เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์
หลังการจากไปด้วยวัย 34 ปีของ SOPIE หรือ Sophie Xeon ศิลปิน โปรดิวเซอร์ นักร้อง และดีเจชาวสก็อตแลนด์ ผู้มีผลงานเพลงแนวทดลอง จุดประกายแนวเพลงแบบไฮเปอร์ปอป (Hyperpop) และฝากผลงานไว้กับค่ายเพลง PC Music พร้อมกับศิลปินมาแรงอย่าง A.G. Cook, GFOTY และ Charli XCX แวดวงเพลงก็เริ่มพูดถึงศิลปะดนตรีแบบไฮเปอร์ปอปกันอีกครั้ง
บทความนี้จะชวนมารู้จักวัยรุ่นผ่านสิ่งที่เรียกว่าไฮเปอร์ปอป ว่ากำลังสะท้อนชีวิตและตัวตนของคนรุ่นใหม่อย่างไร
ไฮเปอร์ปอปเป็นแนวเพลงที่ผสมผสาน EDM และป๊อปแบบดั้งเดิม เน้นความน่ารัก ความเป็นผู้หญิง ปนเปไปกับความมึนเมาอย่างหนัก อารมณ์เพลงถูกขับเน้นผ่านเสียงและจังหวะที่ให้ความรู้สึกบิดเบี้ยว ผสมโรงด้วยการสังเคราะห์เสียงผ่านจังหวะเร่งและเร็ว สร้างความสับสน มึนงง เสมือนหลุดออกจากโลกความเป็นจริง
นอกจากนี้ ไฮเปอร์ปอปยังถูกนิยามในฐานะกระแสความเคลื่อนไหวทางดนตรี ที่มีลักษณะเกินจริง เน้นความเป็นแม็กซิมมัลลิสต์ กระแสไฮเปอร์ปอปได้รับอิทธิพลจากแหล่งที่มาหลากหลาย โดยจุดกำเนิดของมันถูกโยงไปยังผลงานเพลงช่วงกลางปี 2010 ของกลุ่มดนตรี PC Music โดย A. G. Cook และศิลปินที่เกี่ยวข้อง เช่น SOPHIE และ Charli XCX รวมทั้งแนวเพลงดังกล่าวยังเป็นที่สนใจอย่างมากในช่วงกลางปี 2019 เมื่อ Spotify ใช้คำว่า “Hyperpop” ตั้งชื่อเพลย์ลิสต์ที่มีศิลปิน เช่น A. G. Cook และ 100 Gecs แนวเพลงนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในกลุ่มผู้ฟังอายุน้อยผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok
การเคลื่อนไหวทางดนตรีแนวที่กล่าวถึงยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมชุมชนออนไลน์ กลุ่ม LGBTQ+ ไอเดียทางเพศที่หลากหลาย ศิลปินหลายคนในแนวเพลงนี้นิยามตนเองเป็นนอนไบนารี หรือไม่แบ่งแยกเพศ
วัฒนธรรมดนตรีไฮเปอร์ปอปไม่ได้ส่งผ่านเสียงเพลงแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังกินความหมายครอบคลุมศิลปะด้านภาพด้วย ชิ้นงานส่วนใหญ่ เน้นเลย์เอาต์อันแออัด เป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบศิลปะที่หลากหลาย ภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฏบนหน้าปกมักมีสีสันฉูดฉาด เหนือจริง หรือให้ถูกต้องกว่านั้นคือ หลุดจากความเป็นจริง
นอกจากนี้ เฉกเช่นเดียวกับวัฒนธรรมดนตรีที่ส่งผลต่อยุคสมัยในแนวเพลงอื่นๆ คือ สิ่งเหล่านี้ได้ส่งอิทธิพลไปสู่โลกแฟชั่น แฟชั่นไฮเปอร์ปอปนั้นเน้นการแต่งหน้าด้วยสีสันสดใส ประดับประดาด้วยประกายไฟ และขนตาที่ยาวเป็นพิเศษ พร้อมกับเสื้อผ้าแวววาว สะท้อนแสง ผมที่ย้อมสีจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม รวมไปถึงเล็บอะคริลิก
องค์ประกอบทั้งงานด้านเสียง ภาพ และสไตล์การแต่งตัว ให้ความรู้สึกราวกับอารมณ์ที่ถูกบีบอัดอย่างรุนแรง การแหกขนบกฎเกณฑ์ การทลายกำแพงทางเพศ และการพุ่งทะยานสู่โลกอนาคต
ทั้งหมดนี้ทำให้ไฮเปอร์ปอปเป็นมากกว่ากระแสความเคลื่อนไหวทางเสียงเพลง แต่การแพร่ขยายอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นไปอย่างลงตัวกับวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตนั้น ทำให้แนวเพลงไฮเปอร์ปอปกลายเป็นส่วนผสมหนึ่งของเจเนเรชัน Z ในปัจจุบันที่เติบโตมาพร้อมชีวิตบนโลกเทคโนโลยีดิจิทัล
“อัลบั้มของ Charli XCX ‘How i’m feeling now’ ที่ปล่อยออกมาในช่วงกักตัว (จากภาวะระบาดหนักของโควิด-19) นำฉันเข้าสู่โลกไฮเปอร์ปอป เพลงโปรดของฉันคือ ‘Claws’ และฉันรู้เรื่องนี้ใน Tik Tok” Fiona Stevens หนึ่งในผู้ติดตามแนวเพลงนี้ผ่านอัลกอริทึมบนโลกออนไลน์
“ศิลปินไฮเปอร์ปอปที่ฉันชอบคือ A.G. Cook ฉันคิดว่าการได้รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้คิดค้นไฮเปอร์ปอปจนกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ทุกเพลงที่เขาเคยทำนั้นแตกต่างจากเพลงอื่นๆ เขาเปลี่ยนเพลงที่ดีที่สุดและคอรัสที่ธรรมดาที่สุดไปจนถึงเพลงไฮเปอร์ที่สลับซับซ้อนที่สุดเท่าที่คุณจะเคยได้ยิน” Schisler วัยรุ่นอีกคนกล่าวถึงแนวเพลงที่โปรดปราน การเน้นเสียงสังเคราะห์และจังหวะที่รุนแรงของไฮเปอร์ป๊อปจึงกลายเป็นการรื้อสร้างทางวัฒนธรรมซึ่งสอดรับการค่านิยมที่คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันกำลังเผชิญ ไม่มีเจเนอเรชันใดอีกแล้วที่ประสบกับช่วงเวลาแห่งการรื้อถอนมายาคติเดิมๆ เท่ากับผู้คนในยุคนี้
แนวเพลงไฮเปอร์ปอปในปัจจุบันถูกนำเสนอผ่านศิลปินหลากหลายชีวิต เช่น Charli XCX, 100 gecs, Rebecca Black, Food House, SOPHIE, Dorian Electra, dltzk, Slayyyter นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดแนวเพลงข้างเคียงที่ได้รับประโยชน์จากวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตอีก เช่น แนวเพลงแบบดิจิคอร์ (Digicore) ในช่วงปลายทศวรรษ 2010 คำว่า “ดิจิคอร์” ถูกนำมาใช้โดยชุมชนออนไลน์ของนักดนตรีวัยรุ่น เน้นการสื่อสารผ่านช่องทาง Discord เพื่อแยกความแตกต่างจากไฮเปอร์ปอปที่มีอยู่ก่อน โดยส่วนใหญ่ดิจิคอร์นั้นต่างจากไฮเปอร์ปอปที่ผลงานเพลงถูกนำเสนอผ่านอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติของศิลปินที่หลากหลายมากขึ้น จุดเริ่มต้นของดิจิคอร์มีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต และผู้ผลิตดิจิคอร์ยอดนิยมจำนวนมากมีอายุระหว่าง 15 ถึง 18 ปีซึ่งใช้แพลตฟอร์ม เช่น Discord เพื่อนำเสนอผลงาน นอกจากนี้ ใน Discord เองยังมีเซิร์ฟรวมศิลปินยอดนิยมในแวดวงอีกหลายคน ในชื่อ Loser’s Club ชุมชนทางอินเทอร์เน็ตนี้มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาและแพร่กระจายผลงานเพลง
รวมถึงแนวเพลงอย่างกลิตช์คอร์ (Glitchcore) ซึ่งมักมีลักษณะเฉพาะด้วยเสียงร้องสูงและเสียงแหลม จนมีคำกล่าวว่า “Glitchcore is Hyperpop on steroids” ซึ่งหมายถึงเสียงร้องที่เกินจริง การบิดเบือน และการใช้เสียงที่จงใจให้ผิดพลาด อย่างไรก็ตาม Stef หนึ่งในโปรดิวเซอร์เพลงสไตล์ไฮเปอร์ปอปและกลิตช์คอร์ที่ได้รับความนิยมกล่าวว่า มีความแตกต่างระหว่างเพลงสองประเภทนี้อย่างชัดเจน “ไฮเปอร์ปอปมีความไพเราะและป๊อปปี้มากกว่า” ในขณะที่ “กลิตช์คอร์นั้นอธิบายไม่ได้” กลิตช์คอร์ยังคล้ายกับดิจิคอร์ คือโดยทั่วไปชุมชนเพลงแนวนี้ยังคงประกอบด้วยกลุ่มศิลปินที่อายุน้อย
นอกจากแอปพลิเคชันอย่าง Discord แล้ว TikTok ก็มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่กฃิตช์คอร์ผ่านการตัดต่อวิดีโอของเพลงที่มีชื่อเสียง เช่น “NEVER MET!” โดย CMTEN และ “Pressure” โดย David Shawty และ Yungster Jack Glitchcore และให้คุณค่ากับความสวยงามของงานด้านภาพโดยเฉพาะ ซึ่งวิดีโอในเพลงแนวนี้มักจะมาพร้อมกับการตกแต่งที่สีสันฉูดฉาด การตัดต่อจังหวะที่ฉับไว ให้ความรู้สึกรก ศิลปินดิจิคอร์ เช่น d0llywood1 ถึงกับเรียกกลิตช์คอร์ว่าเป็น “สุนทรียภาพของการตัดต่อ” มากกว่าที่จะเป็นแนวเพลงจริงๆ
วัฒนธรรมดิจิทัลในปัจจุบันซึ่งคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาได้สร้างแนวเพลงที่อาศัยวัฒนธรรมนี้ให้แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว ผ่านเครื่องมือทางออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชันต่างๆ ในการขยายตัว ความสั้น กระชับ ฉับไว และเต็มไปด้วยสีสัน ยังกลายเป็นสิ่งสะท้อนถึงอัตลักษณ์ร่วมบางประการของผู้คนแห่งยุคสมัย