ThaiPublica > เกาะกระแส > กบน.ลดราคาดีเซลครั้งที่ 2 อีก 50 สตางค์ เริ่มขายลิตรละ 34 บาท 22 ก.พ.นี้

กบน.ลดราคาดีเซลครั้งที่ 2 อีก 50 สตางค์ เริ่มขายลิตรละ 34 บาท 22 ก.พ.นี้

15 กุมภาพันธ์ 2023


นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.)

กบน.มีมติปรับราคาน้ำมันดีเซลครั้งที่ 2 ลงอีก 50 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 34 บาท/ลิตร เริ่ม 22 ก.พ.นี้เป็นต้นไป ขณะที่ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาดีเซลรอบแรก 50 สตางค์/ลิตรมีผลตั้งแต่ 15 ก.พ.เป็นต้นไป หลังจาก กบง.มีมติปรับขึ้นค่าการตลาดน้ำมันดีเซลจาก 1.4 บาท/ลิตร เพิ่มเป็น 2 บาท/ลิตร

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงเป็นครั้งที่สองอีก 50 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลอยู่ที่ประมาณ 34 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกดีเซลใหม่นี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป โดยการปรับลดครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองในรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังมีความผันผวนแต่ไม่มากนัก เฉลี่ยราคาน้ำมันดีเซล (Gas Oil) ระหว่างวันที่ 1 – 13 กุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 106.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้การบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ กบน. ยังเห็นชอบให้จัดเก็บอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม (น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมพิเศษ) โดยให้มีส่วนต่างจากน้ำมันดีเซลเกรดธรรมดา (B7, B10, B20) เป็น 1.50 บาทต่อลิตร จากเดิมจะมีส่วนต่างอยู่ที่ 0.50 บาทต่อลิตร

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบปรับค่าการตลาดน้ำมันกลับสู่สภาวะปกติตามปี 2563 ทั้งกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลเฉลี่ยอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร ภายหลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติขยายเวลามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ 1.34 บาทต่อลิตร ออกไปอีกจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 ประกอบกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนบัญชีน้ำมันมีรายรับประมาณ 516 ล้านบาทต่อวัน (หรือ 14,455 ล้านบาทต่อเดือน) ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนบัญชีน้ำมันมีฐานะติดลบน้อยลง โดยการปรับค่าการตลาดทั้งในกลุ่มน้ำมันดีเซลและเบนซินแก๊สโซฮอลครั้งนี้ จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงมีรายรับในส่วนของน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 37.23 ล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 1,117 ล้านบาทต่อเดือน แต่จะทำให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินปรับลดลงประมาณ 0.90 – 1.20 บาทต่อลิตร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เนื่องจากก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้เก็บค่าการตลาดจากผู้ใช้น้ำมันดีเซลได้ไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร ในช่วงน้ำมันแพง ส่งผลทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องเรียกเก็บค่าการตลาดจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น เพื่อนำมาถัวเฉลี่ยกัน

โดยที่ประชุม กบง. ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นำเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล เป็นไปตามมติของ กบง.

ปัจจุบัน ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น สถานะการติดลบเริ่มลดลงเป็นลำดับ โดยสัปดาห์ล่าสุด วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ติดลบ 108,610 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า วันที่ 29 มกราคม 2566 ติดลบอยู่ที่ 113,436 ล้านบาท และวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ติดลบ 111,409 ล้านบาท