ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯสั่ง กต.หารือจีน ลดขั้นตอนส่งผลไม้ไทย-มติ ครม.ยกเว้นภาษี 25% หนุนใช้พลาสติกชีวภาพถึงสิ้นปี’67

นายกฯสั่ง กต.หารือจีน ลดขั้นตอนส่งผลไม้ไทย-มติ ครม.ยกเว้นภาษี 25% หนุนใช้พลาสติกชีวภาพถึงสิ้นปี’67

5 เมษายน 2022


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

นายกฯสั่ง กต.หารือจีน ลดขั้นตอนส่งผลไม้ไทย-ยันลงพื้นที่ ‘คลองโอ่งอ่าง’ ไม่ใช่หาเสียง-มติ ครม.ลดเงินสมทบ สปส. 3 เดือน เริ่ม 1 พ.ค.นี้-ยกเว้นภาษีเงินได้ 25% หนุนซื้อพลาสติกชีวภาพถึงสิ้นปี’67-ไฟเขียวแผนผลิตหมอเพิ่ม 5 ปี 13,318 คน

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2565 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว รวมทั้งมอบหมายให้ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการแทนนายกรัฐมนตรี

สั่งทุกกระทรวงติดตามมาตรการเยียวยา-ยันไทยดีกว่าหลาย ปท.

พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้มีหลายวาระที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยมีการพูดคุยหารือถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ทำไปแล้ว และหารือถึงมาตรการที่จะทำต่อไป ทั้งนี้นายกฯ ได้มอบหมายให้ทุกกระทรวง และรองนายกรัฐมนตรีติดตามประเด็นต่างๆ

“สถานการณ์ในวันนี้เป็นสถานการณ์ที่มีความเดือดร้อนบ้าง ก็บรรเทาความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด แต่มันก็อาจจะแก้ปัญหาทั้งหมดไม่ได้ แต่ให้ดำรงสภาพอยู่ให้ได้ในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่เราต้องช่วยกัน เมื่อทุกคนทราบดีถึงปัญหาของประเทศ ผมคิดว่าเราก็หารือกันทุกมิติ เรื่องอะไรยังไง ใครแก้ถึงไหนยังไง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน ก็คุยกัน มาตรการก็ค่อยๆ ออกมาเรื่อย ๆ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว

พลเอกประยุทธ์ ย้ำว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องระมัดระวังที่สุด ก็รู้อยู่เรามีจำกัด ถ้าเทียบเคียงกันแล้ว ผมถือว่าน่าจะดีกว่าหลายๆ ประเทศ ที่เราทำไปแล้ว แม้จะเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวบ้างครั้งก็สามเดือนบ้าง ก็ค่อยเป็นไปตามสถานการณ์ เราควบคุมสถานการณ์ที่ต่างประเทศไม่ได้”

ยันลงพื้นที่ ‘คลองโอ่งอ่าง’ ไม่ใช่หาเสียง

ส่วน ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีว่า ในที่ประชุมวันนี้นายกฯ กล่าวถึงการลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง รวมถึงติดตามการดำเนินงานความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต้องเร่งสร้างการรับรู้ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการระบายน้ำสู่คลอด ซึ่งชาวบ้านชุมชนได้สะท้อนว่าถ้าระบายน้ำได้ดี จะสามารถลดปัญหายุง และการระบายน้ำทิ้ง ช่วยลดปัญหาขยะไขมัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการระบายน้ำ

ดร.ธนกร กล่าวต่อว่า นายก ฯ ชื่นชมการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองสวยน้ำใส นอกจากนี้ยังเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างเม็ดเงินของประเทศ แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ใช่การหาเสียง

สั่ง กต.หารือจีน ลดขั้นตอนส่งผลไม้ไทย

ดร.ธนกร กล่าวต่อว่า นายกฯ ได้เร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร เพื่อลดผลกระทบต่อทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ โดยกำชับให้ทุกหน่วยงานหาข้อยุติ เพื่อคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว แม้ราคาสินค้าบางอย่างจะเพิ่มสูงขึ้น

ขณะเดียวกันพลเอกประยุทธ์ได้สั่งการให้กระทรวงต่างประเทศหารือกับประเทศจีน เพื่อปรับรูปแบบการทำงาน ประสานความร่วมมือ ลดขั้นตอนการส่งผลไม้ไปจีน ส่วนเรื่อง ‘ปุ๋ยและอาหารสัตว์’ ต้องแก้ปัญหาทั้งเรื่องราคาและปริมาณ โดยสินค้าต้องไม่ขาดตลาดและราคาไม่สูงจนเกินไป

ทั้งนี้ ดร.ธนกรให้ข้อมูลว่า กระทรวงพาณิชย์ยังไม่อนุญาตให้ปรับราคาในสินค้าควบคุมทั้ง 18 หมวด

ชู 3 มาตรการ รับมือโควิดฯ คาดหลังสงกรานต์ยอดติดเชื้อเพิ่ม

ดร.ธนกร กล่าวถึงมาตรการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า นายกฯ กำชับมาตรการ 3 ด้าน คือ 1.ให้สวมหน้ากากอนามัย 2. ตรวจ ATK และ3. ฉีดวัคซีนเพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน

ดร.ธน กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความปลอดภัยของการเดินทาง ให้ระมัดระวังการรวมกลุ่ม เตรียมมาตรการรับมือ โดยประชาชนจะต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และคาดว่าหลังสงกรานต์จะมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ยังได้มอบมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงท่องเที่ยวฯ ร่วมกันส่งเสริมเทศกาลสงกรานต์ เพื่อสืบสานความเป็นไทย

สั่งทุกหน่วยโต้เฟคนิวส์

นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้ ทั้งงบประมาณและการปฏิบัติงาน
ส่วนเรื่องเฟคนิวส์ (fake news) นายกฯ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความตระหนักรู้ เพราะเฟคนิวส์ได้สร้างความสับสนให้ประชาชนและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยขอให้ทุกหน่วยงานชี้แจงและตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงให้ทันสถานการณ์

มติ ครม.มีดังนี้

ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกฯ และ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกฯ (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

ผลิตหมอเพิ่ม 5 ปี 13,318 คน

ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทยระยะที่ 2 พ.ศ. 2565 – 2570 ภายใต้กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 50,608.40 ล้านบาท เพื่อผลิตแพทย์จำนวน 13,318 คน โดยผูกพันจนนักศึกษาแพทย์รุ่นสุดท้ายจบการศึกษาในปี 2576 ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มระยะที่ 1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 26 มีนาคม 2562 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์และการกระจายแพทย์ ตลอดจนขยายศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ส่งเสริมไทยเป็น Medical Hub เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและหารายได้ให้กับประเทศ

ทั้งนี้ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มระยะที่ 2 จะเน้นการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้ชุมชนเป็นฐานการผลิต ตั้งเป้าหมายอัตราแพทย์ต่อประชากรในภาพรวม 1:1,200 ภายในปีการศึกษา 2576 เมื่อนักศึกษาแพทย์ที่ผลิตเพิ่มรุ่นสุดท้ายสำเร็จการศึกษา ซึ่งในช่วงปี 2565 – 2570 จะต้องมีการผลิตแพทย์เพิ่ม 13,318 คน ผ่านสถาบันในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยมีกรอบวงเงินที่ 50,608.40 ล้านบาท หรือ ราว 3.8 ล้านบาท/คน โดยแบ่งเป็น งบดำเนินการในการผลิตบัณฑิต 300,000/บาท/คน/ปี หรือ 1.8 ล้านบาท/คน รวมจำนวน 23,972.40 ล้านบาท และ งบลงทุนเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนด้านการแพทย์ ในอัตรา 2 ล้านบาท/คน รวมจำนวน 26,636 ล้านบาท

โดยเน้นการรับนักศึกษา 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มลดความเหลื่อมล้ำ โดยรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ในพื้นที่ชายขอบ พื้นที่ขาดแคลน หรือนักเรียนที่มีภูมิลำเนาไม่อยู่ในเขตอำเภอเมือง 2) กลุ่มสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ข้าราชการสังกัด สป.สธ. ที่สำเร็จการศึกษาระดับ ป.ตรีสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และ 3) กลุ่มแพทย์เพื่อชุมชน เป็นนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ตามหลักเกณฑ์การรับเดิมของโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท

ลดเงินสมทบ สปส. 3 เดือน เริ่ม 1 พ.ค.นี้

ดร.ธนกร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. ลดอัตราเงินสมทบ 3 เดือน กรณี ม. 33 นายจ้างและลูกจ้าง จ่ายเงินสมทบกองทุน ฯ เหลือ ฝ่ายละร้อยละ 1 จากเดิมร้อยละ 5 กรณี ม 39 จากเดิมร้อยละ 9 ของฐานค่าจ้าง 4,800 บาท (เดือนละ 432 บาท) ให้เหลือร้อยละ 1.9 หรือ เดือนละ 91 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2565 ทั้งนี้ การลดอัตราเงินสมทบ 3 งวดนี้ ส่งผลให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้ลดลง 34,023 ล้านบาท โดยผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบลดลงเป็นเงิน 18,085 ล้านบาท และนายจ้างจ่ายเงินลดลงเป็น 15,938 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกันตน ทำให้สามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องได้ประมาณ 1,000 – 1,800 บาทต่อคน ขณะเดียวกันนายจ้างก็มีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลได้ใช้กลไกของกองทุนประกันสังคม เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้ประกันตนและต้นทุนการผลิตให้แก่นายจ้าง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป เท่านั้น

เพิ่มอัตราเงินสมทบบำเหน็จชราภาพ 2.95%

ดร.ธนกร กล่าวว่าที่ประชุม ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและระยะเวลาและอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเป็นการเฉพาะในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดอัตราการจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ ให้แก่ผู้ประกันตนในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2565 โดยให้คำนวณเพิ่มจากอัตราเงินสมทบขึ้นอีกร้อยละ 2.95 ของค่าจ้างที่มีตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2565 เพื่อให้สามารถจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพได้เพิ่มขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า จากมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากราคาพลังงาน เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ให้ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมในระยะเวลา 3 เดือน ส่งผลให้ผู้ประกันตนบางส่วนจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพลดลง เนื่องจากเป็นการคำนวณจากเงินที่มีการจ่ายเข้ากองทุน ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายลดผลกระทบ โดยเสนอร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ โดยให้คำนวณอัตราเงินสมทบเพิ่มขึ้นอีก 2.95 ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงลดอัตราส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ฯ

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานคาดว่ามีผู้ที่ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพที่จะได้รับผลกระทบจากการลดอัตราเงินสมทบจำนวน 4,860,212 คน หรือ คิดเป็นร้อยละ 36 ของผู้นำส่งเงินสมทบ ม. 33 และ ม. 39 ทั้งหมดในช่วงระยะเวลาที่ลดอัตราเงินสมทบ และเมื่อมีการปรับอัตราจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ จะมีผลให้ผู้ประกันตนได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้นในภาพรวม จำนวน 4,553 ล้านบาท โดยผู้ประกัน ม.33 ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น 1,032 บาท/คน รวมเป็นเงิน 4,232 ล้านบาท และผู้ประกันตนตาม ม. 39 ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น 423 บาท/คน รวมเป็นเงิน 321 ล้านบาท ทำให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินที่เพิ่มขึ้นไปใช้จ่ายเพื่อยังชีพในยามชรา บรรเทาปัญหาการเงินของผู้ประกันตนได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม ในอนาคต เมื่อสถานการณ์เหมาะสม กองทุนประกันสังคมอาจจะต้องมีการเก็บเงินสมทบเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนี้ต่อไป

ยกเว้นภาษี 25% หนุนใช้พลาสติกชีวภาพถึงสิ้นปี’67

ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ จากเดิมที่สิ้นสุดลงเมื่อ 31 ธันวาคม 2564 ออกไปจนถึง 31 ธันวาคม 2567 โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 25 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิต ตามประเภทที่อธิบดีประกาศกำหนดและได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2567 เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

“แม้มาตรการทางภาษีนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในปี 2565-2567 ประมาณปีละ 673 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้และลดงบประมาณภาครัฐในการกำจัดขยะพลาสติกตกค้าง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ไทยสามารถบรรลุเป้าในการเป็น Bio Hub of ASEAN ได้”
ดร.รัชดากล่าว

แก้กฎหมาย กฟน.เพิ่มประสิทธิภาพบริหารธุรกิจไฟฟ้า

ดร.รัชดา กล่าวว่าที่ประชุม ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ.2501 ที่ใช้บังคับมานานและมีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ซึ่งไม่เอื้อต่อการดำเนินกิจการของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) โดยการแก้ไขเพิ่มเติมมีสาระสำคัญ อาทิ

1.แก้ไขเพิ่มวัตถุประสงค์ของการไฟฟ้านครหลวง 2 ข้อ คือ

ข้อ 1 เพิ่มเติมคำว่า “ผลิต และ จัดส่ง” (จากเดิมที่กำหนดเฉพาะ จัดให้ได้มา และ จำหน่ายพลังงานไฟฟ้า) รวมเป็น “ผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง จำหน่ายพลังงานไฟฟ้า และประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้า” เพื่อให้ กฟน. มีอำนาจดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังนี้ (1)ให้มีอำนาจผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ (จากเดิมที่ไม่สามารถดำเนินการได้) โดยเป็นการผลิตไฟฟ้า ณ จุดใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า หรือ ระบบไฟฟ้าในบริเวณพื้นที่เฉพาะเจาะจง เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน (2)ให้มีอำนาจจัดส่งและประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้า (จากเดิม ใช้คำว่า “ระบบการส่งพลังงานไฟฟ้า”) เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550

ข้อ 2 ดำเนินธุรกิจและกิจการอื่นใด โดยสามารถนำเทคโนโลยี อุปกรณ์ ทรัพย์สิน หรือบุคลากรที่มีอยู่นำไปเสริมสร้างให้เกิดการพัฒนาประเทศ เพื่อประหยัดงบประมาณ เช่น การทำแผนที่ภูมิศาสตร์สารสนเทศ (GIS) โครงข่ายใยแก้วนำแสง และโครงการธุรกิจจัดการพลังงาน (ESCO) เป็นต้น

2.กำหนดเพิ่มเติมให้ กฟน. มีอำนาจดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

3.กำหนดท้องที่ที่ กฟน. เป็นผู้จำหน่ายสำหรับพลังงานไฟฟ้าและประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศให้สอดคล้องกับปัจจุบัน ได้แก่ เขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ และพื้นที่ที่ดำเนินการอยู่แล้ว ณ วันจัดตั้งการไฟฟ้านครหลวง

4.แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น เนื่องจากการกระทำของพนักงานในการสร้างและบำรุงรักษาระบบจำหน่ายไฟฟ้า โดยให้ กฟน. ใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังริมทรัพย์เท่าที่เสียหาย (จากเดิมที่กำหนดให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย)

5.แก้ไขเพิ่มเติมวงเงินการกู้ยืมเงินที่ กฟน. จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ก่อนการดำเนินการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุน จาก “จำนวนเงินเกินคราวละ 40 ล้านบาท” เป็น “จำนวนเงินเกินคราวละ 100 ล้านบาท”

ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า การแก้ไขพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 นี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์กับการไฟฟ้านครหลวงในการให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าและดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมต่อไปได้

เปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว สร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งดำเนินการโดยกรมทางหลวง ขณะนี้ได้ดำเนินการจ้างบริษัทวิศกรที่ปรึกษาควบคุมงานแล ะบริษัทผู้รับจ้างก่อสร้างและได้ลงนามสัญญาจ้างเพื่อการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวมีความจำเป็นต้องเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวระหว่างบ้านดอนยม ตำบลไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ประเทศไทย กับบ้านก้วยอุดม เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว เพื่อดำเนินการก่อสร้าง ร่วมกับอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายบุคลากร ยานพาหนะ เครื่องจักรอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ซึ่งการดำเนินการเพื่อเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวดังกล่าว กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอให้ สมช. พิจารณาเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อดำเนินการก่อสร้าง และเสนอให้ ครม. รับทราบในครั้งนี้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม.ยังได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเงื่อนไข ข้อกำหนดและการควบคุมดูแลไม่ให้มีผลกระทบในด้านต่างๆ และดูแลให้การดำเนินการโครงการ เป็นไปอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายและกระทบต่อความั่นคง โดยต้องปฏิบัติตามมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ได้แก่ มติ ครม. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใดๆ บริเวณชายแดน และ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ พร้อมกับให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง สศช. ได้มีความเห็นว่า การเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวดังกล่าว ควรกำหนดเวลาเปิด-ปิด ในแต่ละวัน รวมทั้งกำหนดประเภทของยานพาหนะ เครื่องจักร/อุปกรณ์ บุคคลเข้าออกและจำกัดอาณาเขตพื้นที่การข้ามแดนให้ชัดเจน เพื่อมิให้จุดผ่านแดนชั่วคราวถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น รวมทั้งควรเร่งรัดการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ทั้งนี้ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 จะช่วยพัฒนาการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งระหว่างไทยกับสปป.ลาว อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า รองรับปริมาณการดำเนินทางเพื่อการท่องเที่ยว การขนส่งสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งลดความแออัดในการขนส่งสินค้าไปยัง สปป.ลาว และประเทศใกล้เคียง ในส่วนของการก่อสร้าง กรมทางหลวง รายงานว่าได้มีการวางแผนรองรับและดำเนินการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในประเด็นต่างๆ เช่น การกัดเซาะตลิ่ง การเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำ เป็นต้น

สร้างอ่างเก็บน้ำ ‘คลองโพล้’ พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่อีอีซี

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จังหวัดระยอง กำหนดแผนงานโครงการระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565-2568 กรอบวงเงินงบประมาณ 3,561.62 ล้านบาท ที่ตั้งเขื่อนหัวงานของโครงการอยู่ในเขตหมู่ที่ 4 บ้านสีระมัน ตำบลห้วยทับมอญ อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นโครงการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และเป็นแหล่งเก็บกักน้ำต้นทุนที่จะทำให้มีปริมาณน้ำไหลในคลองโพล้ตลอดทั้งปี โดยโครงการนี้อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)

ทั้งนี้จะสามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนได้ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับช่วยเหลือพื้นที่เกษตรกรรมและการอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้งของประชาชนที่อยู่ในเขตอำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง จำนวน 30,000 ไร่ และช่วยบรรเทาอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลากในเขตอำเภอแกลง จังหวัดระยอง ช่วยยกฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนในเขตที่ได้รับประโยชน์จากโครงการให้ดีขึ้น เป็นแหล่งขยายเพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดอื่นๆให้ประชาชนได้บริโภคและมีรายได้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวของประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการและพื้นที่ใกล้เคียง และเป็นแหล่งน้ำสำรองสนับสนุนพื้นที่อีอีซี

อย่างไรก็ตามโครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ ไม่จัดอยู่ในประเภทหรือกิจการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีพื้นที่ชลประทานไม่ถึง 80,000 ไร่ ไม่อยู่ในเขตพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 ไม่มีการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำหลัก 25 ลุ่มน้ำ และการผันน้ำระหว่างประเทศ ไม่ได้ก่อสร้างประตูระบายน้ำในแม่น้ำสายหลัก 23 สาย และพื้นที่โครงการไม่ได้อยู่ในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติ แต่เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างบางส่วนอยู่ในเขตป่าเพื่อการอนุรักษ์โซนC ดังนั้น กรมชลประทานจึงได้จัดทำรายงานรายการข้อมูลสิ่งแวดล้อม (Environmental Checklist : EC) และได้มีการกำหนดแผนการป้องกัน แก้ไข และพัฒนาสิ่งแวดล้อม

จัดสรร ขรก.เพิ่ม 855 อัตรา ทดแทน จนท.ที่ถูกย้ายไป ศรชล.

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ เพื่อนำไปกำหนดเป็นอัตรากำลังแทนให้แก่ส่วนราชการที่ส่งข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) สำนักนายกรัฐมนตรี รวม 203 อัตรา ได้แก่ กรมเจ้าท่า 45 อัตรา , กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 45 อัตรา , กรมประมง 45 อัตรา , กรมศุลกากร 45 อัตรา และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 23 อัตรา ซึ่งทั้ง 5 หน่วยงาน จะมีงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสำหรับอัตราข้าราชการตั้งใหม่รวม 90.53 ล้านบาทต่อปี โดยกำหนดเงื่อนไขไม่ให้นำตำแหน่งดังกล่าวไปใช้ในภารกิจอื่น และไม่ใช้เพื่อเลื่อนระดับตำแหน่ง หรือ ปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเป็นระดับสูงขึ้น รวมทั้งไม่ให้นำไปใช้สำหรับการบริหารทรัพยากรบุคคลในลักษณะเดียวกันกับกรอบอัตรากำลังปกติของส่วนราชการ

นอกจากนี้ครม.ยังอนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการทหารตั้งใหม่ เพื่อนำไปกำหนดเป็นอัตรากำลังแทนให้แก่กองทัพเรือ ที่ส่งข้าราชการทหารไปปฏิบัติหน้าที่ใน ศรชล. รวม 652 อัตรา โดยจะมีงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับข้าราชการตั้งใหม่ของกองทัพเรือจำนวน 317.40 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมด 6 หน่วยงานจะมีอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อนำไปกำหนดเป็นอัตรากำลังแทนให้แก่ส่วนราชการจำนวน 855 อัตรา และงบประมาณด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นรวม 407.94 ล้านบาทต่อปี

สำหรับ ศรชล.นั้น จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562 มีฐานะเป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีภารกิจและขอบเขตความรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล มีลักษณะโครงสร้างแบบผสมผสานและการทำงานแบบเครือข่าย (Networking) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เน้นการบริหารงานแบบบูรณาการที่มีเป้าหมายการดำเนินการร่วมกัน ทั้งในเชิงภารกิจและเชิงพื้นที่ โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในศรชล.ตามที่ผู้อำนวยการศรชล.ร้องขอ ระยะเวลาหมุนเวียนคราวละ 1-2 ปี

กู้ 35 ล้าน ยกระดับสินค้าเกษตร-ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) กรอบวงเงิน 35.69 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติมพ.ศ.2564 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้(คกง.)เสนอ

สำหรับโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมดังกล่าว มีจุดมุ่งหมาย เพื่อนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมสู่ภูมิภาค ก่อให้เกิดการลงทุนของเกษตรกร และผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น รวมทั้งกระตุ้นการบริโภคของประชาชนภายในประเทศจากสินค้าเกษตรคุณภาพดีและผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมจากวัตถุดิบท้องถิ่น

ขณะที่ระยะเวลาดำเนินโครงการอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-ธันวาคม 2565 กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรจำนวน 4,250 ราย พื้นที่ดำเนินการใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี ชุมพร ปทุมธานี พังงา เพชรบูรณ์ สกลนคร สมุทรสงครามและจังหวัดอุดรธานี มีกิจกรรมหลักได้แก่ 1.การปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น พัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตโดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือนวัตกรรม มาใช้ในการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 2.การส่งเสริมการจัดทำสารสกัด เช่น พัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูป เพิ่มมูลค่าวัตถุดิบ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยให้แก่กลุ่มเป้าหมายในจังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดประกอบด้วยกิจกรรมที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ ความพร้อมของบุคลากรในพื้นที่ และความพร้อมของพื้นที่ดำเนินโครงการ ทั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับ ประกอบด้วย เกษตรกรในพื้นที่ดำเนินโครงการมีรายได้ประมาณ 60 ล้านบาทต่อปี และเกิดผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม 40 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ยังอนุมัติให้มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการแผนงานการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด 19 จากเดิมสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2565 และอนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขยายระยะเวลาดำเนินกิจกรรมพัฒนา Platform การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เป็นสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2565 และเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงิน จากเดิม 20 ล้านบาท เป็น 21 ล้านบาท

รฟม.แจงความคืบหน้ารถไฟฟ้า ‘สีชมพู-เหลือง’ เปิดบริการปีนี้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ 2564 โดยในด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 3 โครงการ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี(สุวินทวงศ์) งานศึกษาและวิเคราะห์โครงการแล้วเสร็จ งานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 89.70 เร็วกว่าแผนร้อยละ 0.44 คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมีนาคม 2568 , โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี งานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 90.70 เร็วกว่าแผนร้อยละ 1.74 คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2565 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง งานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 84.90 เร็วกว่าแผนร้อยละ 4.19 คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2565

สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคา มี 2 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ 37.75 ซึ่งเป็นไปตามแผน และงานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 9.10 ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ 0.73 เนื่องจากรฟม.ได้มีประกาศยกเลิกประกวดราคางานโยธา เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2570 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ 17.80 ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ 0.20 งานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้าร้อยละ 5 ซึ่งเป็นไปตามแผน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายน 2570

ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและวิเคราะห์โครงการมี 4 โครงการประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าจังหวัดภูเก็ต คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคม 2569, โครงการรถไฟฟ้าจังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2571 , โครงการรถไฟฟ้าจังหวัดนครราชสีมา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2571 และโครงการรถไฟฟ้าจังหวัดพิษณุโลก คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกรกฎาคม 2571 ขณะที่โครงการและแผนงานของรฟม.ในอนาคต ในด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รฟม.ได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ระบบตั๋วร่วม โดยจะสามารถเปิดให้บริการระบบตั๋วร่วม EMV contactless ในรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลและสายฉลองรัชธรรมอย่างเป็นทางการได้ภายในปี 2565

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนของด้านการเงินของ รฟม.ในปี 2564 มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,927.83 ล้านบาท โดยมีรายได้ 16,018.27 ล้านบาท เป็นเงินอุดหนุน 10,434.78 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 14,090.44 ล้านบาท สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ 99.99 สูงกว่าที่ครม.กำหนดให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน และยังมีรายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล 104.16 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 33.48 ล้านบาท และสายฉลองรัชธรรม 24.26 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 6.73 ล้านบาท ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ร้อยละ 1.20 จากเป้าหมายร้อยละ 0.85 รวมทั้งได้จัดทำรายงานการศึกษาโครงสร้างงบกำไรขาดทุนของ รฟม.เสร็จเรียบร้อยแล้ว

ตั้ง ‘สุพรรณวษา โชติกญาณถัง’ ขึ้นอธิบดีกรมสนธิสัญญา

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่าวันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ/เห็นชอบ ในเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือ ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานของรัฐมีรายละเอียดดังนี้

1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้

    1. นางสาวทัศนีย์ กิตอำนวยพงษ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2564

    2. เรืออากาศเอกหญิง บุษบัน เชื้ออินทร์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2564

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอแต่งตั้ง นายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ (ผู้อำนวยการระดับสูง) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้น

3. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นางสุพรรณวษา โชติกญาณถัง รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

4. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายกิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

5. การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอการแต่งตั้ง นายสันติ เจริญพรพัฒนา เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป

6. การแต่งตั้งคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งรายชื่อเป็นคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า จำนวน 7 รายชื่อ ดังนี้

    1. นายวิชัย โภชนกิจ ประธานกรรมการ
    2. นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองประธานกรรมการ
    3. นายมงคล เหล่าวรพงศ์ กรรมการ
    4. รองศาสตราจารย์อัศม์เดช วานิชชินชัย กรรมการ
    5. นายสกล กิตติ์นิธิ กรรมการ
    6. นายคมฤทธิ์ กวินอัครฐิติ กรรมการ
    7. นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ กรรมการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2565 เป็นต้นไป

อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 5 เมษายน 2565 เพิ่มเติม