศ

    พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องหนึ่งที่หลายคนไม่ให้ความสำคัญ เพราะมัวแต่ไปสนใจเรื่องการเมือง พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน คือเรื่องแรงงานในประเทศซูดาน ซึ่งมีการสู้รบในประเทศ โดยรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ สถานทูตไทยในซูดาน และสภาความมั่นคงแห่งชาติ จำเป็นต้องอพยพคนไทยกว่า 200 คนกลับมาในประเทศ

    พลเอกประยุทธ์ ให้ข้อมูลว่า คนไทยส่วนหนึ่งเดินทางมาถึงท่าเรือเมืองเจดดา ในประเทศซาอุดิอาระเบียแล้ว อีกส่วนหนึ่งเดินทางกลางทะเล และอีกส่วนหนึ่งอยู่ระหว่างเดินทางด้วยรถยนต์ ซึ่งกองทัพอากาศได้เตรียมเครื่องบินไปรองรับแล้ว

    “นี่คือการเตรียมการของรัฐบาล ก็ขอให้บรรดาครอบครัวญาติพี่น้องสบายใจมากขึ้นว่าไม่มีใครสูญเสีย หรือเสียชีวิตแม้แต่รายเดียว ผมได้รับการรายงานมาอย่างนั้น” พลเอกประยุทธ์ กล่าวว

    ชี้ รมต.ลา ครม.ช่วงหาเสียงถือเป็นเรื่องปกติ

    นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวขอบคุณสื่อมวลชน และประชาชนทุกคน รวมถึงขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคน

    “วันนี้ผมพูดในนามรัฐบาล ขอขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล บรรดารองนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรี ส่วนใหญ่ก็เข้ามาประชุม เว้นแต่บางคนก็จำเป็นต้องมีการลาเป็นเรื่องปกติ ลาได้หมด แต่ช่วงนี้ก็อย่างว่า แต่ละคนภารกิจต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องได้รับบันทึกการประชุมทุกท่าน ไม่ว่าจะอยู่ ไม่อยู่ ก็ถือว่าเป็นมติของ ครม. ขับเคลื่อนด้วยกันนะจ๊ะ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

    ทอ. จัดเครื่องบินรับคนไทยในซูดานกลับถึงไทย 27 เม.ย.นี้

    ด้านนายอนุชา รายงานความคืบหน้าสถานการณ์การอพยพคนไทยออกจากประเทศซูดานว่า เช้าวันที่ 25 เมษายน 2566 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ได้ร่วมกับสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองคาร์ทูม ประเทศซูดาน ได้จัดการเดินทางของประชาชน 84 รายมาที่ท่าเรือ โดยกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของซาอุดิอาระเบีย จะจัดการเดินทางโดยเรือไปยังเมืองเจนดา ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยมีกำหนดการเดินทางคืนวันที่ 25 เมษายน 2566 แต่หากไม่ทันกำหนดจะมีเรือที่จะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้

    นายอนุชา กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างในเมืองอื่นๆ เพิ่มเติมในซูดานด้วย และได้ประสานกับเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร และสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองคาร์ทูม ประเทศซูดาน เพื่อจัดรถให้คนที่ยังติดค้างเดินทางมาสมทบไปยังท่าเรือประเทศซาอุดิอาระเบีย

    นายอนุชา กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นคนไทยจะเดินทางกลับโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ โดยคาดการณ์ว่าคนไทยจะเดินทางมาถึงประเทศไทยในช่วงค่ำของวันที่ 27 เมษายน 2566

    ทั้งนี้ นายกฯ สั่งการเพิ่มเติมให้คนไทยในซูดานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

    มติ ครม. มีดังนี้

    นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

    ชง กกต.ให้ส่วนลด 150 บาท ช่วยผู้ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน

    นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (25 เมษายน 2566) ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี 2566 และเห็นว่ามีความจำเป็นสำหรับมาตรการช่วยเหลือประชาชนระยะเร่งด่วนในส่วนของค่าไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้นำเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา ให้ความเห็นชอบการใช้งบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) กำหนด

    แนวทางการช่วยเหลือที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกสูงขึ้นมีดังนี้

    1. มาตรการต่อเนื่องของกระทรวงพลังงานที่ได้ดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2566 (การช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของกลุ่มเปราะบาง) เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป แม้ราคาพลังงานโลกเริ่มมีการปรับตัวลดลงจากช่วงปี 2565 โดยมีแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดแบบขั้นบันไดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ

    “สำหรับค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2566 (4 เดือน) โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราส่วนลดเดียวกันกับช่วงเดือน มกราคม – เมษายน 2566 ดังนี้ (1) ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 1-150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 92.04 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีผลต่างค่าไฟฟ้า ตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เรียกเก็บและส่วนลด 1.39 สตางค์ต่อหน่วย (2) ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 151-300 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 67.04 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีผลต่างค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เรียกเก็บและส่วนลด 26.39 สตางค์ต่อหน่วย ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือรวมทั้งสิ้นประมาณ 18.36 ล้านราย ใช้งบประมาณรวมในกรอบไม่เกิน 7,602 ล้านบาท โดยใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 หมวดงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นายอนุชา กล่าว

    2. มาตรการช่วยเหลือประชาชนระยะเร่งด่วน เป็นมาตรการช่วยเหลือประชาชนในส่วนของค่าไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ในหลายพื้นที่ของประเทศส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 โดยให้ส่วนลดแก่ผู้ใช้ฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้า และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือจำนวน 150 บาทต่อราย โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในรอบบิลเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงเดือนที่มีสถิติความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศและจะเริ่มลดลงในเดือนมิถุนายน

    ทั้งนี้ เพื่อเป็นลดภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน จำนวน 23.40 ล้านราย โดยจะใช้งบประมาณรวมในกรอบไม่เกิน 3,510 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในหมวดงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

    เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในห้วงการยุบสภา คณะรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะได้นำเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณา ให้ความเห็นชอบการใช้งบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) กำหนด

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนายกรัฐมนตรียืนยันถึงความพยายามของรัฐบาล ในแก้ไขปัญหาไฟฟ้าแพงเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลดูแลลดภาระให้แก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้า 1-300 หน่วย ครอบคลุมกว่าร้อยละ 80 ครัวเรือน ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เดินหน้าเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานของประเทศ โรงไฟฟ้าสีเขียว สำหรับภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป็นคาร์บอนเครดิตของประเทศ และส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ในอนาคตเชื่อว่า การใช้พลังงานสะอาดของไทยจะมีสัดส่วนที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับพลังงานที่มาจาก fossil สอดคล้องกับทิศทางและแนวโน้มโลกในการใช้พลังงานสีเขียว

  • ครม.ชง กกต.อนุมัติงบกลาง 11,112 ล้านบาท ให้ส่วนลดค่าไฟบ้านที่ใช้ไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน
  • โชว์ผลงาน “กองทุนยุติธรรม” ปี’65

    นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กองทุนยุติธรรม โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประกอบด้วย

    1) ความสำเร็จของการดำเนินงานตามมาตรฐานระยะเวลางานบริการของกองทุนยุติธรรม โดยมีประชาชนเข้ารับบริการของกองทุนยุติธรรม จำนวน 4,463 ราย ดำเนินการแล้วเสร็จได้ทั้งสิ้น 4,207 ราย ดำเนินการแล้วเสร็จภายในมาตรฐานระยะเวลางานบริการ จำนวน 4,047 ราย คิดเป็นร้อยละ 96.20

    2) ความสำเร็จในการช่วยเหลือประชาชน กองทุนยุติธรรมได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งสิ้น จำนวน 2,548 ราย เป็นเงินจำนวน 293,405,274.54 บาท ดังนี้

      2.1 ภารกิจการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี จำนวน 1,814 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 33,323,811.41 บาท
      2.2 ภารกิจการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย จำนวน 612 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 151,013,540.00 บาท รวมทั้งได้ช่วยเหลือประชาชนโดยการออกหนังสือรับรองการชำระเงิน
      ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 96,677,079.13 บาท
      2.3 ภารกิจการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จำนวน 2 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 309,469.00 บาท
      2.4 ภารกิจการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน จำนวน 120 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 12,081,375.00 บาท

    3) ผลงานเด่นด้านการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี จำนวน 3 กรณี ได้แก่ (1) ยายพิการร้องกองทุนฯ ให้ช่วยเปิดทางเข้าออกไปหาหมอ (2) ชาวบ้านร้องถูกโกงเงินจากคนในกลุ่มสะสมทรัพย์บ้านคลองคราม (3) ชาวบ้านร้อง “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้าทอมัดหมี่ศรีเพชร” เอาเปรียบ เกือบสูญบ้านและที่ดิน

    4) ผลงานเด่นด้านการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย จำนวน 2 กรณี ได้แก่ (1) สาวถูกกล่าวหาแทงสามีตาย ได้กองทุนยุติธรรมเข้าช่วย (2) สาวโดนสวมรอยใช้บัญชีม้าขายสินค้าออนไลน์

    5) ผลงานเด่นด้านการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จำนวน 1 กรณี ได้แก่ แพะขาวถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนได้กองทุนยุติธรรมเข้าช่วยเหลือ

    6) นวัตกรรมสำนักงานกองทุนยุติธรรม ได้แก่ (1) การยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยด้วยหนังสือรับรองแทนการชำระเงินกองทุนยุติธรรม ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและผู้ปฏิบัติงานด้านกองทุนยุติธรรมผ่านระบบ LMS (3) การเชื่อมบริการกองทุนยุติธรรมกับแอปพลิเคชันทางรัฐ

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกองทุนยุติธรรมว่า เป็นหน่วยงานรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 มีภารกิจในการเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน รวมทั้งประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและเอกชน พัฒนาระบบ รูปแบบ วิธีการ และการให้บริการดำเนินงานของกองทุน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยากไร้ เดือดร้อน ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

    แจงความก้าวหน้าโครงการลงทุนใน EEC ปี’65

    นายอนุชา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานประจำปี 2565 ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีผลงานที่สำคัญ ดังนี้

    1. โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (EEC Project List) มีโครงการที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักการแล้ว รวม 5 โครงการ โดยทุกโครงการมีความก้าวหน้า ดังนี้

      (1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีการส่งมอบพื้นที่โครงการให้เอกชนตามคู่สัญญาดำเนินการ มีการออกแบบและการก่อสร้างโครงการพื้นฐาน
      (2) โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มีการก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2 และทางขับที่เกี่ยวข้อง มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่โครงการ เช่น ระบบประปาและบำบัดน้ำเสีย
      (3) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F เช่น มีการถมทะเล มีการสร้างอาคารท่าเทียบเรือชายฝั่งและมีการชดเชยและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการ
      (4) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มีการก่อสร้างเขื่อนกันทรายในงานถมทะเล เป็นต้น (5) โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (Maintenance Repair and Overhaul : MRO) มีการชะลอโครงการ เนื่องจาก การบินไทยอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการและมีสถานะเป็นเอกชน

    2. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เป็นพื้นที่ดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายใน EEC มี 2 รูปแบบ ได้แก่

      1) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ มีการจัดตั้ง ไปแล้ว 7 เขต เช่น เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และเขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) และ

      2) เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการอุตสาหกรรม มีการประกาศจัดตั้งแล้ว รวม 28 เขต เช่นนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์น เป็นต้น ทุกแห่งได้ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว

      3. แผนผังการพัฒนาพื้นที่ EEC แบ่งประเภทการใช้ที่ดินออกเป็น 4 กลุ่ม ตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน ได้แก่ 1. พื้นที่พัฒนาเมืองและชุมชน 2. พื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรม 3. พื้นที่พัฒนาเกษตรกรรม และ 4. พื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองอยู่ระหว่างการจัดทำผังเมืองรวมระดับอำเภอ รวม 30 อำเภอ ในพื้นที่ EEC โดยคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ทั้งหมดภายในปี 2567

      4. ความก้าวหน้าโครงการ EECi และ EECd อาทิ มีการก่อสร้างกลุ่มอาคารในการพัฒนาพื้นที่ของ EECi เพื่อรองรับพัฒนานวัตกรรมในรูปแบบต่างๆ และ โครงการ EECd มีการจัดโซนนิ่งเพิ่มพื้นที่สำหรับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เป็นต้น

      5. การให้บริการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร (EEC – OSS) เป็นการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ในพื้นที่ EEC รวม 44 งานบริการ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การขอขยายกิจการ และการต่ออายุ ใบอนุญาต มีการดำเนินงานร่วมกับ อปท. และร่วมกันพัฒนางานให้บริการที่เกี่ยวเนื่องในรูปแบบ e-Service เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่

      6. การชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ เพื่อสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ โดย มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อชักจูงนักลงทุนเป้าหมายจากประเทศต่าง ๆ ให้เข้ามาลงทุนจำนวน 18 ประเทศทั่วโลกและหนึ่งองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรสาธารณรัฐฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย เป็นต้น โดยเน้น 4 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 1 แนวคิด คือ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัลและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว

      7. การประชาสัมพันธ์และการสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่

      8. แผนงานบูรณาการ EEC ขับเคลื่อนแผนบูรณาการฯ สานต่อโครงการร่วมทุนภาครัฐและเอกชน (EEC Project List) และการพัฒนากำลังคนให้ตรงกับ ความต้องการของอุตสาหกรรม ยกระดับคุณภาพระบบสาธารณสุขให้ได้มาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับ การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ

      9. ความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามแผน และมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC อาทิ ร่วมลงนาม MOU ร่วมกับภาคเอกชนเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากร ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ 5G

      10. กองทุนพัฒนาอีอีซี มีการดำเนินการ เช่น โครงการบัณฑิตอาสาต้นแบบโครงการยกระดับการผลิตทุเรียนพรีเมี่ยมด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืนเป็นต้น

      11. ระเบียบประกาศที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายได้พิจารณากลั่นกรองความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎระเบียบข้อบังคับประกาศหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC มีผลบังคับใช้แล้วรวม 10 ฉบับ

    ต่ออายุ “เสธ.ไก่อู” นั่งอธิบดีกรมประชา ฯจนเกษียณ

    นายอนุชา กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ/เห็นชอบในเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานของรัฐ มีรายละเอียดดังนี้

    1. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงวุฒิ ในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ดังนี้
    1. ผู้แทนองค์กรสตรีและองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ จำนวน 6 คน

      1) นางถวิลวดี บุรีกุล
      2) นางสาวศุธาฎา เมฆาวงศกุล
      3) นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง
      4) นายรณภูมิ สามัคคีคารมย์
      5) นางสาวเสาวลักษณ์ ทองก๊วย
      6) นางสาวศิริพร ไชยสุต

    2. ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์ ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสังคมศาสตร์ หรือด้านจิตวิทยา จำนวน 3 คน

      1) นางปารีณา ศรีวนิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์
      2) นายสมศักดิ์ ชลาชล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์
      3) นางสาวชมพูนุท นาครทรรพ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิทยา

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2566 เป็นต้นไป

    2. การโอนข้าราชพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการราชบัณฑิตยสภา

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเสนอรับโอน นายกฤษฎา คงคะจันทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการระดับสูง เงินประจำตำแหน่ง 14,500 บาท) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการราชบัณฑิตยสภา (นักบริหารระดับสูง เงินประจำตำแหน่ง 14,500 บาท) สำนักงานราชบัณฑิตยสภา เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว

    3. การแต่งตั้งประธานกรรมการและคณะกรรมการในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ครบกำหนดออกตามวาระ)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งบุคคล เป็นประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 ดังนี้

      1. นายปริญญา แสงสุวรรณ ประธานกรรมการ
      2. นายกฤชเทพ สิมลี กรรมการ
      3. พลตำรวจโท เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ กรรมการ
      4. นายชนินทร์ แก่นหิรัญ กรรมการ
      5. นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ กรรมการ
      6. พลตำรวจโท กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ กรรมการ
      7. นายวรพจน์ เอี่ยมรักษา กรรมการ
      8. นายวิบูลย์ รัตนาภรณ์วงศ์ กรรมการ
      9. นายจิรุตม์ วิศาลจิตร กรรมการ
      10. นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล กรรมการ

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2566 เป็นต้นไป

    4. การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอต่อเวลาการดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ของ พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2562 และครบกำหนด 4 ปี ในวันที่ 5 เมษายน 2566 ต่อไปอีก 5 เดือน 25 วัน (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2566 เป็นต้นไป โดย พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด จะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

    อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 25 เมษายน 2566เพิ่มเติม